ตอนที่ 1,055 พวกเรามาคุยธุระกันดีกว่าขอรับ
“อย่าเข้ามา”
เสียงที่เย็นชาของเหยียนอิงดังออกมาจากห้องนอนชั้นใน “ไสหัวออกไปซะ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม
“แต่เมื่อตอนกลางวัน ท่านเป็นคนบอกให้ข้ามาหาท่านเองไม่ใช่หรือ?”
เด็กหนุ่มยังคงกล่าวต่อไป “พี่หญิง ห้องของท่านออกจะมืดเกินไปหน่อยแล้ว พวกเรามาจุดโคมไฟกันก่อนดีกว่า… หรือว่าท่านชอบทำกิจกรรมในที่มืด ๆ ขอรับ?”
“ข้าบอกให้เจ้ามาหาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เหยียนอิงหัวเราะในลำคอด้วยความเหยียดหยาม
“อ้าว ก็สายตาท่านไม่ได้หมายความเช่นนั้นหรอกหรือ?”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าสู่ห้องนอนชั้นในที่มืดมิด “เมื่อตอนกลางวัน ท่านเอาแต่จ้องมองข้าตลอดเวลา อีกอย่าง พวกเราไม่ได้พบกันมานานแล้ว ท่านไม่คิดถึงข้าบ้างหรือ?”
“เฮอะ”
เหยียนอิงส่งเสียงคำรามในลำคอ “ประเสริฐ ถ้าอย่างนั้นเจ้าออกไปรอข้างนอกก่อน”
“รับทราบขอรับ”
หลินเป่ยเฉินถอยกลับมายืนอยู่ที่ห้องโถงชั้นนอก
ไม่นานหลังจากนั้น ได้ยินเสียงผู้คนแต่งตัวอยู่ในห้องนอนชั้นใน
ทันใดนั้น ไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่ที่ติดอยู่บนเพดานห้องโถงชั้นนอกก็สว่างไสวไม่ต่างไปจากดวงดาวนับสิบดวง เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ห้องโถงก็สว่างเจิดจ้า เพียงแต่ว่ามีอากาศเย็นเยียบไปหน่อยเท่านั้น
เสียงล้อรถเข็นเคลื่อนใกล้เข้ามาอย่างช้า ๆ
เหยียนอิงเด็กสาวผู้นั่งอยู่บนรถเข็น นางยังคงมีผิวขาว ตาโต จมูกโด่ง คิ้วหนา นับว่ามีความสวยงามอย่างหาได้ยากยิ่งในเด็กสาวอายุไล่เลี่ยกัน และเหยียนอิงก็กำลังจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินอย่างไม่ละสายตา
นางนั่งอยู่บนรถเข็น สวมใส่เสื้อคลุมสีม่วงบางเบา สามารถมองทะลุถึงช่วงไหล่ขาวเนียน หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่านอกจากเสื้อคลุมตัวนี้แล้ว นางยังสวมใส่อาภรณ์อื่นใดอีกหรือไม่ เด็กสาวเชิดหน้าขึ้น แสดงออกถึงความภาคภูมิใจและความดื้อรั้น ในดวงตามีแต่ความสงสัยใคร่รู้ว่าหลินเป่ยเฉินมาทำอะไรที่นี่
เห็นได้ชัดว่าเหยียนอิงอารมณ์ไม่ดี
ก็แหงละ เป็นใครถูกปลุกขึ้นมาจากเตียงกลางดึก ก็ต้องอารมณ์ไม่ดีทั้งนั้น
โชคดีที่เป็นหลินเป่ยเฉิน
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เกรงว่าเหยียนอิงคงสั่งกุดหัวและนำศพไปทำเป็นอาหารปลาแล้ว
“สวัสดียามราตรีขอรับ พี่หญิง”
หลินเป่ยเฉินเปิดไหสุราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะนำอาหารที่บรรจุใส่กล่องกลับมาจากโรงเตี๊ยมออกมาตั้งเรียงรายอยู่บนโต๊ะ “ข้ากลัวว่าท่านจะหิว ก็เลยนำอาหารอร่อย ๆ มาด้วย ดูสิขอรับ นอกจากสุราแล้ว ข้ายังมีน้ำเต้าหู้ร้อน ๆ ดื่มแล้วร่างกายจะแข็งแรงขอรับ…”
ดวงตาของเหยียนอิงเป็นประกายวาวโรจน์
นางเคลื่อนรถเข็นมาที่โต๊ะอาหารอย่างเดือดดาล ก่อนจะยกไหสุราขึ้นดื่มด้วยความเกรี้ยวกราด
สองแก้มของเด็กสาวแดงก่ำขึ้นมาทันตาเห็น
“ดื่มได้ดี”
หลินเป่ยเฉินปรบมือด้วยความชอบใจ แต่ยังไม่ทันที่เหยียนอิงจะได้พูดอะไร เขาก็รีบเปลี่ยนเรื่องและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “การเจรจากับราชวงศ์เป่ยไห่เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”
โดยไม่รอฟังคำตอบจากเหยียนอิง เด็กหนุ่มก็รีบกล่าวต่อ “ขอบอกก่อนนะขอรับว่าพี่หญิงไม่จำเป็นต้องเห็นแก่หน้าข้า ท่านสามารถขูดเลือดขูดเนื้อราชวงศ์เป่ยไห่ได้ตามสบาย หรือจะให้ข้าช่วยขูดเลือดขูดเนื้อด้วยอีกแรงก็ย่อมได้ อิอิ นี่คือยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองของพวกเราอย่างแท้จริง…”
เหยียนอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “การเจรจาระหว่างจักรวรรดิเป็นเรื่องทางการเมือง ไม่ใช่เด็กน้อยเล่นค้าขาย ข้าจะเอาความลับมาบอกกับเจ้าได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักกึก
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
เหยียนอิงไม่ยอมแบ่งผลประโยชน์อย่างนั้นหรือ?
คิดจะกอบโกยแต่เพียงผู้เดียวใช่ไหม?
ชักจะมากเกินไปแล้วนะ พี่หญิง
“อีกอย่าง ข้าได้ข่าวมาว่าเจ้าซ่อนตัวอยู่ในวิหารหลวง รายล้อมไปด้วยนักบวชสาว ๆ มากมาย แม้แต่องค์หญิงทั้งแปดพระองค์ก็อยู่ในกำมือของเจ้า… เหตุไฉนคืนนี้เจ้าถึงไม่อยู่กับพวกนาง เจ้ามาหาข้าเพื่ออะไร?”
เด็กสาวบนรถเข็นถามกลับมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“คือว่าเรื่องนั้น…”
หลินเป่ยเฉินถึงกับตกตะลึง
เขาไม่รู้ตัวเลยว่าข่าวลือเหล่านี้หลุดรอดออกมาได้อย่างไร
ใครกันนะที่เป็นคนปล่อยข่าวลือทำให้เด็กหนุ่มผู้ดีงามดุจดั่งดอกไม้บริสุทธิ์อย่างหลินเป่ยเฉินต้องแปดเปื้อนมลทินหมดแล้ว
เขาจะไปทำเช่นนั้นได้อย่างไร?
“พี่หญิง ที่ท่านได้ยินมามันก็เป็นเพียงข่าวลือขอรับ ข้าขอสาบานต่อไข่มุกราตรีเม็ดนี้เลยว่า ข้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพวกนางเลยสักคนเดียว”
หลินเป่ยเฉินรีบอธิบาย “ที่ข้านำองค์หญิงทั้งแปดพระองค์มาอยู่ในวิหารหลวงนั้น ก็เพราะอยากให้นางได้ใช้ชีวิตที่เป็นของตนเอง ไม่ต้องถูกบงการโดยผู้เป็นบิดาอีกต่อไป และพวกนางก็จะได้แต่งงานกับคนที่ตนเองรักขอรับ…”
เหยียนอิงยังคงจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไปด้วยสีหน้ามุ่งมั่นจริงจัง “แต่แน่นอนว่าข้าย่อมได้กำไรจากค่าสินสอดของพวกนาง และมันก็คงเป็นเงินจำนวนไม่น้อย…”
สีหน้าของเหยียนอิงแปรเปลี่ยนไปทันที
“อย่าบอกนะว่า… เจ้านอนกับพวกนางแล้ว ยังคิดจะเอาค่าสินสอดของพวกนางอีกหรือ?”
นางพูดออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ
หลินเป่ยเฉินเปรียบเสมือนพ่อค้าคนกลางที่ตักตวงผลประโยชน์จากทั้งสองฝ่ายใช่หรือไม่?
ชั่วร้ายเกินไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินคิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกัน?
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ขอรับพี่หญิง ข้าเพียงทำหน้าที่จับคู่ให้แก่องค์หญิงเหล่านั้น แต่บัดนี้ ดูเหมือนพวกนางจะอยากเป็นนักบวชในวิหารกันหมด ไม่มีใครคิดอยากแต่งงานเลยขอรับ” หลินเป่ยเฉินหยุดเล็กน้อยก่อนที่จะอธิบายต่อด้วยความร้อนรน “และตอนแรกที่ข้าต้องทำเช่นนั้น ก็เพราะว่าข้าต้องการเงิน พี่หญิงก็รู้ว่าข้ายากจนขนาดไหน ข้ามีผู้คนให้ต้องเลี้ยงดูอีกมากมาย ผู้คนในนครเจาฮุยหลายหมื่นชีวิต ล้วนแต่ต้องพึ่งพาข้าทั้งสิ้น”
เด็กสาวบนรถเข็นไม่ได้กล่าวอะไรอีก
นางแพ้แล้ว
ไม่มีผู้ใดสามารถต่อปากต่อคำกับหลินเป่ยเฉินได้เลยจริง ๆ
สมควรแล้วที่เขาเป็นจอมเสเพลอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่
“นี่ พวกเรามาคุยธุระกันดีกว่าขอรับ”
“บัดนี้ ข้าเป็นหัวหน้านักบวช องค์จักรพรรดิเชื่อฟังข้าทุกคำพูด เป่ยไห่กำลังอยู่ในความโกลาหล ข้านี่แหละคือคนที่ควบคุมจักรวรรดินี้ตัวจริง”
“พี่หญิง ไม่ทราบว่าทางท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
“วิหารใต้สมุทรสงบสุขดีหรือไม่?”
“ท่านต้องไม่ลืมว่าเป้าหมายร่วมกันของพวกเรา คือการกวาดล้างพวกปีศาจที่บุกรุกเป่ยไห่ แม้ข้าจะไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมาย แต่ข้าก็สามารถสังหารเทพเจ้าแห่งวิหารเฉียนเกาได้สำเร็จด้วยมือของข้าเอง…”
“ดังนั้น ข้าจึงอยากรู้ว่าเทพเจ้าแห่งท้องทะเลของพวกท่าน… เร็ว ๆ นี้ได้เคลื่อนไหวบ้างหรือไม่?”
เด็กหนุ่มพูดรัวออกมาเป็นชุด
เขาอยากทราบว่าธิดาอู๋ไห่จือตี้ที่ขาดการติดต่อไปในแอปเจิ้นอ้ายหว่าง ได้เงียบหายไปในโลกแห่งความจริงด้วยหรือไม่
เด็กสาวผู้นั่งอยู่บนรถเข็นตอบคำถามกลับมาโดยไม่คิดสงสัยแม้แต่น้อย “วิหารใต้สมุทรเกิดความโกลาหลขึ้นพอสมควร ไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ว่านักบวชในวิหารจะทำการสวดภาวนาสักเพียงใด องค์เทพเจ้าของเรากลับไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย”
“และท่ามกลางความโกลาหลนี้ พวกปีศาจที่คอยจังหวะเล่นงานก็ปรากฏตัวออกมาออกอาละวาด ทำให้เมืองบาดาลเกิดความเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทางสภาแห่งสมุทรยินยอมปล่อยตัวมารดาของข้าออกมา เพราะพวกเขาอยากจะได้รับความช่วยเหลือจากข้านั่นเอง”
อ้อ?
หลินเป่ยเฉินรับฟังอย่างใช้ความคิด
โลกของชาวทะเลก็วุ่นวายเหมือนกันหรือนี่?
เทพีกระบี่หิมะไร้นามขาดการติดต่อ
ธิดาอู๋ไห่จือตี้ผู้เป็นเพื่อนบ้านของนางก็ขาดการติดต่อเช่นกัน
การที่พวกนางเงียบหายไปทั้งคู่เช่นนี้จะมีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือไม่?
หรือจะเกิดความวุ่นวายขึ้นในดินแดนทวยเทพ?
“แล้วพี่หญิงคิดทำอย่างไรต่อไป?” หลินเป่ยเฉินถามด้วยความอยากรู้