ตอนที่ 1,058 ทำไมหมูถึงบินได้เร็วขนาดนี้
หลินเป่ยเฉินเหม่อมองก้อนเมฆขาวรอบตัวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “อาจารย์ขอรับ ศิษย์ได้ยินมาว่าเฉินเซียวเยี่ยนเป็นบุคคลแปลกประหลาดยิ่งนัก นอกจากคิดค่าตีกระบี่แพงแล้ว ยังไม่ค่อยยอมตีกระบี่ให้ผู้ใดอีกด้วย แม้มีคำสั่งมาจากทางราชสำนัก เขาก็ไม่ใคร่อยากทำสักเท่าไหร่ ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
ติงซานฉือยิ้มพร้อมกับยกมือลูบหนวดเคราของตนเอง ตอบว่า “เรื่องจริงยิ่งกว่านั้นอีก ข้าเคยได้ยินมาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้วว่า เฉินเซียวเยี่ยนปิดประตูไม่รับตีกระบี่ให้ใครอีก อย่าว่าแต่ทางราชสำนักเลย ต่อให้อาศัยความเป็นหัวหน้านักบวช เจ้าก็ไปสั่งให้เขาตีกระบี่ไม่ได้”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาและรำพึงรำพันว่า “หวังว่าเขาคงไม่บังคับให้ศิษย์ต้องทำอะไรรุนแรงนะขอรับ”
ติงซานฉือกะพริบตาปริบ ๆ
มองหน้าลูกศิษย์ของตนเองด้วยความไม่อยากเชื่อ
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อ “หากเขาไม่ยอมตีกระบี่ให้ศิษย์จริง ๆ ศิษย์ก็จะลักพาตัวครอบครัวของเขามาทรมาน และเมื่อถึงตอนนั้น อาการทางสมองของศิษย์อาจกำเริบและศิษย์อาจทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
ติงซานฉือรับฟังดังนั้นก็สบถออกมาทันที “เจ้าลูกเต่าตัวแสบ”
ชายชราอดเหงื่อตกแทนนักหลอมกระบี่อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าขึ้นมาไม่ได้จริง ๆ
ไม่ว่าใครก็ตามที่กลายเป็นเป้าหมายของหลินเป่ยเฉิน ก็นับว่าชีวิตมีเคราะห์กรรมเป็นอย่างยิ่ง
…
กาลเวลาผ่านไป
เพียงพริบตาเดียว พวกเขาก็เดินทางมาได้ห้าวันแล้ว
ในที่สุด เรือเหาะวิหคยักษ์ก็ลอยลำเข้าสู่เขตว่านซาน
ชื่อนี้มีความหมายว่าล้านภูผา อันหมายถึงจำนวนของขุนเขาสูงเสียดฟ้าที่ปรากฏอยู่เป็นจำนวนมากนั่นเอง
ขุนเขาที่สูงที่สุดของจักรวรรดิเป่ยไห่ก็คือยอดเขาไป๋หยุน และนั่นก็คือที่ตั้งของเมืองไป๋หยุน สถานที่ซึ่งรายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันสวยงามและภูเขาสูงชันจำนวนนับไม่ถ้วน
“เร่งความเร็วเต็มกำลัง พวกเราต้องไปถึงเมืองไป๋หยุนให้ได้ในวันนี้”
หลินเป่ยเฉินกระโดดขึ้นไปยืนตะโกนอยู่บนหัวเรือเหาะ
ค่ายอาคมที่อยู่บนเรือเหาะทำงานตามคำสั่งทันที
หลังจากนั้น เรือเหาะวิหคยักษ์ของพวกเขาก็แล่นฝ่ากลุ่มก้อนเมฆพุ่งตรงไปข้างหน้ารวดเร็วไม่ต่างจากลูกธนูหลุดออกจากแหล่ง
“ฮ่า ๆๆ เรือเหาะลำนี้เร็วยิ่งกว่าเรือเหาะนิลกาฬของกองทัพเป่ยไห่อีกนะเนี่ย”
หลินเป่ยเฉินเดินชมทัศนียภาพสองข้างทางอย่างมีความสุข “อาจารย์คงไม่เคยขึ้นเรือเหาะที่เร็วขนาดนี้มาก่อนสินะขอรับ ฮ่า ๆๆ ข้าขอเดิมพันเลยว่าไม่มีเรือเหาะลำใดจะเร็วมากกว่าเรือเหาะของข้าอีกแล้ว…”
วูบ!
ทันใดนั้นได้ยินเสียงบางอย่างกำลังพุ่งแหวกอากาศเข้ามา
ปรากฏว่าเป็นวัตถุบินได้รูปทรงกระสวยลำหนึ่งที่มีความยาวกว่า 60 เซี๊ยะได้เเล่นแซงหน้าเรือเหาะวิหคยักษ์ไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนสามารถมองเห็นได้ว่าบนกระสวยสีดำนั้นมีสตรีชุดม่วงสามคนยืนท้าทายสายลมอย่างไม่กลัวว่าตนเองจะตกลงมา
สตรีทั้งสามนางล้วนมีสีหน้าสดใส ใบหน้าสะสวย
หนึ่งในนั้นได้เหลียวหน้ามองกลับมาที่เรือเหาะวิหคยักษ์ ก่อนที่พาหนะของพวกนางจะพุ่งหายไปในเส้นขอบฟ้า
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
ติงซานฉือหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน
เฉียนเหมย เฉียนเจิน เซียวปิงและบรรดาสัตว์เลี้ยงของพวกเขาต่างก็มองมาที่หลินเป่ยเฉินเป็นตาเดียวกัน
แหะแหะแหะ
หลินเป่ยเฉินได้แต่ยกมือเกาหัวแก้เก้อ
เอ่อ…
เขารู้สึกเหมือนตนเองเพิ่งถูกตบหน้า
“ที่ผ่านเราไปเมื่อสักครู่นี้ มันคืออะไรหรือขอรับ?”
เขารีบเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว
ติงซานฉือมีสีหน้าขบคิดเล็กน้อย ต้องใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะตอบออกมาได้ว่า “ดูเหมือนจะเป็นกระสวยสำรวจสวรรค์ในตำนาน ส่วนสตรีทั้งสามนางนั้นก็น่าจะเป็นศิษย์ของสำนักคฤหาสน์กำยาน สำนักกระบี่ชื่อดังแห่งแผ่นดินตงเต้า… คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าพวกนางก็จะเข้าร่วมการประลองครั้งนี้ด้วย”
“สำนักคฤหาสน์กำยาน?”
หลินเป่ยเฉินอดถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้ “หมายถึงสำนักกระบี่ที่มีแต่ศิษย์สตรีใช่ไหมขอรับ ว่าแต่พวกนางโด่งดังขนาดนั้นเชียวหรือ?”
ติงซานฉือหันกลับมามองหน้าเด็กหนุ่มและกล่าวว่า “เมืองไป๋หยุนถูกจัดอยู่ในอันดับสำนักกระบี่ลำดับที่ 21 ของแผ่นดินตงเต้า แต่สำนักคฤหาสน์กำยานถูกจัดอยู่ในลำดับที่สาม เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินถึงกับตะลึงลาน
“อาจารย์ขอรับ สำนักคฤหาสน์กำยานไม่คิดรับศิษย์ที่เป็นบุรุษบ้างหรือ?”
“ไม่เคยคิด” ติงซานฉือส่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วกล่าวว่า “เจ้าเลิกคิดเพ้อฝันไปได้เลย”
หลินเป่ยเฉินถามต่ออย่างไม่ยอมแพ้ “หากบุรุษหนุ่มรูปงามทั้งมีพรสวรรค์ด้านกระบี่เป็นเลิศอย่างข้า ไปขอสมัครเป็นศิษย์ของพวกเขา ท่านคิดว่าพวกเขาจะรับข้าหรือไม่?”
ติงซานฉือยิ้มมุมปากด้วยความเหยียดยาม “สมัยหนุ่ม ๆ ข้าเคยลองไปสมัครแล้ว พวกเขายังไม่ต้อนรับข้าเลย”
“ก็อาจารย์ไม่ใช่บุรุษหนุ่มรูปงามนี่ขอรับ”
หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองติงซานฉือด้วยหางตาและกล่าวด้วยความเหนื่อยใจ “ท่านอย่าได้กล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้อีกเลย”
ผู้เป็นอาจารย์ใบหน้ากระตุกขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าศิษย์ไม่เอาไหน เมื่อสักครู่เจ้าว่าอะไรนะ? ไม่มีเรือเหาะลำไหนจะเร็วมากไปกว่าเรือเหาะของเจ้าอีกแล้วใช่ไหม? ฮ่า ๆๆ …เจ้ามันหลงตัวเองเกินไปแล้ว”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “กระสวยสำรวจสวรรค์ไม่อาจนับว่าเป็นเรือเหาะขอรับ มันแค่เป็นวัตถุบินได้ชนิดหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นจึงเท่ากับว่ายังไม่มีเรือเหาะลำไหนเร็วมากกว่าเรือเหาะวิหคยักษ์ลำนี้อยู่ดี ไม่ทราบว่าท่านมีปัญหาหรือไม่?”
ทันใดนั้น ติงซานฉือหันหน้ามองกลับไปทางด้านหลังเรือเหาะวิหคยักษ์ นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน จึงได้กล่าวออกมา
“หากมีเล่า?”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะก่อนกัดฟันตอบว่า “เป็นไปไม่ได้ขอรับ หากมีจริง พวกเราไปถึงเมืองไป๋หยุนเมื่อไหร่ ศิษย์ยินดีกระโดดลงไปว่ายน้ำท่าผีเสื้อในบ่ออุจจาระเลยขอรับ…”
ติงซานฉือใบหน้ากระตุกไม่หยุดยั้ง
นี่บุตรสาวของเขาตกหลุมรักเด็กหนุ่มที่สกปรกโสโครกอย่างหลินเป่ยเฉินจริง ๆ หรือ?
“ไม่ต้องหรอก หากเจ้าแพ้ เมื่อไปถึงเมืองไป๋หยุนแล้ว ขอแค่เจ้าเชื่อฟังอาจารย์ก็พอ เจ้าต้องทำทุกอย่างตามที่อาจารย์สั่ง เข้าใจหรือไม่?”
ติงซานฉือว่า
“เข้าใจขอรับ”
หลินเป่ยเฉินไม่ปฏิเสธ หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย เขาก็กล่าวต่อ “แต่ศิษย์ต้องเห็นเรือเหาะลำนั้นด้วยตาของตนเองนะขอรับ ท่านจะยกเอาเพียงตำนานมาเล่าขานไม่ได้เด็ดขาด”
“จี๊ด”
จังหวะนั้น อากวงส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมา
หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยง
ติงซานฉือกล่าวว่า “เจ้าลองมองไปที่ด้านหลังสิ”
“มองแล้วขอรับ ไม่เห็นจะมี…. เชี่ย อะไรวะนั่น?”
หลินเป่ยเฉินหมุนตัวกลับไปมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้เด็กหนุ่มต้องตกตะลึง
เนื่องจากห่างไกลออกไปมีหมูยักษ์สีขาวตัวหนึ่งกำลังวิ่งฝ่าก้อนเมฆตรงเข้ามาหาเรือเหาะของพวกเขาอย่างรวดเร็ว และเจ้าหมูยักษ์ตัวนี้ก็กำลังฉุดลากเรือเหาะรูปทรงกระบี่ลำหนึ่งตามหลังมาด้วย
เจ้าหมูยักษ์สีขาวมีลักษณะอ้วนกลม ขาของมันอุดมไปด้วยไขมันจนแทบไม่เป็นขาทั้งสี่ข้างอีกแล้ว แต่ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือมันสามารถวิ่งในอากาศได้อย่างรวดเร็วยิ่ง มิหนำซ้ำ เพียงพริบตาเดียว มันก็ลากเรือเหาะรูปทรงกระบี่ผ่านหน้าเรือเหาะวิหคยักษ์ของหลินเป่ยเฉินทิ้งไปแบบไม่เห็นฝุ่น
“เชี่ยไรเนี่ย… นี่มันอะไรกัน?”
หลินเป่ยเฉินถึงกับสบถออกมาด้วยความเหลือเชื่อ
ทำไมหมูถึงลากเรือเหาะได้ล่ะ?
ทำไมหมูถึงวิ่งในอากาศได้เร็วขนาดนี้?
บนเรือเหาะรูปทรงกระบี่ลำนั้น บรรทุกผู้คนที่สวมใส่ชุดเกราะพร้อมรบเอาไว้หลายร้อยชีวิต
พวกเขาล้วนมีเส้นผมสีขาวราวหิมะ ร่างกายสูงมากกว่ามนุษย์ทั่วไปถึงสองเท่า แต่ลำตัวกลับผอมเพรียว แต่งกายด้วยชุดเกราะสีดำทมิฬ ดวงตาเป็นสีแดงก่ำราวกับบ่อโลหิต สายตาของทุกคนจ้องมองมาที่เรือเหาะวิหคยักษ์ด้วยความเกลียดชังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น เจ้าหมูยักษ์ก็วิ่งลากเรือเหาะรูปทรงกระบี่หายลับไปจากสายตา
“นายทหารพวกนั้นโกรธเกลียดอะไรพวกเราหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความประหลาดใจ “พวกเขาใช่มนุษย์หรือไม่? หรือเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใดกันแน่?”
“พวกเขาคือเผ่าอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็ก”
ติงซานฉือลูบเคราของตนเองและขมวดคิ้วหน้ายุ่ง “เป็นผู้ที่ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งแสง มักจะมีปัญหากับมนุษย์อย่างพวกเราเสมอ อมนุษย์สายพันธุ์นี้อาศัยอยู่ทางแดนพายัพของแผ่นดินตงเต้า เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชำนาญเรื่องการใช้กระบี่ไม่ด้อยไปกว่าพวกเรา…”
“อย่าบอกนะว่าพวกเขาก็มาเข้าร่วมการประลองกระบี่ครั้งนี้ด้วย?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาโดยไม่รู้ตัว “การประลองกระบี่ของเมืองไป๋หยุน มีความพิเศษถึงเพียงนี้เชียวหรือขอรับ?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
ติงซานฉือจ้องมองเด็กหนุ่มเขม็ง “ข้าก็เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ ตำแหน่งเซียนกระบี่หาใช่เพียงตำแหน่งที่เอาไว้เรียกขานทั่วไป เจ้าเด็กโง่ ครั้งนี้ไม่ว่าต้องทำอย่างไร เจ้าก็ต้องคว้าตำแหน่งเซียนกระบี่กลับมาให้ได้ และในภายภาคหน้า เจ้าอาจจะได้เป็นถึงมือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน และมีโอกาสได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นเทพเจ้าเสียด้วยซ้ำ”
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยน้ำเสียงแสดงความจริงใจว่า “เรื่องนั้นไม่สำคัญสำหรับศิษย์หรอกขอรับ สิ่งสำคัญสำหรับศิษย์คือการทำตามความปรารถนาของอาจารย์ให้เป็นจริงต่างหาก”
ติงซานฉือตบศีรษะลูกศิษย์สุดที่รักอย่างแรง ก่อนกล่าวว่า “ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง เจ้าจำได้หรือไม่ว่ารับปากสิ่งใดไว้ ตกลงเมื่อไปถึงเมืองไป๋หยุนแล้ว เจ้าจะลงไปว่ายน้ำท่าผีเสื้อในบ่ออุจจาระ หรือจะยอมเชื่อฟังข้าแต่โดยดี?”
“เอ่อ เรื่องนี้… จำเป็นต้องเลือกด้วยหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินก้มหน้างุด
ไม่ใช่ว่าเขามั่นใจในตนเองมากเกินไป
แต่เป็นโลกใบนี้โหดร้ายกับเขามากเกินไปต่างหาก
ใครจะไปรู้ล่ะว่าโลกนี้มีหมูยักษ์ที่สามารถวิ่งในอากาศได้เร็วถึงเพียงนี้ด้วย?
“จี๊ด”
อากวงยิ้ม พยายามเดินเข้ามาปลอบใจคุณชายหลิน
เพียะ!
มันจึงถูกเด็กหนุ่มตบหัวเข้าไปเต็มแรง “ใครใช้ให้เจ้ามาปลอบใจข้า”
เมื่อเจ้าเสือน้อยเห็นเช่นนั้น มันก็นึกว่าบิดาบุญธรรมของตนเองกำลังจะถูกทำร้าย จึงเผลอตัวแยกเขี้ยวคำรามใส่หลินเป่ยเฉินตามสัญชาตญาณ
“อ้อ เจ้าเชื่อไหม ข้ากำลังอยากรับประทานซุปเนื้อเสืออยู่พอดี”
หลินเป่ยเฉินหันขวับไปมองเจ้าเสือน้อยด้วยแววตาดุร้าย
ติงซานฉือดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์
อากวงตื่นกลัวสุดขีด รีบวิ่งกลับไปยืนขวางหน้าลูกบุญธรรมของตนเอง และจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยแววตาขอร้องอ้อนวอน
เฮ้อ
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
“ฮื่อ เจ้าหมูยักษ์ตัวเมื่อสักครู่ ถ้านำมาย่างไฟ เนื้อน่าจะนุ่มลิ้นดีทีเดียวนะขอรับ”
ได้ยินเสียงเซียวปิงพูดพร้อมกับกลืนน้ำลายเอื้อก
สองชั่วยามต่อมา
ในที่สุด พวกเขาก็เดินทางมาถึงเมืองไป๋หยุนแล้ว