ตอนที่ 1,045 ไม่ต่างกัน
คำพูดของเด็กหนุ่มไม่ต่างจากก้อนหินที่ถูกโยนลงไปในบ่อน้ำอันเงียบสงบ
ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่อยู่บนเรือเหาะของจักรวรรดิเป่ยไห่หรือจักรวรรดิจี้กวง ทุกคนล้วนตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
คนเพียงคนเดียวจะต่อสู้กับผู้มีพลังขั้นเซียนถึงห้าคนเชียวหรือ?
นี่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน
นี่ไม่ใช่เรื่องตลก
นี่ไม่ใช่การล้อเล่น
แต่หลินเป่ยเฉินตั้งใจทำจริง ๆ!
“เขาเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?”
“คนเดียวจะต่อสู้ทั้งห้ารอบเนี่ยนะ? เขาคิดว่าตนเองเป็นเทพเจ้างั้นรึ?”
“หึหึ ข่าวลือที่ว่าหลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลสมองเสื่อม คงไม่ใช่เรื่องโกหกเป็นแน่แท้ บัดนี้ อาการของเขาคงกำเริบขึ้นอีกแล้วสินะ ฮ่า ๆๆ…”
“นี่คือโอกาสของจักรวรรดิจี้กวงแล้วละ”
“วันนี้หลินเป่ยเฉินต้องตายอยู่บนแท่นประลองนี่ละนะ”
บรรดาแม่ทัพใหญ่และขุนพลผู้กล้าของจักรวรรดิจี้กวงที่อยู่บนเรือเหาะต่างก็ส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
แม้แต่องค์ชายอวี่ที่เมื่อสลัดความตกตะลึงหลุดออกไปได้แล้ว ใบหน้าก็ยังปรากฏรอยยิ้มเช่นกัน
ใช่แล้ว!
นี่คือโอกาสดีที่ไม่เคยมีมาก่อน!!
นี่คือโอกาสดีที่ชีวิตคนเราจะมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!!!
ตราบใดที่สามารถใช้โอกาสนี้สังหารหลินเป่ยเฉินได้สำเร็จ จักรวรรดิจี้กวงก็จะไม่มีทางแพ้การประลองในวันนี้เด็ดขาด
เพราะหากหลินเป่ยเฉินตายไปสักคน จักรวรรดิเป่ยไห่ก็จะถึงคราวล่มสลาย
สภาพของจักรวรรดิเป่ยไห่ในปัจจุบันย่ำแย่เกินบรรยาย เหตุผลที่ยังสามารถยืนหยัดได้จนถึงวันนี้ ก็เพราะอาศัยความแข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉินแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
หากไม่มีหลินเป่ยเฉินสักคน ด้วยกำลังพลของกองทัพเป่ยไห่เพียงลำพัง ชะตากรรมของประเทศชาติก็คงถึงคราวหายนะแล้ว
การสังหารหลินเป่ยเฉินจึงเท่ากับเป็นการตัดอนาคตของจักรวรรดิเป่ยไห่ ไม่ว่าจะเป็นอีก 30 ปีหรือ 50 ปีต่อจากนี้ จักรวรรดิจี้กวงก็จะสามารถบดขยี้เป่ยไห่ได้ทุกเมื่อ
บนเรือเหาะสีดำปรากฏปฏิกิริยาและบรรยากาศที่ต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง
“ว่าไงนะ? ท่านหัวหน้านักบวชหลินวู่วามเกินไปแล้ว”
“ท่านหัวหน้านักบวชไม่น่านำตนเองไปเสี่ยงอันตรายเลย…”
“ไม่สมควร ไม่สมควรอย่างที่สุด”
เหล่าแม่ทัพใหญ่และขุนพลผู้กล้าที่ไม่รู้ความจริงต่างก็ตะโกนออกมาเสียงดัง หวังว่าจะโน้มน้าวให้หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนใจได้สำเร็จ
นายทหารแห่งกองทัพเป่ยไห่ทุกคนล้วนทราบดีไม่ต่างจากองค์ชายอวี่
ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินคือเสาหลักค้ำจุนเป่ยไห่ มีความสำคัญไม่ต่างไปจากเทพเจ้า
สถานะของเด็กหนุ่มมีค่ามากกว่าหนึ่งมณฑล
หรือต่อให้ต้องแลกชีวิตของหลินเป่ยเฉินกับอีกห้ามณฑล นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาเลย
แล้วพวกเขาจะปล่อยให้เสาหลักแห่งประเทศชาติไปเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ได้อย่างไร?
ทว่า เสี่ยวเหยียนกลับไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
เนื่องจากชายชรารู้ดีว่าถึงพูดไปก็ไร้ประโยชน์
เสี่ยวเย่ที่ยังอยู่ด้านข้างก็ไม่พูดคำใดเช่นกัน
ที่เขามารู้จักหลินเป่ยเฉินได้ก็เพราะฮันปู้ฟู่
และอีกหนึ่งเหตุผลก็คือ เสี่ยวเย่ทราบดีว่าฮันปู้ฟู่มีสถานะพิเศษในหัวใจของหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มไม่ได้เป็นเพียงศิษย์ร่วมสำนักหรือสหายของหลินเป่ยเฉินเท่านั้น แต่ฮันปู้ฟู่เป็นเสมือนครอบครัว เป็นเสมือนพี่น้องสายเลือดเดียวกัน และเป็นหนึ่งในบุคคลที่หลินเป่ยเฉินห่วงใยมากที่สุด
เสี่ยวเย่คิดว่าหากตนเองอยู่ในสถานะเดียวกับหลินเป่ยเฉิน เขาก็คงทำอย่างที่เด็กหนุ่มจอมเสเพลผู้นี้กำลังทำเช่นกัน
โชคร้ายที่ความสามารถของเสี่ยวเย่ต่ำต้อยมากเกินไป
ดังนั้น เขาจึงช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากยืนมองอยู่เฉย ๆ และสวดภาวนาอยู่ในใจ
ทันใดนั้น…
“เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
เสียงคำรามดังกึกก้อง
แล้วเงาร่างของคนผู้หนึ่งก็พุ่งออกมาจากเรือเหาะสีขาว เขาทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนแท่นประลองของผาดาวตก ปรากฏว่าคู่ต่อสู้ของหลินเป่ยเฉินในรอบนี้ เป็นชายฉกรรจ์ร่างผอมสูงสวมใส่เสื้อคลุมสีม่วงผู้หนึ่ง
“ข้าน้อยมือกระบี่หลิวเซิงฉางแห่งจักรวรรดิต้าเกี๋ยน ยินดีได้พบกับท่านหัวหน้านักบวชแห่งเป่ยไห่เป็นอย่างยิ่ง ฮ่า ๆๆ”
เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังออกมาจากร่างของชายฉกรรจ์ผู้นั้น
เขาสวมใส่มงกุฎทองคำบนศีรษะ เสียบปิ่นปักผมหยก คาดเอวด้วยเข็มขัดงูทองคำ ฝักกระบี่รัดพันด้วยด้ายสีขาวดูมีมนต์ขลัง เพียงมองดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าเป็นกระบี่ที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
“สำนักกระบี่หมื่นดับสูญ?”
เมื่อเห็นลักษณะฝักกระบี่ของฝ่ายตรงข้าม หลินเป่ยเฉินก็เลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้าไม่ได้มาจากจักรวรรดิจี้กวง?”
“เหอเหอเหอ ถึงข้าไม่ได้มาจากจักรวรรดิจี้กวง แต่ข้าจะชักกระบี่ออกมาต่อสู้เพื่อพวกเขาไม่ได้หรืออย่างไร?”
หลิวเซิงฉางครึ่งยิ้มครึ่งไม่ยิ้ม ตอบกลับมาน้ำเสียงเรียบเฉย
บนเรือเหาะสีดำ
แม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนผู้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดพลันมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาแล้ว
ชายชราหันกลับไปชักสีหน้าใส่องค์ชายอวี่อย่างไม่พอใจและถามว่า “การประลองเดิมพันชีวิตในวันนี้เป็นเรื่องราวระหว่างสองจักรวรรดิ แต่พวกท่านกลับเชิญคนนอกเข้ามาร่วมด้วย นี่ถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้วหรือ?”
องค์ชายอวี่คลี่ยิ้มตอบอย่างใจเย็น “ในเมื่อไม่มีกฎระเบียบห้ามเอาไว้ แล้วทำไมพวกข้าถึงจะทำไม่ได้? มือกระบี่หลิวเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนระดับห้า ได้รับการยกย่องให้เป็นเซียนกระบี่ตัวจริง เมื่อเขายินดีชักกระบี่ต่อสู้เพื่อจักรวรรดิจี้กวง แล้วมีเหตุผลอันใดที่ข้าสมควรขัดขวาง?”
บนเรือเหาะสีขาวแว่วเสียงหัวเราะดังครืนครัน
ใช่แล้ว
ยอดฝีมือขั้นเซียนระดับห้าจากสำนักกระบี่หมื่นดับสูญคืออาวุธลับของจักรวรรดิจี้กวง ซึ่งสามารถสร้างความประหลาดใจให้แก่ฝ่ายเป่ยไห่ได้จริง ๆ
แม้ทางราชสำนักจี้กวงจะต้องจ่ายราคาแพงมาก แต่มันก็คุ้มค่าทุกเหรียญทองคำ เพราะยอดฝีมือขั้นเซียนระดับห้าสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“เลวทรามไร้ยางอาย”
“พวกจี้กวง พวกเจ้ายังถือว่าตนเองเป็นคนอยู่อีกหรือไม่?”
บรรดาแม่ทัพและขุนพลผู้กล้าบนเรือเหาะสีดำระเบิดเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น
ต่อให้พวกเขาจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้าว่าฝ่ายจี้กวงคงเล่นไม่ซื่อ แต่ทุกคนก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายนั้นจะเล่นสกปรกถึงเพียงนี้
นับว่าไร้ยางอายมากเกินไปแล้ว
นายทหารบนเรือเหาะของทั้งสองฝ่ายตะโกนด่าทอกันผ่านทางอากาศ
บนแท่นประลองของหน้าผาดาวตก มุมปากของหลิวเซิงฉางกระตุกเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน เขาไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“ทุกคนหยุดก่อน”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงคำรามออกมา
สรรพสำเนียงแห่งการตะโกนด่าทอของเหล่านายทหารเป่ยไห่หยุดลงทันที
ดวงตาทุกคู่จับจ้องไปที่เด็กหนุ่มชุดขาว
“ไม่ว่าเป็นผู้ใดออกมาต่อสู้ สุดท้ายก็ไม่ต่างกัน”
น้ำเสียงของหลินเป่ยเฉินราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็อดสะดุ้งไม่ได้
นี่หมายความว่าอย่างไร?
ลมหายใจต่อมา…
ร่างคนเคลื่อนไหว
คมกระบี่สาดประกาย
กำเนิดแสงสว่างเจิดจ้า
กระแสกระบี่พุ่งผ่านและจากไป
ไม่ทราบเลยว่าร่างของหลินเป่ยเฉินไปปรากฏตัวอยู่ข้างกายหลิวเซิงฉางตั้งแต่เมื่อไหร่…
ทุกคนเห็นเพียงเงาภาพเคลื่อนไหวอย่างพร่าเลือน
จากนั้น ดวงตาของทุกคนก็พร่าพราย
กระทั่งสายตากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง หลินเป่ยเฉินก็ยืนถือศีรษะมนุษย์แล้ว
เป็นศีรษะของหลิวเซิงฉาง
ศีรษะของยอดฝีมือขั้นเซียนระดับห้าแห่งสำนักกระบี่หมื่นดับสูญจากจักรวรรดิต้าเกี๋ยน ถูกหลินเป่ยเฉินเดินหิ้วนำไปวางไว้บนโต๊ะบูชาของฮันปู้ฟู่ด้วยความเงียบสงบ…
ศีรษะที่สอง
ธูปทั้งสามดอกนั้นเผาไหม้ไปเพียงสามข้อนิ้วมือ นี่หมายความว่าเวลาผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามเลยด้วยซ้ำ
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
มีเพียงสายลมฤดูใบไม้ผลิเท่านั้นโชยพัดผ่านมา กิ่งก้านของต้นไม้ไหวเอนไปตามแรงลม ได้ยินเสียงสายลมกรีดตัวดังหวีดหวิวในอากาศ กลายเป็นบรรยากาศที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นบนเรือเหาะสีดำหรือเรือเหาะสีขาว ใบหน้าของทุกคนล้วนแสดงออกไปในทิศทางเดียวกัน…
ตกตะลึง
แต่ในความตกตะลึงนั้นยังมีความแตกต่างอยู่บ้างเล็กน้อย
ผู้คนบนเรือเหาะของจักรวรรดิจี้กวงตกตะลึงในรูปแบบที่ว่านี่คือเรื่องที่ไม่สมควรเป็นไปได้เด็ดขาด!
ส่วนผู้คนบนเรือเหาะของจักรวรรดิเป่ยไห่ตกตะลึงในรูปแบบที่ว่าเรื่องนี้สามารถเป็นจริงได้อย่างไร?!
ฝ่ายแรกตกตะลึงและตื่นตระหนก
ฝ่ายหลังตกตะลึงและประหลาดใจ
ตามมาด้วยความดีใจ
นี่คือเหตุการณ์ที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด
ยิ่งไปกว่านั้น คู่ต่อสู้ของหลินเป่ยเฉินเป็นถึงมือกระบี่ขั้นเซียนระดับห้า
และยังมาจากจักรวรรดิต้าเกี๋ยน
สำหรับจักรวรรดิเล็ก ๆ อย่างเป่ยไห่และจี้กวง ไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือสิ่งของจากจักรวรรดิใหญ่อย่างต้าเกี๋ยน ล้วนมีสถานะสูงส่งมากกว่าตนเองถึงสองเท่า
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ยอดฝีมือขั้นเซียนระดับห้าของจักรวรรดิต้าเกี๋ยน กลับถูกสังหารตกตายในกระบวนท่าเดียว
นี่คือฝีมือการต่อสู้ที่ใครก็คิดไม่ถึง
หลินเป่ยเฉินต้องมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับใดกัน จึงจะสามารถสังหารยอดฝีมือขั้นเซียนระดับห้าได้ง่ายดายเช่นนี้?
อำมหิตเหลือเกิน
เด็กหนุ่มสามารถทำได้อย่างไร?
บรรดาแม่ทัพใหญ่และขุนพลผู้กล้าของทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกว่าความเข้าใจในโลกแห่งวรยุทธ์ของตนเองถูกทำลายลงไม่เหลือชิ้นดี
บัดนี้ ทุกคนได้เข้าใจคำพูดของหลินเป่ยเฉินอย่างแท้จริง
ไม่ว่าเป็นผู้ใดออกมาต่อสู้ ก็ไม่ต่างกัน
ใช่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นนักบวชหมิงหลี่ หรือยอดฝีมือขั้นเซียนระดับห้าจากสำนักกระบี่หมื่นดับสูญ ล้วนแต่ถูกสังหารดับสิ้นภายในกระบี่เดียว
เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น
แล้วยังจะมีสิ่งใดแตกต่างกันอีก?
ทุกคนไม่เข้าใจเลยว่าเหตุไฉนหลินเป่ยเฉินจึงได้มีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้?