ตอนที่ 1,059 มันไม่เคยเป็นเช่นนี้
เมืองไป๋หยุนตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเขตว่านซาน ต้นไม้ใบหญ้าที่ปกคลุมพื้นดินงอกเงยไม่สูงนัก อุณหภูมิหนาวเย็น นี่คือฤดูใบไม้ผลิ แต่ต้นไม้ใบหญ้าในแดนพายัพกลับยังไม่เขียวชอุ่ม ไม่ว่ามองไปยังทิศทางใดก็จะเห็นเพียงก้อนหินสีขาวปรากฏอยู่เต็มไปหมด และภูเขาที่อยู่ในสายตาจำนวนมากกลับไม่มีต้นหญ้าขึ้นแซมสักเล็กน้อย มันเป็นเพียงภูเขาหินที่น่าวังเวงเท่านั้น
ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา มีแต่เพียงบนยอดเขาไป๋หยุนซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองไป๋หยุนเท่านั้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้นานาชนิด ทัศนียภาพสวยงามน่าประทับใจ ในเขตแดนว่านซานแห่งนี้ ไม่มียอดเขาใดจะสวยงามและมีความพิเศษมากเท่ากับยอดเขาไป๋หยุนอีกแล้ว
เมืองไป๋หยุนย่อมอยู่บนยอดเขาไป๋หยุน
ยอดเขาแทงตัวทะลุก้อนเมฆสูงเสียดฟ้า
เรือเหาะวิหคยักษ์ค่อย ๆ ผ่อนความเร็วลงแล่นเข้าสู่ท่าเทียบเรือประจำเมืองอย่างแช่มช้า
“นี่หรือคือเมืองไป๋หยุน?”
หลินเป่ยเฉินที่ยืนอยู่บนหัวเรือกวาดสายตามองรอบกาย
ท่าเทียบเรือเบื้องหน้าเขาคือผาหินขนาดใหญ่ที่ถูกขุดลึกเข้าไปด้านในถึงครึ่งหนึ่ง และบนหน้าผาก็ยังแกะสลักเป็นรูปปั้นมือกระบี่สี่แขนขนาดใหญ่โตมโหฬาร ซึ่งแขนแต่ละข้างก็กำลังวาดกระบี่อยู่ในท่วงท่าแตกต่างไม่ซ้ำกัน
รูปปั้นหินขนาดใหญ่ยักษ์ตัวนี้มีการลงสีสันอย่างยิ่งใหญ่อลังการ
สมควรแล้วที่ได้รับการยกย่องให้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของมือกระบี่ประจำจักรวรรดิเป่ยไห่
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย
ไม่ทราบเลยว่ากว่าจะก่อตั้งเมืองไป๋หยุนแห่งนี้ขึ้นมาได้ ทางจักรวรรดิต้องใช้กำลังคน วัสดุการก่อสร้าง และทรัพยากรทางการเงินไปมากมายขนาดไหน
เมื่อจินตนาการว่าจักรวรรดิเป่ยไห่เคยมีความร่ำรวยถึงเพียงใด เด็กหนุ่มก็อดรู้สึกสะทกสะท้อนใจขึ้นมาไม่ได้
วี๊ดดด!
ทันใดนั้น บังเกิดเสียงหวีดแหลมสูง แล้วเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมท่าเรือก็ปรากฏตัวออกมาจากแขนข้างที่สามของรูปปั้นมือกระบี่
บันไดไม้จากเรือเหาะวิหคยักษ์ถูกพาดเข้ากับแขนยักษ์ของรูปปั้นมือกระบี่นั้น
ผู้คนบนเรือเหาะไต่บันไดลงไปราวกับมดตัวจ้อย
“ในที่สุด ข้าก็ได้กลับมาแล้ว”
เมื่อติงซานฉือเหยียบเท้าลงไปบนท่าเทียบเรือ ชายชราก็แสดงความตื่นเต้นออกมาจนริมฝีปากสั่นระริกไม่รู้ตัว
ในอดีต ติงซานฉือเคยเดินทางออกจากเมืองแห่งนี้พร้อมกับคิดว่าตนเองคงไม่มีวาสนาได้กลับมาอีกแล้ว
ที่นี่เต็มไปด้วยความทรงจำแห่งวัยเยาว์ของเขา ต่อให้ผ่านไปหลายสิบปี แต่ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นก็ยังคงปรากฎอยู่ที่เดิม ไม่ต่างไปจากภาพในความฝันที่ปรากฏขึ้นยามติงซานฉือนอนหลับนับครั้งไม่ถ้วน
เพียงแต่ว่าเมืองไป๋หยุนในขณะนี้ดูเสื่อมโทรมไปมากนับจากตอนที่เขาจากไป
ในอดีต ท่าเทียบเรือมือกระบี่สี่กรเคยต้อนรับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่เดินทางเข้าออกดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ตลอดเวลา คนหนุ่มคนสาวจำนวนมากต่างก็หวังที่จะได้เป็นลูกศิษย์ของเมืองไป๋หยุน ขบวนพ่อค้าวาณิชเดินทางเข้าออกไม่ขาดสาย โคมไฟถูกจุดสว่างไสวทั้งวันทั้งคืน
ทางด้านลูกศิษย์เมืองไป๋หยุนก็จะสวมใส่อาภรณ์สีขาวสะอาดตา ออกปฏิบัติภารกิจให้แก่สำนักของตนเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พวกเขามีหน้าที่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือดูแลท่าเทียบเรือให้ดีที่สุด ถึงกระนั้น การจัดเก็บ ‘ค่าจอดเรือเหาะ’ ‘ค่าดูแลเรือเหาะ’ และ ‘ค่านำทาง’ ก็สามารถสร้างรายได้ให้แก่สำนักของพวกเขาเป็นจำนวนมหาศาล
แต่สิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าติงซานฉือขณะนี้เล่า?
ดูเหมือนท่าเทียบเรือจะไม่ได้รับการซ่อมแซมมานานแล้ว
พื้นหินแตกร้าวเต็มไปด้วยวัชพืช เห็นได้ชัดว่าไม่เคยได้รับการทำความสะอาดมานานโข ก้อนหินที่เคยเป็นสีขาวสะอาดตาก็กลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม คราบตะไคร่สีเขียวอี๋ปรากฏให้เห็นตามพื้นหินที่แตกล่อน หอคอยโลหะบางหลังขึ้นสนิมและถูกปิดตาย ค่ายอาคมที่เคยเปิดใช้งานก็ถูกสลายลงไปเมื่อไหร่ไม่มีใครทราบ ปรากฏเรือเหาะจำนวนมากลอยลำอยู่นอกท่าเทียบเรือปราศจากผู้คนเหลียวแล…
“พวกเจ้าจ่ายค่าผ่านทางมาเดี๋ยวนี้”
ทันใดนั้น น้ำเสียงที่หยาบคายก็ดังมาจากชายฉกรรจ์ชุดเกราะแดงร่างกายบึกบึนผู้หนึ่ง
“เจ้าเป็นใคร?”
ติงซานฉือหันไปชำเลืองมองหน้าชายฉกรรจ์ชุดเกราะแดง อีกฝ่ายดูไม่เหมือนลูกศิษย์ของเมืองไป๋หยุนเลยแม้แต่น้อย
ชุดเกราะสีแดงที่ชายฉกรรจ์สวมใส่บอกชัดว่าเขาไม่ได้เป็นสมาชิกของจักรวรรดิเป่ยไห่ด้วยซ้ำ
เกิดอะไรขึ้น?
ในสมองของติงซานฉือมีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด?
“ข้าเป็นใครแล้วจะทำไม?”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำสบถด้วยความเดือดดาล “เหตุไฉนจึงยังไม่จ่ายค่าผ่านทางมาอีก? นอกจากนั้น เจ้าต้องจ่ายค่าเทียบเรือ ค่าบำรุงรักษา ค่านำทาง ค่าบริการ และค่าอำนวยความสะดวก… สรุปว่าเจ้าต้องจ่ายทั้งหมดนี้เป็นศิลาบูชาจำนวน 10 ก้อน เร็วเข้า อย่าได้มัวเชื่องช้า ข้าไม่ได้มีเวลามาพูดคุยกับพวกเจ้าทั้งวัน”
“เฮอะ ราคานี้ไม่แพงเกินไปหน่อยหรือไร”
หลินเป่ยเฉินก้าวออกมาข้างหน้าและพูดด้วยความไม่พอใจ “ค่าผ่านทาง? ค่าบำรุงรักษา? ค่าบริการ? ค่านำทาง? พวกเราไม่ได้ต้องการให้เจ้านำทางสักหน่อย”
“ประเสริฐ ถ้าอย่างนั้นเจ้าเดินไปข้างหน้าสองร้อยก้าว เลี้ยวซ้าย เดินขึ้นบันได เจ้าจะพบกับประตูเมืองฝั่งตะวันออกของเมืองไป๋หยุน…” ชายฉกรรจ์ชุดเกราะแดงหัวเราะเยาะ “ทีนี้เจ้าก็ได้รับการนำทางจากข้าแล้ว จ่ายค่าบริการมาเสียดี ๆ”
“ไม่จำเป็น”
ติงซานฉือตอบเสียงแข็ง “ข้ารู้จักถนนทุกสายในเมืองนี้ดี”
“หา?”
ชายฉกรรจ์ชุดเกราะแดงยิ้มมุมปาก ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะรู้จักถนนทุกสายในเมืองดีหรือไม่ แต่เจ้าได้ยินการบอกเส้นทางของข้าแล้ว เพราะฉะนั้น เจ้าต้องจ่ายค่าบริการให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“พวกข้าจะไปจ่ายให้เจ้าได้อย่างไร?”
“หากพวกเจ้าไม่อยากจ่าย… ก็จะตัดหัวพวกเจ้าทิ้งไปเสีย”
ว่าไงนะ?
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
วิธีการหาเงินที่ไร้ยางอายเช่นนี้ แม้แต่เขาก็ยังไม่กล้าทำ
นี่ไม่นับว่าเป็นลูกศิษย์ของเมืองไป๋หยุนแล้ว นี่เรียกว่าเป็นโจรร้ายรีดไถผู้คนต่างหาก
เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าติงซานฉือ
ชายชราก็มีสีหน้าโกรธแค้นขึ้นมาแล้วเช่นกัน “เจ้าไม่ใช่ศิษย์เมืองไป๋หยุน เจ้าเป็นใครกันแน่?”
“เฮอะ”
ชายร่างกำยำในชุดเกราะสีแดงคายเศษฟางที่คาบอยู่ในปากออกมาใส่มือของตนเอง ก่อนจะใช้นิ้วหักเศษฟางนั้นและกล่าวว่า “สุนัขเฒ่าอย่างเจ้าสายตาฝ้าฟางแล้วหรืออย่างไร ข้าไม่ใช่ลูกศิษย์ของเมืองไป๋หยุนแล้วจะทำไม? ถึงอย่างไรข้าก็สามารถสังหารเจ้าได้ทุกเมื่อก็แล้วกัน… โอ๊ย เจ็บนะ ปล่อยมือ”
ข้อมือของเขาถูกหลินเป่ยเฉินจับแน่น
“อาจารย์ขอรับ มันผู้นี้ใช่ลูกศิษย์เมืองไป๋หยุนหรือไม่?”
คุณชายหลินหันกลับไปมองหน้าอาจารย์ติง
ติงซานฉือเห็นแววตาเด็กหนุ่มเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร จึงรู้ดีว่าลูกศิษย์ของตนเองกำลังหมายถึงอะไร เขารีบส่ายศีรษะกล่าวว่า “อย่าทำอะไรวู่วาม คอยดูสถานการณ์ไปก่อน”
สถานการณ์ในขณะนี้แปลกประหลาดมากเกินไป
“รับทราบขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
ผลัก!
หลินเป่ยเฉินวาดเท้าเตะเต็มแรง
“อัก…”
ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีแดงลอยกระเด็นออกไปราวกับลูกศรหลุดออกจากแหล่ง เขาส่งเสียงร้องโหยหวน ก่อนจะกระแทกเข้ากับหอคอยโลหะที่ตั้งอยู่ข้างทางเสียงดังโครม โลหิตพุ่งกระฉูดออกมาจากปาก ตัวคนค่อยๆ ไถลลงมานอนกองอยู่บนพื้นดิน
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เจ้าหน้าที่ถูกทำร้าย…”
“ผู้ใดกล้ามาก่อกวนที่ท่าเรือไป๋หยุน? มันผู้นั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้วใช่หรือไม่”
“เร็วเข้า พวกเรารีบไปปิดล้อมมันไว้ อย่าให้มันหลบหนีไปได้”
ระหว่างที่เกิดเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ชายฉกรรจ์ชุดเกราะแดงสิบกว่าคนก็วิ่งออกมาจากหอคอยที่ตั้งอยู่ห่างออกไป พวกเขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อครู่ตนเองได้ยินเสียงมีผู้คนถูกทำร้าย กลุ่มชายฉกรรจ์จึงรีบวิ่งออกมาพร้อมกับกระบี่ในมือ…
นับเป็นภาพที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
“อาจารย์แน่ใจนะขอรับว่าที่นี่คือเมืองไป๋หยุน?”
หลินเป่ยเฉินแอบถามเบา ๆ “ไม่ใช่ว่าเรามาลงจอดผิดเมืองนะ?”
ใบหน้าของติงซานฉือแสดงออกถึงความตกตะลึงอย่างแท้จริง
เขาไม่ทราบเลยว่าเมืองไป๋หยุนเปลี่ยนไปถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่นี่ไม่ใช่เมืองไป๋หยุนที่อยู่ในความทรงจำของติงซานฉือเด็ดขาด
“พี่ใหญ่ เป็นพวกมันขอรับ…”
ชายร่างกำยำที่ถูกเตะจนกระอักเลือดยกมือชี้มาทางพวกของหลินเป่ยเฉิน “พวกมันไม่ยอมจ่ายค่าผ่านทาง… อย่าปล่อยพวกมันไป”
วูบ! วูบ! วูบ!
รังสีกระบี่พุ่งแหวกอากาศ
พลังงานคมกริบดุดันร้ายกาจ
หลินเป่ยเฉินเพียงโคจรพลังลมปราณของตนเองเล็กน้อย
พรึ่บ!
แล้วรังสีกระบี่เหล่านั้นก็สลายหายไปในพริบตา
“อาจารย์ขอรับ ถึงขนาดนี้แล้ว ยังฆ่าไม่ได้อีกหรือ?”
เขาหันไปมองหน้าติงซานฉืออีกครั้ง
เฮ้อ น่าเสียดายที่หลินเป่ยเฉินแพ้พนันบนเรือเหาะ
บัดนี้ เขาจึงต้องเชื่อฟังคำพูดของอาจารย์โดยไม่มีข้อแม้
ติงซานฉือส่ายหน้า ตอบว่า “ค่อยไว้คิดบัญชีทีหลังก็ไม่สาย”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความผิดหวัง “สมแล้วที่ท่านเป็นเขยของชาวทะเล ไม่งั้นก็คงทนโดนดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ไม่ได้แน่”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า?”
ติงซานฉือถึงกับหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย
“ก็แค่พูดลอย ๆ ขอรับ ไม่มีอันใดหรอก”
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปถลึงตาจ้องมองกลุ่มชายฉกรรจ์ชุดเกราะแดง ซึ่งบัดนี้ล่าถอยกลับไปยืนอยู่ห่างไกลด้วยความหวาดกลัว “ถ้าอย่างนั้น อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำอย่างไร ให้คุกเข่าขอร้องพวกเขาปล่อยเราเข้าเมืองดีหรือไม่?”
ติงซานฉือขมวดคิ้ว
ทันใดนั้น เสียงหวานใสที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจก็ดังขึ้น “ทะ ท่านคือ… ศิษย์พี่ติงใช่หรือไม่?”