ตอนที่ 1,041 สัญญาการประลอง
“กราบเรียนท่านแม่ทัพ…”
นายทหารผู้หนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในกระโจมหลังใหญ่ “บัดนี้แม่ทัพใหญ่จากกองทัพจี้กวงมาขอเข้าพบอยู่ด้านนอกขอรับ”
เสี่ยวเหยียนผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ “ย่ำกลองส่งสัญญาณ… เรียกระดมพลแม่ทัพของพวกเรา”
ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงย่ำกลองดังเป็นจังหวะ
นี่คือการเรียกระดมพลแม่ทัพครั้งแรกของกองทัพเป่ยไห่
“นำตัวผู้ส่งสาส์นเข้ามา”
เสี่ยวเหยียนออกคำสั่ง
“นำตัวผู้ส่งสาส์นเข้ามา”
“นำตัวผู้ส่งสาส์นเข้ามา”
คำสั่งถูกถ่ายทอดออกไป
หลังจากนั้น ชายฉกรรจ์อายุ 30 ปีผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าหนักแน่นมั่นคง เขาสวมใส่ชุดเกราะระดับสูงของกองทัพจี้กวง สามารถทนทานการจ้องมองด้วยความเคียดแค้นและเกลียดชังจากสายตาจำนวนมากได้อย่างไม่สะทกสะท้าน บ่งบอกได้ดีว่าคงมีสถานะไม่ต่ำต้อย
“อวี่หรงรั่วแห่งจักรวรรดิจี้กวง ขอคารวะท่านแม่ทัพเสี่ยวเหยียน”
ชายฉกรรจ์ประสานมือคำนับเล็กน้อย กิริยาท่าทีไม่ได้บ่งบอกถึงความถ่อมตัวหรือคุกคาม
ปัง!
“ยามพูดกับแม่ทัพใหญ่ เหตุไฉนเจ้าไม่คุกเข่า?”
แม่ทัพใหญ่แห่งหน่วยกองทัพทมิฬโหลวซานกวนถลึงตาตบโต๊ะแผดเสียงคำรามด้วยความไม่ชอบใจ
อวี่หรงรั่วหันไปมองด้วยแววตาเย็นชา ก่อนตอบว่า “ข้าเองก็เป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพจี้กวง หากไม่คุกเข่าให้แก่แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเป่ยไห่ คงไม่มีใครตายหรอกกระมัง?”
“สามหาว”
โหลวซานกวนคำราม
เดิมทีเขามีความเกลียดชังต่อนายทหารจากกองทัพจี้กวงอยู่แล้ว โหลวซานกวนถึงกับจับกระบี่ที่เหน็บอยู่ข้างเอว ใบหน้าหล่อเหลาแสดงออกถึงจิตสังหารชัดเจน
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที
อวี่หรงรั่วกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นตัวแทนกองทัพหรืออย่างไร ในเมื่อแม่ทัพใหญ่ยังไม่เอ่ยปากสักคำ เหตุไฉนนายทหารชั้นต่ำอย่างเจ้าจึงต้องเดือดร้อนด้วย?”
แม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนรีบโบกมือส่งสัญญาณให้โหลวซานกวนนั่งลง
“ท่านมาทำอะไรที่นี่?”
เสี่ยวเหยียนถามด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
อวี่หรงรั่วยิ้มออกมาเล็กน้อย
เขาแสดงสีหน้าเยือกเย็นและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พวกเราสองดินแดนต่อสู้กันต้องสังเวยชีวิตทหารจำนวนมาก นับตั้งแต่ที่สงครามเริ่มขึ้น ทั้งฝ่ายข้าและฝ่ายท่านล้วนสูญเสียกำลังพลไปหลายแสนชีวิต กระดูกคนตายกองทับถมเป็นภูเขาเลากา ทุกหนทุกแห่งเนืองนองไปด้วยโลหิต ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจักรวรรดิของท่านต้องเกิดความเสียหายมากมายใหญ่หลวง ข้าเชื่อว่าท่านเองก็คงไม่อยากเห็นเหตุการณ์ดำเนินต่อไปเช่นนี้…”
“องค์จักรพรรดิของข้าทรงเห็นแก่ชีวิตของนายทหารทั้งสองจักรวรรดิ พระองค์ท่านไม่อยากให้เกิดการฆ่าฟันโดยไม่จำเป็นอีกแล้ว เพราะฉะนั้น ข้าจึงมาที่นี่เพื่อยื่นข้อเสนอ เราจะทำการประลองเดิมพันชีวิตสำหรับผู้มีพลังขั้นเซียนบนหน้าผาของหุบเขาดาวตก ผู้ที่สามารถชนะการประลองได้สามจากห้าครั้ง จะถือว่าเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้…”
“หากจักรวรรดิเป่ยไห่ชนะ จักรวรรดิจี้กวงก็จะถอนกำลังพลออกจากมณฑลหยางฉ่วนทันที แต่หากพวกท่านพ่ายแพ้ มณฑลหยางฉ่วนก็จะต้องตกเป็นของจักรวรรดิจี้กวง… ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพใหญ่มีความกล้าหาญมากพอหรือไม่?”
อวี่หรงรั่วพูดจบก็ยื่นมือออกมาข้างหน้าและนำม้วนกระดาษที่ลงตราประทับขององค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิจี้กวงออกมาแสดง “ท่านแม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนได้โปรดตัดสินใจด้วย”
“ว่าไงนะ?”
“การประลองเดิมพันชีวิต?”
“เฮอะ หยางฉ่วนเป็นดินแดนของเป่ยไห่มาตั้งแต่ไหนแต่ไร…”
“เจ้าจะเอาอนาคตของประเทศชาติมาเดิมพันเชียวหรือ?”
“เหอเหอเหอ น่าตลกสิ้นดี หากจี้กวงอยากเดิมพันเช่นนี้ล่ะก็ นำมณฑลลั่วหนานของพวกเจ้ามาเดิมพันด้วยดีหรือไม่”
“พวกเจ้าคิดที่จะเดิมพันโดยไม่ยอมเสียเปรียบอะไรเลยหรือ ถุย ฝันไปเถอะ”
ในกระโจมขณะนี้ เหล่าแม่ทัพและขุนพลผู้กล้าทุกคนต่างจ้องมองไปที่อวี่หรงรั่วด้วยความเดือดดาลใจ
พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือที่ผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน ทุกคนสามารถเดินผ่านกองซากศพคนตายได้โดยไม่สะทกสะท้าน และบัดนี้ จิตสังหารของพวกเขาก็กำลังรวมตัวกันถาโถมเข้าใส่ชายฉกรรจ์ผู้เป็นตัวแทนของจักรวรรดิจี้กวงอย่างเป็นหนึ่งเดียว
แต่อวี่หรงรั่วก็ยังคงยิ้มอย่างเยือกเย็นต่อไป
แม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนพยักหน้าด้วยความชื่นชม
หากอวี่หรงรั่วผู้นี้เป็นนักรบ ก็ถือเป็นนักรบที่มีพรสวรรค์
จักรวรรดิจี้กวงดำรงอยู่มานานมากกว่าจักรวรรดิเป่ยไห่หลายร้อยปี ดังนั้น พวกเขาจึงมีทั้งอาณาเขตดินแดนและประชากรมากกว่าเป่ยไห่
ถือเป็นเรื่องปกติที่จี้กวงจะมีแม่ทัพใหญ่ขุนพลผู้กล้าฝีมือเก่งกาจจากรุ่นสู่รุ่นเสมอ
และนายทหารของจักรวรรดิจี้กวงจำนวนไม่น้อยก็มีบุคลิกเช่นอวี่หรงรั่ว
สำหรับจักรวรรดิที่สามารถอยู่ยั่งยืนยงยาวนานหลายร้อยปีเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถประมาทได้เด็ดขาด
“นี่คือสัญญาการประลอง รบกวนแม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนได้โปรดรับไป”
ชายชราลุกขึ้น หมุนวนมือในอากาศเล็กน้อย ม้วนกระดาษสีเลือดหมูก็ลอยหวือเข้ามาอยู่ในมือของเขา แม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนยังคงไม่ได้เปิดออกดูตอนที่พูดว่า “เรื่องนี้ทางเป่ยไห่จำเป็นต้องปรึกษาหารือกันหลายฝ่าย ขอเชิญแม่ทัพอวี่กลับไปก่อน เมื่อพวกข้าได้ข้อสรุปที่ลงตัวแล้ว จะส่งคนไปแจ้งข่าวให้ท่านกลับมาร่วมเจรจาด้วยอีกครั้ง”
อวี่หรงรั่วยิ้มมุมปาก ประสานมืออำลา ก่อนหมุนตัวเดินออกไป
…
ณ กระโจมที่พักของหัวหน้านักบวช
อากาศภายในกระโจมกำลังอบอุ่น ไม่ร้อนและไม่เย็นจนเกินไป
แม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนเดินเข้ามา
“ว่าไงนะ?”
หลินเป่ยเฉินแทบจะสำลักผลไม้ที่กำลังเคี้ยวอยู่ในปาก “การประลองเดิมพันชีวิตสำหรับผู้มีพลังขั้นเซียน? ฝ่ายไหนสามารถชนะได้สามในห้าครั้งให้ถือเป็นผู้ชนะ? พวกเขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกันเนี่ย?”
แม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนรีบถามกลับไปโดยเร็ว “ไม่ทราบว่าในความคิดของท่านหัวหน้านักบวช พวกเราควรรับข้อเสนอนี้หรือไม่?”
“ต้องรับสิ”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับโดยไม่ลังเล
ข้อเสนอดี ๆ เช่นนี้มีอะไรให้ปฏิเสธ?
นี่คือการยุติสงครามได้โดยไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อ
อย่าลืมสิว่านายทหารทุกคนก็เป็นลูกมีพ่อมีแม่เหมือนกัน
และไม่มีการต่อสู้รูปแบบใดที่จะสามารถแสดงความเคารพต่อฮันปู้ฟู่ได้ดีมากไปกว่าการประลองเช่นนี้อีกแล้ว
แม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลว่า “แต่ท่านหัวหน้านักบวชลองขบคิดดูให้ดี จักรวรรดิจี้กวงไม่รู้ผลการประเมินในอาณาเขตสนธยา ไม่รู้เรื่องการสังหารเทพเจ้าในนครหลวง แต่พวกเขากลับกล้ายื่นข้อเสนอเช่นนี้ แสดงว่าต้องมีบางสิ่งบางอย่างไม่ชอบมาพากล…”
หลินเป่ยเฉินอ้าปากงับผลองุ่นที่เฉียนเจินป้อนเข้ามา ก่อนกล่าวว่า “ท่านกำลังหมายความว่า ฝ่ายนั้นยังคงมีไพ่เด็ดอยู่ในมือใช่หรือไม่?”
เสี่ยวเหยียนตอบว่า “มือธนูอันดับหนึ่งแห่งจี้กวงนามซูถิงฟางนั้นเป็นถึงหัวหน้านักบวชจากมหาวิหารเทพแห่งธนู เราจะประมาทเขาไม่ได้เป็นอันขาด ข้าได้ข่าวว่าเขาเดินทางมาถึงเมืองหยางฉ่วนเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ เห็นว่ายังมีขั้นเซียนของวิหารเทพแห่งธนูติดตามมาด้วยอีกหลายคนเชียวขอรับ”
เดี๋ยวก่อนนะ?
หรือว่าจะเป็นพวกทูตสวรรค์อีกแล้ว?
จี้กวงคิดจะอาศัยพลังของเทพแห่งธนูเอาชนะการประลองเดิมพันชีวิตในครั้งนี้อย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม
อย่างนั้นก็ยิ่งเข้าทางเขาเลย
อีกอย่าง พวกทูตสวรรค์ก็ไม่เห็นจะน่ากลัวสักเท่าไหร่
แม้แต่เทพแห่งวิหารเฉียนเกาที่มีสาวก 17 ล้านคน เขาก็ยังฆ่าตายมาแล้ว และเทพแห่งธนูมีสาวก 98.87 ล้านคน ว่ากันตามความเข้าใจอย่างตื้นเขินของหลินเป่ยเฉิน ทูตสวรรค์หนึ่งคนจะได้รับพลังจากเทพเจ้าประมาณหนึ่งในสิบของพลังทั้งหมด ซึ่งนั่นหมายความว่าทูตสวรรค์หนึ่งคนคงมีสาวกประมาณสิบล้านคนเท่านั้น…
แล้วยังมีอะไรให้เขาหวาดกลัวอีก?
ย่อมไม่มี!
เสี่ยวเหยียนกล่าวอีกครั้งว่า “นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ จักรวรรดิจี้กวงยื่นข้อเสนอชนะสามในห้า เกรงว่าพวกเขาคงรู้อยู่แล้วว่าท่านหัวหน้านักบวชจะต้องร่วมการประลองด้วย หากท่านหัวหน้านักบวชสามารถเอาชนะพวกเขาได้ทั้งสามรอบติดต่อกัน ชัยชนะก็คงตกเป็นของพวกเรา และฝ่ายจี้กวงก็คงไม่ยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เป็นแน่แท้”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชั่วร้าย “อุ๊วะฮ่า ๆๆ คนที่จะคิดต่อสู้ ไม่มัวมากังวลให้มากความหรอกนะ ท่านแม่ทัพเสี่ยว เดี๋ยวท่านเตรียมลงนามในสัญญาได้เลย ส่วนการแก้ไขรายละเอียดในสัญญานั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด”
เมื่อได้ยินคำพูดอันหนักแน่นของหลินเป่ยเฉิน แม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ถ้าอย่างนั้น ต้องรบกวนท่านหัวหน้านักบวชแล้ว”
แม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนลุกขึ้นประสานมือด้วยความเคารพ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากกระโจม
หลินเป่ยเฉินพลันถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า
นี่สินะที่ว่ายิ่งสูงก็ยิ่งหนาว
ก่อนหน้านี้ เขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มสมองเสื่อมผู้หนึ่งที่สามารถร่ำสุรากับผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนได้อย่างสะดวกใจ แต่บัดนี้ หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นถึงหัวหน้านักบวชแห่งวิหารหลวง ซึ่งแม้แต่ชายชราอายุร้อยกว่าปีท่านนี้ ก็ยังต้องก้มหัวแสดงความเคารพให้เขาแล้ว
โชคดีนักที่บรรดาสาวงามทั้งหลาย ก็เคารพเทิดทูนเขาเช่นนี้เหมือนกัน
อุ๊วะฮ่า ๆๆ
มีความสุขจังเลยโว้ย!