ตอนที่ 1,051 ท่านอาจารย์กลับมาแล้ว
แสงสว่างปรากฏขึ้นในใจของหลินเป่ยเฉิน
แสงสว่างแห่งความหวัง
หากฮันปู้ฟู่ยังอยู่เขาก็อยากเจอตัว หากตายแล้วเขาก็อยากเจอศพ
ในนิยายแนวแฟนตาซี บุคคลที่หายตัวไปมักจะยังรอดชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ?
หลินเป่ยเฉินคิดว่าตนเองทะลุมิติมาอยู่ในโลกที่ไม่ต่างไปจากนิยายแฟนตาซี
เพราะฉะนั้น เขาจึงยังมีความหวัง
จิตใจของเด็กหนุ่มผ่อนคลายขึ้น
บนผาดาวตกแห่งนี้ ไม่มีใครพบเจอซากศพของฮันปู้ฟู่และผู้ติดตามอีกหกคน
พวกเขาหายไปที่ใด?
ทันใดนั้น สายตาของหลินเป่ยเฉินจับจ้องไปยังหุบเหวไร้ก้นบึ้งนอกหน้าผา
หรือว่าพวกของฮันปู้ฟู่จะกระโดดลงไปในหุบเหวเบื้องล่าง?
เป็นไปได้ว่าศิษย์พี่ฮันของเขาและบรรดาผู้ติดตามจะเลือกกระโดดลงไปตายเอาดาบหน้า วัดดวงกับหุบเหวเบื้องล่าง แทนที่จะยอมจำนนตกเป็นนักโทษของจักรวรรดิจี้กวง
แต่นั่นก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าองค์หญิงอวี่เค่ออีกครั้ง
เขารู้สึกประทับใจ
เมื่อเด็กสาวผู้นี้เห็นว่าบิดาของตนเองกำลังจะตกอยู่ในอันตราย นางก็เลือกที่จะออกมาแบกรับความอันตรายนั้นเอาไว้เอง
นับว่ามีจิตใจที่กล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของหลินเป่ยเฉินที่จ้องมองมา องค์หญิงอวี่เค่อก็กัดริมฝีปากของตนเองเล็กน้อย ฟันของนางขาวราวไข่มุก เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเสียใจว่า “อันที่จริงนั้น… ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ข้าดูบันทึกทางการทหารอย่างละเอียดทุกฉบับแล้ว ข้าพบกับข้อมูลที่ชวนให้เชื่อได้ว่าฮันปู้ฟู่ยังไม่ตาย… แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด ข้า….”
หลินเป่ยเฉินพลันโบกแขนเสื้อวูบ
“เหวอ…”
องค์หญิงอวี่เค่อร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
กระแสพลังสายหนึ่งซัดนางลอยขึ้นจากพื้นดิน
“เค่อเอ๋อร์…”
องค์ชายอวี่รีบเหินร่างขึ้นไปบนท้องฟ้าและรับตัวบุตรสาวเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะนำนางกลับคืนสู่เรือเหาะสีขาวอีกครั้งอย่างปลอดภัย
บังเกิดความวุ่นวายโกลาหลขึ้นเล็กน้อย
ตอนแรก องค์ชายอวี่เข้าใจว่าเด็กหนุ่มจอมเสเพลกำลังจะสังหารบุตรสาวของตนเอง แต่เมื่อกลับมาถึงดาดฟ้าเรือเหาะ เขาถึงได้รู้ว่าหลินเป่ยเฉินเพียงต้องการส่งเค่อเอ๋อร์กลับมาเท่านั้น
ลมหายใจต่อมา…
วูบ!
ร่างของหลินเป่ยเฉินพุ่งออกไปเป็นลำแสง แล้วตัวของเขาก็ตกลงไปในหุบเหวที่ไร้ก้นบึ้งนอกผาดาวตก
“ช้าก่อน…”
หลิงฉือพยายามส่งเสียงทัดทาน แต่มันก็สายไปเสียแล้ว
การตกลงไปในหุบเหวที่ไร้ก้นบึ้งคือเรื่องอันตรายมาก
ต่อให้เป็นเทพเจ้า ก็ไม่แน่ว่าจะกลับขึ้นมาได้
นับว่าหลินเป่ยเฉินวู่วามเกินไปแล้วจริง ๆ
แต่สำหรับกับบุคคลเช่นหลินเป่ยเฉินผู้รักตัวกลัวตายและกระหายเงินทองเป็นอันดับหนึ่ง เพียงเขารู้เท่านั้นว่ามีความเป็นไปได้ที่พวกของฮันปู้ฟู่จะตกลงไปในหุบเหวนอกผาดาวตก เขาก็รีบกระโจนเข้าใส่มันไม่ต่างจากเห็นขุมทรัพย์มหาศาลรออยู่ตรงหน้า
เมื่อคิดได้ดังนี้ หลิงฉือก็ยิ่งเสียใจมากไปกว่าเดิม
หากเขาสามารถเชิญชวนให้หลินเป่ยเฉินเข้าร่วมกองทัพได้ตั้งแต่แรก บางทีหายนะทั้งหมดนี้ และความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิเป่ยไห่อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็จริง แต่อย่างน้อย ฮันปู้ฟู่ก็คงไม่หายสาบสูญไปเช่นนี้…
ในเวลาเดียวกันนั้น
ฝั่งกลุ่มนายทหารที่อยู่บนเรือเหาะของจักรวรรดิจี้กวง เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินกระโดดลงไปในหุบเหวมรณะ ดวงตาของพวกเขาก็เบิกโตด้วยความตื่นเต้น
ตายไปซะ
หากหลินเป่ยเฉินกระโดดลงไปตายอยู่ในหุบเหวด้านล่าง นี่ก็เป็นเรื่องที่จะทำให้พวกเขาได้เฉลิมฉลองกันแล้ว
หากหลินเป่ยเฉินเสียชีวิตขึ้นมาจริง ๆ จักรวรรดิจี้กวงคงต้องจัดงานเฉลิมฉลองทั่วทุกเมืองอย่างแน่นอน
ดวงตาทุกคู่จ้องมองไปที่ขอบหน้าผาด้วยหัวใจเต้นระทึก
ตายซะ ตายซะ ตายไปซะ
บรรดาผู้มีพลังขั้นเซียนและนักบวชจากมหาวิหารเทพแห่งธนูต่างก็พร้อมใจกันสวดภาวนา
ตราบใดที่ปีศาจน้อยตนนี้ตกตายไป สถานการณ์ของทั้งสองจักรวรรดิก็จะแปรเปลี่ยนไปแล้ว
ผ่านไปอึดใจใหญ่
ทันใดนั้น
วูบ!
ลำแสงพุ่งขึ้นมา
หลินเป่ยเฉินทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนหน้าผาดาวตกอีกครั้ง
นอกจากสายรัดผมที่ขาดสะบั้นทำให้ผมสีดำยาวสลวยของเขาปลิวไสวในขณะนี้กับลักษณะเหนื่อยหอบอีกเพียงเล็กน้อย เด็กหนุ่มก็ไม่มีความผิดปกติอื่นใดอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินก้มหน้าลงมองฝ่ามือของตนเอง
บนฝ่ามือของเขาปรากฏเศษผ้าเปื้อนคราบเลือดแห้งกรังชิ้นหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินเอาแต่จ้องมองมันอยู่เนิ่นนานหลายอึดใจ
หลังจากนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางพวกขององค์ชายอวี่บนเรือเหาะสีขาวที่ลอยลำอยู่ห่างออกไป
“ส่งคนของพวกท่านลงไปสำรวจหุบเหวด้านล่าง ข้าต้องการข้อมูลมากกว่านี้”
หลินเป่ยเฉินจ้องมององค์ชายอวี่ด้วยแววตาทิ่มแทงไม่ต่างไปจากกระบี่เล่มหนึ่ง “ข้าไม่สนว่าพวกท่านจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ข้าแค่อยากรู้ว่าพวกของศิษย์พี่ฮันตกลงไปอยู่ที่หุบเหวด้านล่างจริงหรือไม่… หากพวกเขายังอยู่ ข้าก็ต้องการเจอตัว หากพวกเขาตายแล้ว ข้าก็ต้องการเห็นศพ”
หุบเหวไร้ก้นบึ้งแห่งผาดาวตกคือสถานที่ที่อันตรายมาก
เมื่อสักครู่ หลินเป่ยเฉินรีบร้อนกระโดดลงไปด้วยความวู่วาม แต่เขาลงไปได้ยังไม่ถึงสองลี้ ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวและอันตราย สายรัดผมของเขาถูกสายลมตัดขาด แต่บนผนังหินนั้น หลินเป่ยเฉินได้พบกับเศษผ้าชิ้นหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายเศษผ้าจากเสื้อคลุมของนายทหารแห่งกองทัพเป่ยไห่เกี่ยวติดอยู่กับแง่งหินแง่งหนึ่ง
ดังนั้น มันจึงมีความเป็นไปได้ที่พวกของฮันปู้ฟู่จะกระโดดลงไปและเกิดการไถลครูดกับผนังหินผาตลอดทาง
แต่แน่นอนว่ามันอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ได้
และนี่คือสิ่งที่เขาต้องหาคำตอบ
หลินเป่ยเฉินจะใช้ให้นายทหารจากกองทัพจี้กวงเหล่านี้ลงไปสำรวจ
เมื่อเห็นสีหน้าของหลินเป่ยเฉิน องค์ชายอวี่ก็ไม่มีทางปฏิเสธได้อีกแล้ว
หุบเหวไร้ก้นบึ้งคือสถานที่อันตรายก็จริง
แต่ไม่มีสิ่งใดจะอันตรายมากไปกว่าหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว
“นอกจากนี้ ข้าต้องการให้กองทัพจี้กวงจัดพิธีกราบไหว้ขอขมานายทหารแห่งกองทัพเป่ยไห่ผู้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่องตลอดสามวันสามคืน” หลินเป่ยเฉินพูดต่อด้วยน้ำเสียงดุดัน
“เรื่องนั้น…”
องค์ชายอวี่มีสีหน้าลังเลเล็กน้อย
“มีปัญหาอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถลึงตาจ้องมอง
“ย่อมไม่มีปัญหา”
องค์ชายอวี่รีบตอบตกลง
หลินเป่ยเฉินเก็บคทากลับไปแล้ว
เขาชำเลืองมองไปที่องค์ชายอวี่อีกครั้งด้วยความเศร้า
น่าสงสาร
ครั้งนี้ เขาไม่ได้อยากให้องค์ชายอวี่ต้องมารับผิดชอบเรื่องราวเหล่านี้เลยจริง ๆ
แต่สายตาเช่นนั้นของหลินเป่ยเฉินกลับทำให้องค์ชายอวี่รู้สึกขนลุกขนชันไปทั่วร่างกาย เพราะเขารู้สึกเหมือนกับว่าเด็กหนุ่มยังคงมีความปรารถนาที่จะสังหารตนเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น
…
ผลการประลองบนหน้าผาดาวตกถูกส่งกลับไปยังทั้งสองจักรวรรดิในวันเดียวกัน
ณ จักรวรรดิเป่ยไห่
เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจของบรรดาขุนนางใหญ่ดังกึกก้องทั่วตำหนักบริหารขององค์จักรพรรดิ
ทุกคนล้วนตื่นเต้นดีใจไปกับข่าวดีในครั้งนี้
นี่คือครั้งแรกที่กองทัพเป่ยไห่สามารถเอาชนะสงครามครั้งใหญ่ได้ในรอบ 100 ปี มิหนำซ้ำ ยังสามารถยึดมณฑลลั่วหนานของจักรวรรดิจี้กวงมาเป็นของตนเองได้อีกด้วย นับดูตั้งแต่ที่ก่อตั้งจักรวรรดิเป็นต้นมา ไม่เคยมีครั้งใดที่เป่ยไห่จะสามารถเอาชนะศัตรูได้อย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้มาก่อน
การประลองเดิมพันชีวิตบนผาดาวตกในครั้งนี้ เป็นเสมือนการหักกระดูกสันหลังของกองทัพจี้กวงและก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงใหญ่หลวงนัก
สามารถคาดการณ์ได้ว่าจักรวรรดิเป่ยไห่คงกำลังคิดแผนการขยายเขตแดนในเร็ววันนี้เป็นแน่แท้
ณ จักรวรรดิจี้กวง
ในตำหนักบริหารที่ทุกคนกำลังรอรับฟังรายงานการประลองอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อรับทราบผลการต่อสู้ที่ออกมา องค์จักรพรรดิก็ถึงกับกระอักเลือดและสลบไปทันที นอกจากนี้ ยังมีแม่ทัพใหญ่และขุนนางคนสำคัญอีก 21 คนที่หมดสติไปเพราะความตกตะลึงเช่นกัน
พ่ายแพ้แล้ว!
พวกเขาพ่ายแพ้ยับเยิน!!
ไม่ว่าจะเป็นทูตสวรรค์อวี้จูอวี่หรือหัวหน้านักบวชและยอดฝีมืออันดับหนึ่งของจักรวรรดิอย่างซูถิงฟางต่างก็เสียชีวิตในการประลองด้วยกันทั้งคู่
แม้แต่องค์ชายเก้าก็ไม่รอดชีวิต
นี่คือความสูญเสียทั้งกับราชสำนัก กับมหาวิหารเทพแห่งธนู และกับกองทัพจี้กวงโดยตรง
นอกจากนี้ ผู้ที่เอาชนะทุกคนกลับเป็นหลินเป่ยเฉินเพียงคนเดียว… และหลินเป่ยเฉินก็มีสถานะเป็นหัวหน้านักบวชจากวิหารหลวงของเทพีกระบี่ไม่ใช่หรือ?
สามารถคำนวณได้เลยว่าอีกหลายร้อยปีต่อจากนี้ จักรวรรดิจี้กวงคงยังไม่สามารถฟื้นฟูความยิ่งใหญ่กลับคืนมาได้เป็นแน่แท้
นี่คือข่าวใหญ่ที่ไม่สามารถปิดบังได้
ในไม่ช้า จักรวรรดิเป่ยไห่กับจักรวรรดิจี้กวงก็มีความแตกต่างกันราวเปลวไฟกับน้ำแข็ง
แต่เรื่องราวเหล่านี้ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับหลินเป่ยเฉิน
ครึ่งเดือนหลังการประลองบนหน้าผาดาวตก เขาก็กลับไปที่นครหลวง
การสำรวจหุบเหวที่ไร้ก้นบึ้งนั้น แม้เด็กหนุ่มจะพยายามลงไปสำรวจด้วยตนเองอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่พบอะไรทั้งสิ้น
หลินเป่ยเฉินได้แต่ฝากความหวังในการสำรวจเอาไว้ที่กองทัพจี้กวง
ถึงขุนพลผู้กล้าจากกองทัพจี้กวงจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าหลินเป่ยเฉิน แต่พวกเขาล้วนเป็นนักรบที่มีประสบการณ์โชกโชน บางคนชำนาญด้านการเล่นแร่แปรธาตุ บางคนชำนาญด้านการสร้างค่ายอาคม บางคนชำนาญด้านการลาดตระเวน พวกเขาต่างก็ระดมสมองประชุมแผนการวางแผนสำรวจอย่างรอบคอบรัดกุม
คำโบราณที่ว่า ‘หลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว’ สามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์เสมอ
ส่วนเหตุผลที่หลินเป่ยเฉินต้องรีบเดินทางกลับนครหลวงนั้น เป็นเพราะเขาได้รับจดหมายเชิญจากท่านพี่หญิงเหยียนอิง
เนื้อความในจดหมายบอกว่าอาจารย์ติงซานฉือกับภรรยาได้เดินทางขึ้นมาจากโลกใต้ทะเล และขณะนี้ก็กำลังมุ่งหน้าไปที่นครหลวงแล้ว
“ท่านอาจารย์กลับมาแล้ว?”
หลินเป่ยเฉินประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
นานเท่าไหร่แล้วนะ?
นี่เขาไม่ได้พบหน้าอาจารย์เกือบหนึ่งปีแล้วกระมัง?
ด้วยเหตุนี้ เด็กหนุ่มจึงรีบเดินทางกลับสู่นครหลวงโดยเร็ว