ตอนที่ 1,075 ข้ามีวิธีดีที่ดีมาก
“ใช่แล้ว ข้าคือหลินเป่ยเฉิน”
หลินเป่ยเฉินนั่งยิ้มเผล่ ถามกลับไปว่า “ไม่ทราบว่าน้องสาวมีธุระอันใดกับข้าหรือ?”
สีหน้าของเขาไม่ปรากฏความตื่นตระหนกสักนิด
ในขณะเดียวกันนั้น
“น้องเล็ก เจ้าอย่าได้ก่อความวุ่นวาย”
ซวีหวันรีบคว้าแขนศิษย์น้องของตนเองและเสแสร้งแกล้งหัวเราะออกมา
“นั่งลง อย่าก่อเรื่อง”
เหยียนหรู่อี้ส่งกระแสจิตไปที่ลูกศิษย์ของตนเอง
หูเหม่ยเอ๋อร์นับเป็นเด็กน้อยที่เอาแต่ใจตนเอง
มักจะก่อความวุ่นวายทุกครั้งที่มีโอกาส
แต่ที่นี่คือสถานที่เล่นหมากล้อมของผู้อาวุโสเฉิน
ยิ่งไปกว่านั้น จากข้อมูลที่พวกนางได้รับทราบมาเมื่อคืนนี้ ปีศาจน้อยหลินเป่ยเฉินเป็นผู้ที่รับมือได้ไม่ง่ายเลย หากต้องต่อสู้กันจริง ๆ เหยียนหรู่อี้ก็ไม่แน่ใจเลยว่าตนเองจะมีโอกาสชนะหรือไม่ แล้วหูเหม่ยเอ๋อร์จะไปต่อกรได้อย่างไร?
แต่เด็กสาวจะทำท่าทีเหมือนได้ยินคำตักเตือนของอาจารย์และศิษย์พี่ก็หาไม่
นางยืนถือกระบี่จ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉิน
หอบหายใจเร็วแรง
สองแก้มร้อนผ่าว
หัวใจเต้นรัวเร็ว… รัวเร็วจนแทบหัวใจจะวายตายแล้ว
โลกนี้มีเด็กหนุ่มที่หล่อเหลาถึงเพียงนี้ด้วยหรือ?
ไม่เพียงหล่อเหลาเท่านั้น เขายังแข็งแกร่งอีกด้วย
ได้ยินมาว่าเมื่อคืนนี้ หลินเป่ยเฉินเพียงหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ก็สังหารขั้นเซียนถึง 14 คนได้ในพริบตา และสามารถทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ชาวเมืองไป๋หยุนได้อีกครั้ง
เขากับนางก็อายุเท่ากัน
หลินเป่ยเฉินมีคิ้วหนาดำเข้ม ดวงตาเป็นประกายสดใส ริมฝีปาก…
เรียวบางน่าจูบนัก
ในอนาคต หูเหม่ยเอ๋อร์ตั้งใจให้บุตรของหลินเป่ยเฉินกับนางออกมาหน้าตาเหมือนเขาผู้เป็นบิดา
แต่แน่นอนว่าหากนางมีลูกสาว หน้าตาเหมือนนางย่อมดีกว่า เพียงแต่หยิบยืมริมฝีปากและดวงตาจากผู้เป็นบิดามาสักหน่อยเท่านั้น
ว่าแต่นางจะตั้งชื่อลูกว่าอะไรดีนะ?
หลินเหมย?
หลินรั่วซู?
หรือว่านางจะให้ลูกใช้แซ่หูดี สงสัยคงต้องหาเวลาคุยกับหลินเป่ยเฉินสักหน่อย…
ในสมองของหูเหม่ยเอ๋อร์เกิดภาพจินตนาการนับไม่ถ้วน นางเริ่มคำนวณแล้วว่าจะเชิญผู้ใดมางานแต่งของนางกับหลินเป่ยเฉินบ้าง เมื่อให้กำเนิดบุตรแล้ว นางควรจะส่งบุตรของตนเองเข้าศึกษาที่คฤหาสน์กำยานดีหรือไม่ เพราะสำนักศึกษากระบี่ที่หนึ่งของจักรวรรดิต้าเกี๋ยนก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เนื่องจากที่นั่นได้รับการนับหน้าถือตาในหมู่สำนักศึกษาของแผ่นดินตงเต้าเป็นอย่างสูง เสียแต่ว่าค่าเล่าเรียนออกจะแพงเกินไปสักหน่อย ค่าเล่าเรียนของที่นั่นสามารถนำมาก่อตั้งสำนักศึกษาของตนเองได้เลยด้วยซ้ำ…
“น้องสาว?”
“เจ้าเป็นอะไรไป?”
“เหตุไฉนถึงได้มองข้าแล้วน้ำลายไหลเช่นนั้น?”
หลินเป่ยเฉินเห็นสีหน้าของเด็กสาวที่กำลังยืนมองหน้าเขาอยู่ในขณะนี้ ก็ให้นึกถึงสีหน้าของเซียวปิงยามเห็นน่องไก่ย่าง แววตาที่เคยดุดันด้วยจิตสังหารก็กลับกลายเป็นมึนงงพิศวงจนเขาอดถามออกมาไม่ได้
แต่ดูเหมือนหูเหม่ยเอ๋อร์จะไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว
ในโลกใบนี้ ณ ขณะนี้ สำหรับนางแล้วมีเพียงความเงียบสงบ
สิ่งที่หูเหม่ยเอ๋อร์เห็นล้วนแต่มีเพียงใบหน้าของหลินเป่ยเฉินเท่านั้น
จนกระทั่งซวีหวันทนไม่ไหว ต้องกระตุกแขนศิษย์น้องและกล่าวว่า “น้องเล็ก เจ้าเป็นอะไรไป? เหตุไฉนถึงยังไม่นั่งลงอีก…”
“หะ… หา?”
ในที่สุด หูเหม่ยเอ๋อร์ก็ตื่นขึ้นมาจากภวังค์
นางหันไปมองหน้าศิษย์พี่กับอาจารย์ของตนเอง ก่อนจะหันกลับไปทางหลินเป่ยเฉิน แล้วกล่าวว่า “พี่หลิน ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว เมื่อคืนนี้ เห็นว่าท่านชักกระบี่ปราบมารร้ายทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ผู้คน สมแล้วที่เป็นวีรบุรุษประจำใจข้า ข้านับถือท่านยิ่งนัก แม้แต่อาจารย์ของข้าก็ยังชมเชยท่านไม่ขาดปาก สมแล้วที่ท่านเป็นมือกระบี่ผู้กล้าหาญและแข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิเป่ยไห่ พี่หลินทำให้ข้าและศิษย์พี่ได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่างเลยทีเดียวเจ้าค่ะ”
หูเหม่ยเอ๋อร์รีบเปลี่ยนสีหน้าของตนเองและกล่าวออกมาอย่างจริงจังว่า “จนกระทั่งข้าได้มาเห็นตัวจริงของท่านในวันนี้ ปรากฏว่าท่านช่างหล่อเหลาสมคำเล่าลือ ทั้งน่ารักและมีเสน่ห์…”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
เด็กสาวผู้มีท่าทางฉลาดเฉลียวกล้าพูดกล้าทำผู้นี้ กลับเป็นบุคคลสมองเสื่อมเช่นกันหรือ?
ถ้อยคำที่นางกล่าวออกมาหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
นางหมายถึงเขาจริง ๆ หรือ?
ไม่ว่าจะเป็นเหยียนหรู่อี้หรือซวีหวันต่างก็มึนงงไปตาม ๆ กัน
พวกนางไม่เข้าใจเลยว่าหูเหม่ยเอ๋อร์กำลังพูดอะไรออกมา?
ผู้เป็นอาจารย์และลูกศิษย์คนโตหันมองหน้ากัน ในแววตาต่างก็บอกความรู้สึกเดียวว่าศิษย์น้องเล็กคงเสียสติไปแล้ว
เมื่อคืนนี้ ใครกันนะที่บอกว่าถ้าเจอหน้าหลินเป่ยเฉินเมื่อไหร่จะขอสั่งสอนดูสักที
ใครกันนะที่บอกว่าหากเจอหลินเป่ยเฉินในวันนี้จะจัดการให้ตายคามือ?
แล้วเหตุไฉนเหตุการณ์ถึงเป็นเช่นนี้ไปได้?
หรือว่าหูเหม่ยเอ๋อร์… จะตกหลุมรักหลินเป่ยเฉินเสียแล้ว?
ซวีหวันต้องรีบดึงให้ศิษย์น้องเล็กของตนเองนั่งลง ก่อนจะเอนตัวเข้าไปกระซิบว่า “น้องเล็ก รักษามารยาทหน่อย มีผู้คนจ้องมองดูอยู่มากนัก…”
“ว่าไงนะ?”
หูเหม่ยเอ๋อร์ตอบกลับมาเสียงดังลั่นก่อนจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “ศิษย์พี่อยากจะไปนั่งคุยเรื่องกระบี่กับพี่หลินอย่างนั้นหรือ?”
ซวีหวันอ้าปากเหวอ
นางพูดเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ซวีหวันมั่นใจว่าตนเองไม่ได้พูดสักหน่อย
ทันใดนั้น ใบหน้าที่สวยงามของศิษย์พี่ใหญ่ก็แดงก่ำขึ้นมาราวกับถูกน้ำร้อนเดือดราดรด ในช่วงขณะที่ตกใจอยู่นั้น หญิงสาวจึงไม่รู้ว่าตนควรพูดอย่างไรดี
แต่หูเหม่ยเอ๋อร์กลับใช้โอกาสนี้จับมือนาง คล้ายกับว่าตั้งใจจะพาเดินตรงไปที่โต๊ะของหลินเป่ยเฉินจริง ๆ
ซวีหวันพยายามสะบัดมือเด็กสาวอย่างสุดความสามารถ
หูเหม่ยเอ๋อร์เสียสติไปแล้ว!
หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็คลี่ยิ้มกว้าง
“น่าเสียดายที่โต๊ะของข้าคนเต็มแล้ว คงไม่สะดวกรับแขก”
เขาตอบกลับไป
ทันใดนั้น หูเหม่ยเอ๋อร์ก็มีสีหน้าผิดหวังขึ้นมาทันที ในหัวใจของนางคล้ายกับได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแตกร้าวดังชัดเจน
แต่หลินเป่ยเฉินก็กล่าวต่อไปว่า “ถ้าเช่นนั้นให้ข้าไปนั่งที่โต๊ะของพวกท่านแทนดีหรือไม่?”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปหาพวกของเหยียนหรู่อี้พร้อมกับกล่าวว่า “ข้าเองก็ได้ยินชื่อเสียงของคฤหาสน์กำยานมายาวนานแล้วเช่นกัน วันนี้มีวาสนาได้พบแม่นางเหยียน คงต้องขอปรึกษาเรื่องวิชากระบี่สักหน่อย”
หัวใจที่แตกสลายของหูเหม่ยเอ๋อร์พลันได้รับการเยียวยาโดยทันที
เหยียนหรู่อี้จ้องมองไปที่เด็กหนุ่มซึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาหาและไม่พูดอะไร
ถึงไม่มีใครต้อนรับ แต่หลินเป่ยเฉินก็อาศัยความหน้าด้านนั่งลงร่วมโต๊ะหน้าตาเฉย
“ศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองท่านไม่ทราบมีนามอันสูงส่งว่ากระไรหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มอย่างจริงใจและใสซื่อ
นี่คือรอยยิ้มอย่างมืออาชีพ เด็กหนุ่มนับไม่ไหวเลยว่าตนเองยิ้มเช่นนี้มากี่ร้อยพันครั้ง เพราะฉะนั้นเขาจึงมีความชำนาญในการปั้นยิ้มเป็นอย่างยิ่ง
“ตัวข้ามีนามว่าหูเหม่ยเอ๋อร์ ส่วนนี่คือศิษย์พี่ของข้า มีนามว่าท่านพี่ซวีหวัน”
หูเหม่ยเอ๋อร์ตอบรับอย่างตรงไปตรงมา ดวงตาเป็นประกายสดใส ปราศจากความเขินอาย “ท่านพี่เฉินช่างหล่อเหลาเหลือเกิน”
ซวีหวันหันไปมองหน้าอาจารย์ ซึ่งยังคงนั่งสีหน้าไร้อารมณ์อยู่เช่นเดิม
ดังนั้น หญิงสาวจึงลุกขึ้นและจัดเตรียมถ้วยชามสำหรับรับประทานอาหารให้แก่หลินเป่ยเฉินหนึ่งชุด
ว่ากันตามความเป็นจริง การได้นั่งเคียงข้างบุรุษผู้หล่อเหลาเช่นหลินเป่ยเฉินต่อให้เป็นสตรีที่เงียบขรึมและสุภาพเรียบร้อยอย่างซวีหวัน หัวใจของนางก็ยังอดเต้นรัวเร็วขึ้นมาไม่ได้
เขามีใบหน้าที่หล่อเหลามากเกินไป
แม้แต่เทพเซียนก็ยังเทียบเคียงไม่ได้
จังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินหันมาส่งยิ้มหวานให้แก่หูเหม่ยเอ๋อร์
“อ้อ ก่อนหน้านี้ น้องเหม่ยเอ๋อร์ยกยอปอปั้นข้าเกินไปแล้ว อันตัวข้าหาได้เห็นว่าตนเองสูงส่งเช่นนั้นไม่ ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดแห่งเป่ยไห่ มีตำแหน่งเป็นหัวหน้านักบวชแห่งวิหารหลวง และเมื่อคืนนี้ ก็เพิ่งจะสังหารขั้นเซียน 14 คนไปสด ๆ ร้อน ๆ ก็ตาม แต่ข้าก็ไม่อยากให้ทุกคนสนใจเรื่องราวเหล่านี้เลยจริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน
ทันใดนั้น ดวงตาของหูเหม่ยเอ๋อร์พลันเป็นประกายเลื่อมใสมากกว่าเดิม “ถ้าอย่างนั้นท่านก็วิเศษมากแล้ว”
“มิบังอาจ มิบังอาจ”
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปชำเลืองมองที่เหยียนหรู่อี้
สีหน้าของหญิงสาวผู้เป็นอาจารย์ยังคงเย็นชาเหมือนไม่ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น
“พี่เหยียน…” หลินเป่ยเฉินพยายามชวนคุย
เหยียนหรู่อี้ขมวดคิ้ว พูดออกมาแผ่วเบา “เจ้ากับข้าหาได้เป็นญาติกันไม่ เรียกข้าว่าผู้อาวุโสเหยียนดีกว่า”
“ได้เลยขอรับ พี่เหยียน”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้ารับคำ “ข้าฝึกฝนกระบี่มาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ข้าจะต้องเหวี่ยงกระบี่ให้ได้วันละหนึ่งแสนครั้ง ดังนั้น ข้าจึงพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่ข้ายังไม่เข้าใจในวิถีกระบี่ที่แท้จริง ไม่ทราบว่าพี่เหยียนพอจะช่วยคลี่คลายให้ข้าหายสงสัยได้บ้างหรือไม่?”
เหยียนหรู่อี้ยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียดไม่เปลี่ยนแปลง
เห็นเช่นนั้น หูเหม่ยเอ๋อร์ก็รีบเขย่าแขนผู้เป็นอาจารย์อย่างออดอ้อนว่า “อาจารย์เจ้าคะ ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกัน วิถีกระบี่ที่แท้จริงคืออย่างไรกันแน่?”
เหยียนหรู่อี้ถอนหายใจออกมายาวแรง
นับว่าลูกศิษย์คนเล็กของนางหมดหวังแล้วจริง ๆ
จังหวะนั้น นักหลอมกระบี่อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าเฉินเซียวเยี่ยนที่กำลังนั่งขบคิดอะไรบางอย่างพลันผุดลุกขึ้นยืนพูดว่า “ขอเชิญพวกท่านทยอยพูดเหตุผลที่ข้าควรตีกระบี่ให้พวกท่านต่อไป”
คนผู้หนึ่งรีบลุกขึ้นยืนพูดเสียงดัง
หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยอีกหลายคน…
ล้วนเป็นเหตุผลที่แปลกประหลาดทั้งสิ้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใด เฉินเซียวเยี่ยนก็เพียงพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อรับฟังจบแล้ว เขาก็พูดว่า “คนต่อไป”
“เฮ้อ กลุ่มคนโง่เขลาเหล่านี้ปราศจากความคิดสร้างสรรค์โดยแท้”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าด้วยความระอาใจ “คิดจะใช้เหตุผลเหล่านี้โน้มน้าวใจให้ผู้อาวุโสเฉินตีกระบี่อย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ”
หูเหม่ยเอ๋อร์ดวงตาเป็นประกายวาววับขึ้นมาอีกครั้ง นางถามด้วยความกระตือรือร้นว่า “พี่หลินคงมีวิธีดี ๆ แล้วกระมัง?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มรับตอบกลับไปและพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า “ข้ามีวิธีที่ดีมากและผู้อาวุโสเฉินจะต้องยอมตีกระบี่ให้อย่างแน่นอน อะเหออะเหอ”
หูเหม่ยเอ๋อร์เบิกตาโต “วิธีใดหรือ?”
แม้แต่เหยียนหรู่อี้กับซวีหวันก็ยังกางหูรอรับฟังวิธีดี ๆ จากปากของหลินเป่ยเฉินแล้ว