ตอนที่ 1,054 ออกสำรวจรอบเมือง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกอยู่เสมอว่าสักวันหนึ่งหากเขาตาย เขาก็คงต้องตายเพราะปากของตนเองเป็นแน่
หลังออกมาจากสถานทูตของชาวทะเล เด็กหนุ่มก็ไม่ได้กลับไปที่วิหารหลวง
ถึงเขาจะมีตำแหน่งเป็นหัวหน้านักบวช แต่ในความเป็นจริงนั้น เรื่องราวทุกอย่างล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้การจัดการของเยว่เว่ยหยาง
เด็กสาวมีความรับผิดชอบอย่างน่าเหลือเชื่อ ตลอดเวลานางจะถือสมุดบันทึกคอยตรวจสอบรายละเอียดวิธีการปฏิรูปวิหารเทพีกระบี่ให้เป็นไปตามคำพูดของหลินเป่ยเฉิน และเมื่อเด็กหนุ่มเดินทางกลับมาจากหุบเขาดาวตก เขาก็พบว่าพิธีการหลายอย่างที่ตกยุคสมัยได้หายไปจากวิหารของพวกเขาแล้ว
หลินเป่ยเฉินกลัวว่าตนเองจะต้องถูกเยว่เว่ยหยางระดมยิงคำถามเข้าใส่ทันทีที่กลับถึงวิหาร
ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วนครหลวง
ประชากรคนเดินถนนในนครหลวงกลับมาเกือบเท่ากับตอนก่อนจะเกิดการกบฏแล้ว
นับเป็นจำนวนมากมายไม่น่าเชื่อ
เพราะต้องไม่ลืมว่าตระกูลเว่ยสังหารหมู่ชาวเมืองไปหลายล้านชีวิต
ร้านค้าทั้งสองข้างฝั่งของถนนได้รับการปรับปรุงใหม่และกลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง
แม้แต่ร้านที่เป็นรถเข็นและพ่อค้าเร่ตามข้างทางก็ยังสามารถพบเห็นได้ทั่วไปเช่นกัน
ธุรกิจการค้ากลับมาคึกคักอย่างรวดเร็ว
สำนักศึกษาจำนวนมากก็กลับมาเปิดการเรียนการสอนแล้วเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าการกบฏที่เกิดขึ้นนั้น ผลักดันให้คนหนุ่มคนสาวมุ่งมั่นตั้งใจเล่าเรียนมากขึ้น และความกระตือรือร้นของคนรุ่นใหม่เช่นนี้ ก็คือสิ่งที่ยืนยันว่าความพยายามในการสร้างรากฐานเกี่ยวกับการศึกษาของจักรวรรดิเป่ยไห่ตลอดทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาได้ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง
บัดนี้ ตามท้องถนนในนครหลวงล้วนเต็มไปด้วยคนหนุ่มคนสาวที่มีน้ำใจมิตรไมตรีและควรค่าต่อการเคารพรัก
หลินเป่ยเฉินแต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าคนธรรมดา เล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วยขณะเดินเตร่ไปทั่วเมือง
แม้ว่านครหลวงจะเกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่ผู้คนที่อยู่ในโทรศัพท์ของเขากลับแทบไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เช่นในแอปวีแชท เทพีกระบี่หิมะไร้นามก็ยังคงไม่ได้ตอบข้อความของเขา อนุมานได้ว่านางคงกำลังเก็บตัวฝึกวิชา
หลินเป่ยเฉินไม่ได้มีความรู้สึกคิดถึงคนึงหานางสักเท่าไหร่
เพราะถึงที่ผ่านมาพวกเขาจะคอยช่วยเหลือกันและกันก็จริง แต่เทพีกระบี่หิมะไร้นามก็หลอกเงินเขาไปไม่ใช่น้อย
ส่วนในแอปเจิ้นอ้ายหว่าง ธิดาอู๋ไห่จือตี้น่าจะมีปัญหาทางด้านอินเทอร์เน็ต หรือไม่กิจการค้าขายน้ำจืดของนางก็คงประสบปัญหาบางอย่าง ธิดาอู๋ไห่จือตี้จึงไม่ได้กลับมาออนไลน์อีกเลย และแน่นอนว่านางย่อมไม่ได้ติดต่อมาที่หลินเป่ยเฉินแม้แต่ครั้งเดียว…
ทางด้านร้านเพื่อนพ้องพี่น้องโจรในแอปจิงตง มอลล์ ผู้ดูแลร้านออนไลน์อยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็ยังคงประหยัดถ้อยคำเช่นเคย นอกจากนั้น ร้านเพื่อนพ้องพี่น้องโจรยังไม่มีสิ่งของที่หลินเป่ยเฉินต้องการในตอนนี้ และทุกครั้งที่เขาเอ่ยปากขอแอดเพื่อนในแอปวีแชท ผู้ดูแลร้านก็จะตอบกลับมาเพียงสองคำเท่านั้นว่า ‘ไม่ได้’
ดังนั้น คุณชายหลินจึงไม่ได้พูดคุยอะไรอีก
และในแอป Xianyu ลูกค้าจำนวนมากก็ยังคงส่งข้อความส่วนตัวมาหาเด็กหนุ่มอย่างต่อเนื่อง
แต่หลินเป่ยเฉินก็ตัดสินใจยังไม่ทำการค้าขายในยามนี้
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ราคาของผลกวนเจี๋ยในท้องตลาดตกลง หลินเป่ยเฉินจึงเลือกขายผลไม้ของตนเองในจำนวนจำกัด และวิธีการนี้ก็ช่วยลดการเผชิญหน้ากับพวกลูกค้าจอมตื๊อผู้ชื่นชอบการกดราคาให้กับหลินเป่ยเฉินได้เป็นจำนวนมาก
และถ้าวันไหนเขาอารมณ์ดี เด็กหนุ่มก็จะทำการค้าขายให้แก่ผู้ติดต่ออย่างรวดเร็ว ส่วนถ้าวันไหนเขาอารมณ์ไม่ดี หลินเป่ยเฉินก็จะอ่านข้อความเฉย ๆ ทว่าไม่ตอบลูกค้าเลยสักคน
รู้ตัวอีกที หลินเป่ยเฉินก็มาปรากฏตัวอยู่หน้าจวนสกุลหลิงแล้ว
“ไม่รู้เหมือนกันนะว่าพวกของหลิงเฉินจะกลับมาแล้วหรือยัง?”
หลินเป่ยเฉินหยุดยืนอยู่หน้าประตูอย่างใช้ความคิด
ก่อนที่จะเกิดการก่อกบฏจากตระกูลเว่ย เขาได้ข่าวมาว่าตระกูลหลิงติดตามองค์ชายเจ็ดหลบหนีออกไปตั้งหลักอยู่ที่มณฑลเฟิงอวี่ บัดนี้ ก็น่าจะกลับกันมาหมดแล้ว
คิดได้ดังนี้ คุณชายหลินก็หัวเราะออกมา
ฮ่า ๆๆ
ชินหลันซูคัดค้านความรักระหว่างเขากับหลิงเฉินหัวชนฝามาโดยตลอด เพราะนางอยากจะให้บุตรสาวของตนเองแต่งงานกับเว่ยหมิงเฉินแห่งมณฑลเฉียนเกา เดาว่าตอนนี้นางคงเสียใจแทบตายแล้วกระมัง?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่หลินเป่ยเฉินคว้าชัยชนะจากการประลองบนผาดาวตกได้อย่างสง่างาม มารดาของหลิงเฉินก็คงเปลี่ยนใจอยากคุกเข่าขอขมาเขาแล้วสินะ?
ก๊อกก๊อกก๊อก!
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปเคาะประตูเพราะอยากจะเห็นสีหน้าของชินหลันซู
เขาอยากจะทำให้นางได้รู้ซึ้งว่าที่ผ่านมานางตัดสินใจผิดพลาดเพียงใด
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินเคยมาที่นี่แล้วหลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนเป็นการปีนกำแพงเข้าไปแอบพบเจอคุณหนูเล็กประจำตระกูลอย่างลับ ๆ ทั้งสิ้น
แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป
เกิดเป็นบุรุษอกสามศอก ก็ควรเข้าตามตรอกออกทางประตูบ้างไม่ใช่หรือ?
อุ๊วะฮ่า ๆๆ
ก๊อกก๊อกก๊อก!
หลินเป่ยเฉินต้องรัวมือเคาะประตูอยู่นานสองนาน กว่าที่จะมีเสียงฝีเท้าคนเดินตรงมาที่ประตู
แอ๊ดดด
ประตูเปิดออกอย่างแช่มช้า
ผู้ที่เดินออกมาจากหลังบานประตูเป็นชายชราเคราขาวผมขาวผู้หนึ่ง ระดับพลังของเขาอยู่ในขั้นธรรมดา แววตาพร่ามัวจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยความหวาดระแวง “ท่าน… ท่านมาหาผู้ใด?”
“ข้ามาหาคุณหนูหลิงเฉิน”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปโดยไม่ปิดบัง
“ท่านคิดมาหาสตรีที่นี่หรือ?”
ชายชรามีสีหน้างงงวย
“ไม่ใช่สตรีทั่วไป แต่เป็นคุณหนูหลิงเฉิน”
หลินเป่ยเฉินขึ้นเสียงเล็กน้อย
“ท่านคิดว่าที่นี่เป็นหอนางโลมหรืออย่างไร?”
ชายชรากะพริบตาปริบ ๆ “ที่นี่ไม่มีคนที่ท่านถามหาหรอก”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
หรือว่าตาเฒ่าคนนี้จะหูตึง?
เมื่อคิดได้ดังนั้น เด็กหนุ่มก็เดินผ่านประตูเข้าไปในจวนสกุลหลิงหน้าตาเฉย
“ไม่มีใครอยู่ข้างใน…”
ชายชราถือไม้เท้าวิ่งตามมาขวางหน้าเด็กหนุ่มด้วยความร้อนรน “ผู้คนไม่อยู่แล้ว ข้าเป็นเพียงผู้ดูแลที่นี่เท่านั้น… นี่ ทำไมเจ้าถึงยังจะดื้อรั้นเข้าไปให้ได้? เจ้ามาเพื่อขโมยของใช่หรือไม่? ช่วยด้วย พวกเรารีบออกมาเร็ว มีโจรขโมยของ…”
ทันใดนั้น คนกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวออกมา
ล้วนแต่เป็นอันธพาลชั้นปลายแถวที่อาศัยอยู่ในนครหลวง
หลายคนถือกระบี่เดินเข้าหาหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
ตาเฒ่านี่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวจริง ๆ
แต่คำที่พูดว่า ‘ผู้คนไม่อยู่แล้ว’ หมายถึงอะไรกันแน่?
“สหาย เหตุไฉนเจ้าถึงต้องรังแกท่านผู้เฒ่า เจ้าเป็นใครกันแน่?”
หัวหน้ากลุ่มอันธพาลมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ยกมือตบไหล่หลินเป่ยเฉิน
แต่ลมหายใจต่อมา ร่างของเด็กหนุ่มผู้บุกรุกก็หายวับไปกับตา
ทุกคนได้แต่หันมองรอบกายเลิ่กลั่ก
เกิดอะไรขึ้น?
หายไปไหนแล้ว?
หัวหน้ากลุ่มอันธพาลสั่นไหวไปถึงขั้วหัวใจ
พวกเขาพบเจอตัววายร้ายเข้าให้แล้วสิ!!!
“แอบลอบเข้ามาในจวนตระกูลหลิงเช่นนี้ เกรงว่าคงเป็นสายลับของพวกมณฑลเฉียนเกาแล้วกระมัง?”
หนึ่งในกลุ่มอันธพาลคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น
“ใช่ รีบรายงานเรื่องนี้ให้สำนักมือปราบรับทราบกันเถอะ”
ชายชราเห็นด้วยโดยทันที
เขาไม่ได้หูตึง
เพียงแต่ชายชราและกลุ่มชายฉกรรจ์ไม่รู้เลยว่า บุคคลที่ตนเองเพิ่งจะขับไล่ไปนั้น แท้จริงแล้วก็คือหลินเป่ยเฉิน วีรบุรุษแห่งชาตินั่นเอง
…
หลังจากนั้นไม่นาน
“เฮ้อ สุดท้ายก็ต้องแอบปีนกำแพงเหมือนเดิมละวะ”
หลินเป่ยเฉินกระโดดข้ามกำแพงออกมาจากจวนสกุลหลิง ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความสงสัยเต็มเปี่ยม “แต่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมในจวนนอกจากตาเฒ่ากับอันธพาลพวกนั้นถึงไม่มีคนอื่นอยู่อีกเลย? มิหนำซ้ำ ข้าวของยังไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว เหมือนเจ้าของจวนย้ายที่อยู่และไม่คิดกลับมาอีก… หรือว่าพวกเขาจะหลบหนีไปด้วยความหวาดกลัวจริง ๆ?”
ในขณะที่ยืนงงอยู่ตรงนั้น เด็กหนุ่มพลันได้ยินเสียงลอยมาจากถนนที่อยู่ด้านข้าง
“ข่าวดีขอรับ ข่าวดี องค์ชายเจ็ดสามารถนำกองทัพบุกตีป้อมปราการแห่งสุดท้ายของตระกูลเว่ยแตกแล้ว…”
“พวกเราสามารถโค่นล้มมณฑลเฉียนเกาได้แล้ว!”
“ตระกูลเว่ยล่มสลายแล้ว”
“มณฑลเฉียนเกากลับมาเป็นของจักรวรรดิเป่ยไห่อีกครั้ง”
ลูกศิษย์สำนักศึกษาสามคนเดินร้องตะโกนมาตามท้องถนนเพื่อประกาศข่าวดีให้ประชาชนรับทราบ
หืม?
กองทัพเป่ยไห่สามารถยึดมณฑลเฉียนเกาคืนมาจากตระกูลเว่ยได้แล้วหรือ?
คงไม่ใช่ข่าวปลอมหรอกนะ?
ทำไมเว่ยหมิงเฉินถึงไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย?
เทพแห่งวิหารเฉียนเกาเคยหลุดปากออกมาว่าเว่ยหมิงเฉินเป็นผู้ที่ถูกเลือกของเทพพงไพร ระดับพลังย่อมไม่ต่ำต้อย หากเขาคิดต่อต้านขัดขืนจริง ๆ รับรองได้เลยว่าองค์ชายเจ็ดไม่มีทางรับมือเว่ยหมิงเฉินได้แน่นอน
แล้วเหตุไฉนเว่ยหมิงเฉินถึงปล่อยให้รังตระกูลเว่ยถูกทำลายได้ง่ายดายถึงเพียงนี้?
เป็นไปไม่ได้
ต้องมีลับลมคมนัยแอบแฝงอยู่แน่นอน
หลินเป่ยเฉินใช้เวลาขบคิดเพียงเล็กน้อย ก็ตัดสินใจไปขอข้อมูลเพิ่มเติมจากกรมทหาร
ด้วยสถานะปัจจุบันของเด็กหนุ่ม เขาสามารถเข้าถึงข้อมูลของหน่วยข่าวกรองได้ตลอดเวลา เมื่อหลินเป่ยเฉินแจ้งจุดประสงค์ของตนเอง ก็ไม่มีนายทหารหน้าไหนกล้าขัดขวาง เพียงครู่เดียวเท่านั้น ม้วนกระดาษกองใหญ่ที่บรรจุข้อมูลการสู้รบในมณฑลเฉียนเกาก็มาวางอยู่เบื้องหน้าเขาเรียบร้อย
“หืม? ตั้งแต่ต้นจนจบของการสู้รบ ไม่มีผู้ใดเห็นเว่ยหมิงเฉินปรากฏตัวออกมาเลยสักครั้ง?”
“สมาชิกระดับสูงของตระกูลเว่ยต่างก็หายตัวไปหมดสิ้น?”
เมื่ออ่านเอกสารทั้งหมดจบแล้ว คำถามมากมายก็ปรากฏขึ้นในใจของหลินเป่ยเฉิน
หรือว่าเว่ยหมิงเฉินตั้งใจหลบหนี?
แต่ถึงจะเป็นยุทธศาสตร์การหลบหนี ตระกูลเว่ยก็ยังสามารถสร้างความเสียหายให้แก่กองทัพขององค์ชายเจ็ดได้อย่างสาหัสสากรรจ์ ตลอดเส้นทางการต่อสู้ กองทัพขององค์ชายเจ็ดถูกวางยาพิษและถูกวางกับดักเป็นจำนวนมาก และยังมีชาวเมืองอีกนับไม่ถ้วนยอมถวายชีวิตให้แก่เว่ยหมิงเฉิน ถึงขนาดที่ว่ายอมพลีชีพตนเองเพื่อสร้างความเสียหายให้แก่กองทัพเป่ยไห่ให้ได้มากที่สุด…
ยิ่งอ่านรายงานมากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งตกตะลึงมากเท่านั้น
เว่ยหมิงเฉินไม่ใช่ตัวดีจริง ๆ เสียด้วย!
ไม่ว่าจะเดินหน้าถอยหลัง ล้วนแต่สร้างความเสียหายให้แก่พวกเขาได้ทุกเมื่อ
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ เขานึกว่าตนเองเข้าใจโลกนี้ดีขึ้นแล้ว แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนที่เห็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองเป็นเพียงเครื่องมือสังหารชีวิตฝ่ายตรงข้ามอย่างเช่นที่เว่ยหมิงเฉินได้กระทำลงไป
เดี๋ยวก่อนนะ
หลินเป่ยเฉินกลับมาได้สติอีกครั้ง
ในที่สุด เขาก็มีจิตใจของผู้ผดุงความยุติธรรมตัวจริงเสียงจริงแล้วสินะ!!
เขานี่มันควรไปเป็นพระเอกในนิยายออนไลน์สักเรื่องจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินวางม้วนเอกสารลง ก่อนจะเดินออกมาจากกรมทหาร ระหว่างทาง เขาได้รับการคำนับด้วยความเคารพจากนายทหารจำนวนนับไม่ถ้วน
“เว่ยหมิงเฉิน”
‘ข้าขอสาบานว่าเจ้าต้องไม่ได้ตายดี’
‘หากไม่ใช่ว่าข้ารับปากกับอาจารย์ว่าจะไปที่เมืองไป๋หยุน ป่านนี้ข้าคงต้องรีบไปตามล่าตัวเจ้าแล้ว!’
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความโกรธแค้นอยู่ในใจ
บัดนี้ ท้องฟ้ามืดมิด
หลินเป่ยเฉินแวะเข้าไปที่โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดของถนนซีเฉิงและสั่งอาหารมารับประทานเต็มโต๊ะ
ระหว่างที่กำลังดื่มกินอยู่นั้น เขาเห็นเด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาน่ารักน่าชัง กำลังทำการค้าขายด้วยการร้องเพลงแลกเศษเงิน แต่น่าสงสารที่กิจการของนางค่อนข้างเงียบเหงา
ทั้ง ๆ ที่เสียงร้องของนาง…
ร้องเพี้ยน เสียงก็แสบแก้วหู
สมควรแล้วที่จะไม่มีใครให้เงิน!!
เอ่อ
แต่อย่างน้อยหน้าตานางก็น่ารัก…
สรุปว่าจะอย่างไรก็น่าสงสารอยู่ดี
ในฐานะที่เขาเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์และรักความยุติธรรมเทียมฟ้า มีหรือที่หลินเป่ยเฉินจะปล่อยให้เด็กหญิงต้องตกระกำลำบากต่อไป เขาจ่ายเงินให้นางเป็นจำนวน 100 เหรียญทองคำ เพื่อแลกกับการที่เด็กหญิงไม่ต้องร้องเพลงในคืนนี้อีกเลย
เมื่อเด็กหญิงเลิกร้องเพลงแล้ว คุณชายหลินจึงสามารถกลับมารับประทานอาหารได้อย่างสงบสุขอีกครั้ง
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาสั่งสุราชิงกวนมาสามไห เนื้อวัวตากแห้งอีกสิบชิ้น และห่ออาหารที่เหลืออยู่บนโต๊ะใส่กล่อง จากนั้น จึงเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมอย่างเชื่องช้า
นครหลวงไม่มีกฎระเบียบให้ชาวเมืองต้องอยู่แต่ในบ้านยามราตรี
ดังนั้น บนท้องถนนในยามนี้จึงยังคงมีผู้คนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย
หลินเป่ยเฉินเดินอย่างไม่รีบร้อน ใช้เวลาครึ่งชั่วยาม ในที่สุดเขาก็มาถึงสถานทูตของชาวทะเล
และด้วยระดับพลังของเด็กหนุ่มจึงไม่มีใครพบเห็นการมาถึงของเขา
หลินเป่ยเฉินตรงไปที่ห้องพักของเหยียนอิงและใช้หลังมือเคาะหน้าต่างห้องนางเบา ๆ
“นั่นใคร?”
เสียงที่เย็นชาของเหยียนอิงดังขึ้น
“ข้าเองขอรับพี่หญิง ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงกระซิบ
“ไสหัวไปซะ”
เหยียนอิงยังคงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าหลับแล้ว”
“จริงหรือ?”
หลินเป่ยเฉินไม่ได้สะทกสะท้านกับคำตอบของนางแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ เขายังพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “อ้อ ถ้าอย่างนั้นท่านก็คงไม่ได้เปลือยกายอยู่สินะ ประเสริฐ… ข้าขอเข้าไปเลยก็แล้วกัน”
พูดจบ เด็กหนุ่มก็เปิดหน้าต่างและกระโดดเข้าไป
ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอมเจือจาง
เป็นกลิ่นที่สูดดมแล้วชวนให้สดชื่นอย่างยิ่ง
ภายในห้องมีแสงสว่างเพียงเลือนลาง
“ห้องออกจะมืดเกินไปหน่อยนะขอรับพี่หญิง… แต่ท่านไม่ต้องเป็นกังวล ข้านำอาหารและสุรามาด้วย พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งนาน วันพรุ่งนี้ข้าก็ต้องออกเดินทางไกลกับท่านอาจารย์แล้ว เพราะฉะนั้น คืนนี้ข้าจึงแวะมาหาท่าน… เป็นกรณีพิเศษ”
หลินเป่ยเฉินพูดพลางหิ้วไหสุราเดินเข้าไปยังห้องนอนชั้นใน