ตอนที่ 1,065 ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะขอรับ
“ท่านแม่”
ชีเหนียนหันกลับไปเรียกหญิงวัยกลางคนที่วิ่งเข้ามา
ผู้ที่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในกระท่อมนั้นก็คือมารดาของนางเอง
หลินเป่ยเฉินเพียงเห็นหน้านางก็รู้ได้โดยไม่ต้องบอก
เนื่องจากว่าบนใบหน้าของหญิงวัยกลางคนเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นน่าเกลียดน่ากลัว ไม่ต่างจากมีตะขาบตัวใหญ่นับสิบตัวกำลังวิ่งอยู่บนใบหน้า
“นี่ตาเฒ่า… ท่านหายดีแล้วหรือ?”
หญิงวัยกลางคนผู้นี้ก็คือหลินรั่ว
ก่อนหน้านี้ นางวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก แต่เมื่อเห็นสือจงเซิ่งสามีของตนเองสามารถเต้นระบำอยู่ในห้องได้อย่างสบายใจ หลินรั่วก็ตกตะลึงเสียจนตะกร้าใส่อาหารหลุดมือตกกระจายเกลื่อนพื้น
“ข้าหายดีแล้ว เสี่ยวรั่ว ข้ากลับมาเดินได้แล้ว”
สือจงเซิ่งรีบวิ่งเข้าไปสวมกอดภรรยาด้วยความตื่นเต้น “ที่ผ่านมา เจ้าต้องลำบากมากเลยนะ”
เขานอนป่วยอยู่บนเตียง ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกาย บุตรสาวก็ยังอ่อนเยาว์ จึงต้องพึ่งพาภรรยาผู้มีใบหน้าอุดมรอยแผลเป็นออกไปขอทานรับอาหารประทังชีวิต หลายครั้งต้องพบเจอผู้คนจากสำนักสามเหลี่ยมมรณะคอยรังแก กล่าวได้ว่าช่วงชีวิตตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาของการตกนรกทั้งเป็นที่แท้จริง
“นี่ หายดีก็ดีแล้ว… ปล่อยข้าก่อนเถิด แขกกำลังจ้องมองอยู่นะ”
หลินรั่วผู้ถูกสามีสวมกอดอย่างไม่ทันตั้งตัวพลันรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย
กิริยาท่าทางของหญิงวัยกลางคนยามเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความอ่อนหวานชดช้อย แสดงให้เห็นว่าก่อนที่ใบหน้าจะเสียโฉมนั้น นางนับเป็นหญิงงามผู้หนึ่งจริง ๆ
“ฮ่า ๆๆ…”
สือจงเซิ่งหัวเราะอย่างมีความสุข ก่อนจะทำหน้าที่แนะนำตัวให้ติงซานฉือ หลินเป่ยเฉินและคนอื่น ๆ ได้รู้จักกับภรรยาของตนเอง
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่ติงนี่เอง”
หลินรั่วประสานมือคำนับด้วยความนอบน้อม
นางเคยได้ยินชื่อเสียงของมือกระบี่รุ่นพี่ประจำสำนักกระบี่อมตะผู้นี้มานานแล้ว
“แต่พวกท่านรีบไปซ่อนตัวก่อนดีกว่า”
ทันใดนั้น หญิงวัยกลางคนนึกขึ้นได้ว่าตนเองหลบหนีอะไรมา ระหว่างทางกลับบ้าน หลินรั่วบังเอิญพบเห็นคนของสำนักสามเหลี่ยมมรณะกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ เมื่อสักครู่ นางมัวแต่ดีใจมากเกินไป จึงลืมเลือนเรื่องนี้ไปเสียสนิท
สือจงเซิ่งกับอิ๋นซานหันไปมองที่ติงซานฉือพร้อมกัน
ติงซานฉือหันหน้ามามองที่หลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินแสยะยิ้มตอบกลับไปว่า “ครั้งนี้ข้าจะไม่ซ่อนตัวอีกแล้วขอรับ หากข้าซ่อนตัว ข้าก็เป็นได้แค่ลูกเต่าหดหัวเท่านั้น อาจารย์อย่าลืมสิว่าศิษย์คนนี้เป็นถึงวีรบุรุษประจำชาติเชียวนะ ท่านจะเปิดโอกาสให้ศิษย์ได้สั่งสอนพวกมันหน่อยไม่ได้หรือไร?”
ติงซานฉือพยักหน้าอนุญาตในที่สุด “ถ้าอย่างนั้นก็เบา ๆ มือหน่อยแล้วกัน”
เบา ๆ มือหน่อยแล้วกัน?
สือจงเซิ่งกับภรรยาหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มรูปหล่อผู้นี้มือหนักถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
อิ๋นซานเคยเห็นฝีมือของหลินเป่ยเฉินมาแล้ว ในใจจึงคาดเดาว่าครั้งนี้เด็กหนุ่มต้องใช้กี่กระบวนท่ากันนะถึงจะสามารถเอาชนะคนจากสำนักสามเหลี่ยมมรณะเหล่านั้นได้สำเร็จ? ว่ากันว่าซงชิวอวี่ผู้อาวุโสของพวกมันก็มีพลังขั้นเซียนระดับห้า ไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าคนจากสำนักเพลิงสายฟ้าแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น…
ผัวะ!
บานประตูถูกเตะเปิดออก
ชายฉกรรจ์ในชุดแพรไหมสีฟ้าวิ่งกรูเข้ามาสิบกว่าคน
ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้นำหน้าโดยบุรุษหนุ่มอายุ 20 ปีเศษ เขามีใบหน้าเหมือนชาวจีนโบราณ ร่างกายกำยำ ผมสั้นสีแดงชี้โด่ชี้เด่เหมือนเข็มแหลม พลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกายด้วยความดุร้าย สายตากราดมองทุกคนที่อยู่ในกระท่อม และเมื่อพบเข้ากับสองสาวรับใช้เฉียนเหมยกับเฉียนเจิน ดวงตาคู่นั้นก็ลุกวาวขึ้นมาทันที
ดังนั้น ชายหนุ่มผู้นี้จึงไม่ได้สังเกตคนอื่น ๆ ที่อยู่ในกระท่อมอีกแล้ว
“เขาผู้นี้คือซงชิวอวี่ใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตาจ้องมองกลุ่มชายฉกรรจ์ที่บุกเข้ามาในกระท่อมไม้ของผู้อื่น จากนั้นจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายใช้การไม่ค่อยได้ เพราะแต่ละคนมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับสี่เท่านั้น
“เขาคือเหวินเหรินต่า ศิษย์เอกของซงชิวอวี่เจ้าค่ะ” ได้ยินเสียงชีเหนียนตอบกลับมา
“ที่แท้ก็เป็นแค่พวกลิ่วล้อนี่เอง”
หลินเป่ยเฉินอดกล่าวออกมาด้วยความผิดหวังไม่ได้
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
เหวินเหรินต่าผู้มีผมสั้นชี้โด่เด่เหมือนเข็มแหลมหันขวับมาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยสายตาเชือดเฉือนไม่ต่างจากคมกระบี่ ก่อนจะคำรามด้วยความกราดเกรี้ยว “เป็นแค่พวกลิ่วล้อ? ลิ่วล้อมารดาเจ้าเถอะ เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดถึงอะไรอยู่?”
เด็กหนุ่มจอมเสเพลหันไปถามชีเหนียนว่า “เจ้าบอกอามาเดี๋ยวนี้ หลายเดือนที่ผ่านมา ผู้ที่คอยข่มเหงรังแกครอบครัวเจ้าคือมันผู้นี้ใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ พี่เป่ยเฉิน เขาคนนี้คอยรังแกครอบครัวของเราทุกครั้งที่มีโอกาส กล่าวได้ว่ามีความร้ายกาจมากกว่าอาจารย์ของเขาเสียอีก”
ชีเหนียนตอบกลับมา
นางไม่ได้เรียกหลินเป่ยเฉินว่าท่านอา เพราะนางไม่ได้อยากเป็นหลานสาวของเขา
เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ถือสาหาความ
เขาหันกลับไปพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่ชอบสายตาของเขาเลย ควักลูกตาออกมาดีกว่า”
ทันใดนั้น เงาดำกระโดดขึ้นมาจากด้านหลังหลินเป่ยเฉิน
เงาดำนั้นเคลื่อนไหววูบวาบ
“อ๊าก…”
กระท่อมไม้ของสือจงเซิ่งดังกังวานด้วยเสียงร้องโหยหวน ก่อนที่บรรยากาศจะตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
บัดนี้ โลหิตกำลังไหลทะลักออกมาจากเบ้าตาของเหวินเหรินต่า ตำแหน่งที่เคยเป็นดวงตาของเขาถูกแทนที่ด้วยรูโบ๋ว่างเปล่าที่มีโลหิตทะลักออกมาไม่หยุด
เหวินเหรินต่านอนชักดิ้นชักงออยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวดขณะส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างทรมานว่า “ดวงตาของข้า อ๊าก ข้าไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่ สำนักสามเหลี่ยมมรณะจะไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้เด็ดขาด… พวกเจ้ามัวยืนทำอะไรอยู่ ฆ่ามันให้กับข้าเดี๋ยวนี้ ฆ่าพวกมันให้หมด…”
ลูกตาคู่หนึ่งถูกโยนทิ้งไปที่ลานหน้ากระท่อมไม้
แมวป่าตัวหนึ่งวิ่งผ่านมาพอดี มันตะครุบลูกตาคู่นั้นและคาบหายเข้าไปในดงไม้
ลูกศิษย์จากสำนักสามเหลี่ยมมรณะคนอื่น ๆ ตื่นกลัวมากเกินไปจนไม่กล้าลงมือทำสิ่งใด
เพราะพวกมันไม่เข้าใจเลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ใครคือคนที่ลงมือ ใครคือคนที่ทำให้เหวินเหรินต่าต้องพ่ายแพ้อย่างหมดท่าเช่นนี้
ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!
“เหลือชายตาบอดผู้นี้เอาไว้คนเดียวก็พอ ส่วนคนอื่น ๆ ฆ่าให้หมดอย่าให้เหลือ”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง
เงาดำเริ่มเคลื่อนไหว
ฉากแห่งความสยองขวัญเกิดขึ้นอีกครั้ง
กลุ่มคนจากสำนักสามเหลี่ยมมรณะทั้งตื่นกลัวทั้งโกรธแค้น แต่พวกเขายังไม่ทันได้ชักกระบี่ ความตายก็คืบคลานเข้ามาโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว สุดท้าย ทุกคนก็ดับดิ้นสิ้นชีวิต ทอดร่างกลายเป็นซากศพอยู่บนพื้นดิน
แม้แต่อิ๋นซานกับสือจงเซิ่งก็ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นผู้ลงมือ
ทั้งสองเห็นเพียงเงาดำที่เคลื่อนไหววูบวาบ ก่อนที่ลูกศิษย์ของสำนักสามเหลี่ยมมรณะจะล้มลงเสียชีวิต
“อากวง เก็บกวาด”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งต่อเนื่อง
“จี๊ด”
อากวงประสานมือรับคำสั่งอย่างนอบน้อม ก่อนที่มันจะใช้ความสามารถพิเศษในการควบคุมพื้นดินของตนเอง
บัดนี้ พื้นดินของกระท่อมไม้กลายเป็นเหมือนบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ผิวดินพลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่น ก่อนที่ก้อนดินจะรวมตัวกันกลายเป็นเหมือนหนวดปลาหมึกเส้นหนึ่งยื่นขึ้นมาจากใต้ทะเลลึกและเก็บกวาดซากศพของลูกศิษย์สำนักสามเหลี่ยมมรณะลงไปใต้พื้นดินหมดสิ้น…
มีแต่เพียงเหวินเหรินต่าผู้เดียวเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่
ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ เหวินเหรินต่าจึงไม่ได้ส่งเสียงออกมาอีก
หลินเป่ยเฉินจ้องมองพื้นดินที่สะอาดหมดจด ก่อนจะขมวดคิ้วและหันไปถลึงตาใส่อากวง
“จี๊ด? จี๊ด!”
ฉับพลันนั้น อากวงเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ มันรีบใช้พลังควบคุมพื้นดินของตนเองอีกครั้ง
พื้นดินกลับมามีสภาพเป็นของเหลวอีกคำรบ
แล้วก้อนดินที่รวมตัวกลายเป็นมือขนาดใหญ่ยักษ์ข้างหนึ่งก็ยื่นขึ้นมาจากใต้พื้นดิน มือนั้นประคองกระบี่ เสื้อผ้า ถุงเก็บสมบัติและข้าวของอื่น ๆ อีกกองพะเนินขึ้นมาด้วย
สิ่งของเหล่านี้ล้วนมาจากซากศพของผู้คนจากสำนักสามเหลี่ยมมรณะทั้งสิ้น
ความขุ่นเคืองใจในแววตาของหลินเป่ยเฉินสลายหายวับไปทันที
เขาโยนผลไม้สีเขียวลูกหนึ่งให้สัตว์เลี้ยงของตนเองอย่างพึงพอใจ
“จี๊ด”
อากวงส่งเสียงอย่างมีความสุข ใช้กรงเล็บของมันตะปบผลกวนเจี๋ยได้อย่างแม่นยำ
ครืด
ครืด ครืด
ผิวดินเคลื่อนไหวเป็นตัวอักษรที่เขียนว่า ‘ขอบคุณนายท่านมากขอรับ’
หลังจากนั้น มันก็แบ่งผลกวนเจี๋ยครึ่งหนึ่งไว้สำหรับตนเอง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งอากวงมอบให้แก่เจ้าเสือน้อยที่น้ำลายไหลย้อยได้รับประทาน
เจ้าเสือน้อยแลบลิ้นเลียอากวงอย่างมีความสุข
สือจงเซิ่งและภรรยาพร้อมด้วยอิ๋นซานเห็นดังนั้นก็อดขนลุกขึ้นมาไม่ได้ ดวงตาของพวกเขาเบิกโตจนแทบจะถลนหลุดออกมาจากเบ้าตาแล้ว
น่ากลัวมากเกินไป
สัตว์เลี้ยงของหลินเป่ยเฉินมีความสามารถในด้านการกำจัดซากศพได้แนบเนียนเหลือเกิน
ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความชำนาญ
สือจงเซิ่งเกรงว่าหลานศิษย์ของตนเองคงไม่ได้เพิ่งทำเช่นนี้เป็นครั้งแรก
มิเช่นนั้น ทุกอย่างจะราบรื่นอย่างนี้ได้อย่างไร?
สรุปแล้ว หลานศิษย์ของเขาเป็นบุคคลเช่นใดกันแน่?
ติงซานฉือผู้ยืนอยู่ด้านข้างมุมปากกระตุกตลอดเวลา เขาไม่แน่ใจเลยว่าตนเองควรพูดอย่างไรดี
“ข้าบอกให้เจ้าเบามือหน่อยไม่ใช่หรือไง?”
ผู้เป็นอาจารย์ถามด้วยน้ำเสียงดุดัน
หลินเป่ยเฉินตีสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์และโต้เถียงว่า “แต่ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะขอรับ”
ติงซานฉือพูดอะไรไม่ออก
ชายชราได้แต่ลูบเคราของตนเองและพูดออกมาอีกครั้ง “ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็คงต้องจัดการปัญหาให้จบไปเลยดีกว่า ได้เวลาที่เราจะต้องสั่งสอนสำนักสามเหลี่ยมมรณะอย่างจริงจังสักที”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอและกล่าวว่า “อาจารย์ขอรับ ซงชิวอวี่เป็นใครมาจากไหน? มันจะมารับมือศิษย์ได้อย่างไร เดี๋ยวเรื่องนี้ศิษย์จะจัดการเอง รับรองว่าศิษย์ไม่มีทางทำให้อาจารย์ต้องอับอายเด็ดขาด”
“ประเสริฐ”
ติงซานฉือพยายามอย่างเต็มที่ในการรักษาภาพลักษณ์ยามอยู่ต่อหน้าศิษย์น้องของตนเอง
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปใช้เท้าเขี่ยเหวินเหรินต่าที่นอนแกล้งตายอยู่บนพื้นดิน ก่อนพูดว่า “กลับไปบอกซงชิวอวี่อาจารย์ของเจ้านะว่าอีกหนึ่งชั่วยามหลังจากนี้ ข้าจะไปพบเขาด้วยตนเอง เตรียมตัวรอให้ดีก็แล้วกัน”