ตอนที่ 1,080 ไม่มีกระบี่เล่มไหนจะสวยงามไปมากกว่าเจ้า
ร่างกายอันสูงใหญ่ผิดมนุษย์นั้นยืนค้างอยู่หน้าเวทีเดินหมาก
มันไม่ล้มลง
หลินเป่ยเฉินก้มมองกระบี่เงินในมือของตนเองด้วยดวงตาวาวโรจน์
กระบี่เล่มนี้มีความกว้างสี่ชุ่น
ยาวสี่เซี๊ยะหกชุ่น รวมความยาวของด้ามจับ
บนกระบี่ไม่มีริ้วรอยหรือคราบเลือดหลงเหลืออยู่เลย
มันสะท้อนประกายแวววาวราวกับแผ่นกระจก
ทุกส่วนของกระบี่ล้วนมีความแหลมคมเท่ากันหมด
นับเป็นกระบี่ที่ยอดเยี่ยม
ด้ามจับมีลักษณะราบเรียบไม่หรูหรา แต่จับถนัดมือเป็นอย่างยิ่ง
ด้ามจับก็เป็นสีเงินแวววาวเช่นกัน
ยามที่ถือกระบี่เล่มนี้ หลินเป่ยเฉินรู้สึกเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ…
ไหลลื่น
พริ้วไหวดั่งสายน้ำ
ตอนที่ตวัดกระบี่เมื่อสักครู่ เขาแทบไม่รู้สึกถึงแรงต้านทานสักนิด
ยิ่งตอนที่คมกระบี่ฟันกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามและตัดศีรษะของฝ่ายตรงข้ามนั้น มันก็ยังให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลเกินอธิบาย
“จุดเด่นของกระบี่เล่มนี้ก็คือความคมสินะ?”
หลินเป่ยเฉินยังคงไม่อาจละสายตาจากกระบี่ในมือได้
นอกจากความคมที่น่าจะสามารถตัดทุกอย่างได้แล้ว หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้รู้สึกถึงความพิเศษอื่นใดจากกระบี่เล่มนี้อีกเลย ต่อให้โคจรพลังลมปราณใส่ลงไป ก็ยังไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น…
เขายกกระบี่ในมือขึ้นเล็กน้อย
ใช้มันแทงเข้าไปยังหัวใจในร่างกายไร้ศีรษะของอมนุษย์ผมขาว
สวบ!
แทงแล้ว
แทงอีก
บรรดามือกระบี่ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านนอกโรงเตี๊ยมลอบอุทานออกมาในใจว่า
นี่ไงล่ะ ขั้นตอนตัดศีรษะควักหัวใจ!
ประเพณีที่หลินเป่ยเฉินต้องทำยามสังหารผู้คน
ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
แต่เด็กหนุ่มกำลังใช้การแทงครั้งนี้สำรวจดูความเปลี่ยนแปลงของกระบี่
คมกระบี่สามารถทะลวงชุดเกราะของตัวประหลาดได้อย่างง่ายดาย
แทงทะลุเนื้อหนังได้ราวกับเป็นเพียงผืนผ้าแพรไหมบาง ๆ
นับว่ามีความคมขั้นสุดยอด
“ใช่แล้ว ความพิเศษของกระบี่เล่มนี้ ก็คือความคม”
เฉินเซียวเยี่ยนกล่าวด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ “ผู้เฒ่าขอรับรองว่าทุกสิ่งทุกอย่างในใต้หล้า ไม่มีสิ่งใดจะขวางทางกระบี่เล่มนี้ได้… มันมีความคมมากยิ่งกว่ากระบี่ทุกเล่มในโลกนี้รวมกัน นับเป็นบิดาแห่งมวลกระบี่ที่แท้จริง”
คมขนาดนั้นเลยหรือ?
หลินเป่ยเฉินลองควงกระบี่ดูเล่น ๆ อีกครั้ง
กระบี่เล่มนี้มีน้ำหนักพอสมควร
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันหลอมขึ้นมาจากหอกเขี้ยวมังกรและคทาเงินจากดินแดนของเผ่าจันทราขาว ยังไม่รวมวัตถุอื่น ๆ ที่เฉินเซียวเยี่ยนใส่เพิ่มลงไปอีก ดังนั้นกระบี่เล่มนี้จึงมีน้ำหนักมากกว่าที่คิด หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์มาถือกระบี่เล่มนี้ อย่าว่าแต่จะสามารถควงกระบี่ได้เลย ต่อให้ลองยกกระบี่ก็คงยกไม่ขึ้นด้วยซ้ำ
กระบี่เงินเล่มนี้มีทั้งความหนักหน่วงและความแข็งแรง
หลินเป่ยเฉินพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
“นี่คือกระบี่ที่อยู่ในขั้นไหนหรือขอรับ?”
เด็กหนุ่มถาม
เฉินเซียวเยี่ยนตอบด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ในด้านของความคม มันอยู่ในขั้นเซียน ไม่สิ ต้องเรียกว่าเหนือกว่าขั้นเซียนไปอีกระดับ คุณชายต้องลองสำรวจดูความยอดเยี่ยมของมันด้วยตนเองอย่างช้า ๆ หากจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ นี่เป็นกระบี่ที่ไม่เคยมีใครตีขึ้นได้สำเร็จมาก่อน ยิ่งหลอมรวมสุดยอดวัตถุจำนวนมากมายเข้าไปถึงเพียงนั้น ระดับความแข็งแกร่งของมันก็ไม่ธรรมดาแล้ว”
หืม?
ยังมีความแข็งแกร่งอีกหลายอย่างรอให้เขาค้นพบอีกหรือ?
น่าสนใจดีนี่นา
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็เริ่มรู้สึกถึงความงามของกระบี่เล่มนี้ขึ้นมาแล้ว
“นายท่านเจ้าคะ”
เสียงเรียกด้วยความไม่พอใจของเฉียนเหมยดังขึ้นข้างเวที
สาวรับใช้กำลังจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอเต็มเบ้า
หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยง รีบยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก และอธิบายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “อ่า คือว่าข้ามัวแต่ตกตะลึงไปกับความงามของกระบี่เล่มนี้จนลืมใช้พลังวารีบำบัด… รักษาพวกเจ้าเลยสินะ”
แล้วม่านละอองน้ำก็พุ่งออกจากปลายนิ้วมือของเด็กหนุ่มครอบคลุมทั่วร่างสองสาวรับใช้
“พอนายท่านได้กระบี่เล่มนี้ นายท่านก็ลืมพวกเราสองคนเลยหรือเจ้าคะ”
เฉียนเหมยยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หลินเป่ยเฉินปั้นหน้ายิ้มอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ “ความงามของกระบี่จะเทียบกับความงามของพวกเจ้าได้อย่างไร”
“เฮอะ”
เฉียนเหมยกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ
ทันใดนั้น…
วูบ! วูบ! วูบ!
ได้ยินเสียงชายเสื้อปะทะสายลมดังมาจากที่ห่างไกล
แล้วเงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในอากาศ
ก่อนที่พวกมันจะทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนพื้นดิน
ปรากฏว่าเป็นอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กอีกหลายสิบตัว
“หัวหน้าซือ?”
ตัวประหลาดที่เป็นผู้นำกลุ่มสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันทีเมื่อมันเห็นศพของเผ่าพันธุ์เดียวกันยืนไร้ศีรษะอยู่หน้าเวทีเดินหมาก มิหนำซ้ำ หัวใจยังถูกแทงทะลุเป็นรูโบ๋อีกด้วย
“ผู้ใดฆ่าหัวหน้าซือ?”
“ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้”
“ฆาตกรคือผู้ใด?”
บรรดาตัวประหลาดผมขาวระเบิดเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น
ไม่ต่างจากสัตว์ป่าที่บ้าคลั่ง
หลินเป่ยเฉินถือกระบี่กระโดดลงจากเวทีเดินหมากพร้อมกับพูดว่า “พวกเจ้าช่างน่ารำคาญเสียจริง”
“มนุษย์โสโครก หรือเจ้าเป็นฆาตกร?”
ผู้นำกลุ่มอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กถามด้วยดวงตาแดงก่ำ หอบหายใจเร็วแรง
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “เจ้าหมายถึงศพที่อยู่หน้าเวทีนั่นใช่ไหม? ก็ใครใช้ให้มันตอนที่ยังมีชีวิตอยู่คิดแย่งชิงกระบี่ของข้าและยังจะทำร้ายสตรีของข้าอีก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องส่งมันลงนรกแล้ว”
“งั้นเจ้าก็ต้องตาย”
ผู้นำกลุ่มอมนุษย์ผมขาวชักกระบี่ที่สะพายอยู่บนแผ่นหลังออกมา
มันตวัดกระบี่ฟาดฟัน
รังสีกระบี่พุ่งผ่านอากาศ
หลินเป่ยเฉินยกกระบี่ของตนเองขึ้นปัดป้อง
เสียงกระบี่ปะทะกันดังชิ้ง
พลังลมปราณสั่นสะเทือน
“เจ้าคิดอาละวาดหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถาม
“เหอ เหอ เหอ อาละวาดแล้วจะเป็นอย่างไร มนุษย์ต่ำต้อยเช่นเจ้าจะทำอะไรได้? คิดจะมีปัญหากับเผ่าพันธุ์ของข้า พวกเจ้าก็ต้องตายกันทั้งหมด”
เห็นได้ชัดว่าตัวประหลาดผู้นี้มีพลังลมปราณเป็นรองหลินเป่ยเฉิน แต่มันก็ได้หาเกรงกลัวเด็กหนุ่มไม่
ลูกสมุนตัวอื่น ๆ ก็ชักกระบี่ออกมาแล้ว และพวกมันก็พุ่งเข้ามาห้อมล้อมหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มควงกระบี่ฟาดฟันใส่คู่ต่อสู้ที่พุ่งเข้ามา
กระบวนท่าที่หนึ่ง กระบวนท่าที่สอง กระบวนท่าที่สาม…
หลินเป่ยเฉินใช้วิชากระบี่สามพิฆาต ซึ่งเป็นวิชาแรกที่เขาได้เรียนรู้หลังจากทะลุมิติมาอยู่โลกนี้
ด้วยขั้นพลังในปัจจุบันของเด็กหนุ่ม ต่อให้เป็นกระบวนท่าขั้นพื้นฐานเหล่านี้ ประกอบกับความคมที่ไร้เทียมทานของกระบี่เล่มใหม่ ทุกอย่างจึงรวมกันกลายเป็นการจู่โจมที่ร้ายกาจ เพียงไม่กี่ลมหายใจ บรรดาอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กเหล่านั้นก็ถูกกระบี่ตัดตัวขาดเป็นหลายท่อนหมดสิ้น
ไม่มีเสียงอาวุธปะทะกัน
ไม่มีประกายไฟจากการที่กระบี่เสียดสีกัน
มีเพียงการตวัดฟันแทงอย่างลื่นไหลต่อเนื่อง
เฉินเซียวเยี่ยนพูดเอาไว้ไม่มีผิด ไม่มีสิ่งใดที่กระบี่เล่มนี้จะตัดไม่ได้
ต่อให้อีกฝ่ายมีพลังขั้นเซียน ครอบครองศาสตราวุธชั้นยอด สวมใส่สุดยอดชุดเกราะเหล็ก ร่างกายห่อหุ้มด้วยชั้นพลังกำบังหนาแน่น…
แต่ทั้งหมดนั้นก็ถูกกระบี่ในมือหลินเป่ยเฉินตัดขาดได้ในกระบี่เดียว
เด็กหนุ่มร่ายรำกระบี่ด้วยความชำนาญ
กลุ่มตัวประหลาดที่รุมล้อมเขาตกตายไปดั่งใบไม้ร่วง
เพียงพริบตาเดียว อมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กก็ลงไปนอนเป็นซากศพทั้งหมดสี่สิบตัว
กระบี่เงินในมือหลินเป่ยเฉินหลอมขึ้นมาจากสุดยอดวัตถุหลายชนิด แม้อีกฝ่ายจะมีพลังขั้นเซียนก็ยังต้องถึงแก่ความตายโดยไม่รู้ตัว นอกจากร่างกายจะดับดิ้นแล้ว แม้แต่วิญญาณก็ยังสูญสลายไปอีกด้วย
“ชักสนุกแล้วสิ”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงคำราม ชูกระบี่ขึ้นสูงในอากาศ “เมื่อคิดจะกำจัดแล้ว ก็ต้องกำจัดแบบถอนรากถอนโคน… กราบเรียนผู้อาวุโสเฉิน ข้าน้อยขอตัวสักครู่ ประเดี๋ยวจะกลับมา”
เด็กหนุ่มสะกิดปลายเท้าเหินร่างขึ้นไปในอากาศ ก่อนพุ่งตัวเป็นลำแสง มุ่งหน้าไปยังที่พักของกลุ่มอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็ก
“เขาจะไปทำอะไรน่ะ?”
“อย่าบอกนะว่าหลินเป่ยเฉินต้องการฆ่ากวาดล้างกลุ่มอมนุษย์ผมขาว?”
“ไม่มีทาง เขาเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร? การเดินทางมาเมืองไป๋หยุนในครั้งนี้ อมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กยกกำลังพลมาถึง 165 ตัว ผู้นำกลุ่มเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของเผ่าพันธุ์ มีพลังเทียบกับมนุษย์ขั้นเซียนระดับหก กล่าวได้ว่าเป็นยอดฝีมือตัวจริงเสียงจริง หลินเป่ยเฉินจะรับมือไหวหรือ?”
“เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นบุคคลเสียสติอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วย”
เมื่อทุกคนเห็นเช่นนั้น หัวใจของพวกเขาก็ตกตะลึง
“พวกเราไปดูกันเถอะ”
บางคนทนเก็บความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ไม่ได้ จึงใช้วิชาตัวเบา ติดตามหลินเป่ยเฉินไปไม่ห่าง
แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากรอคอยอยู่ที่หอเจ็ดดาราดังเดิม เนื่องจากพวกเขาสนใจเรื่องราวต่อจากนี้ระหว่างเฉินเซียวเยี่ยนกับสหายหมากล้อมผู้นั้นมากกว่า
“อาจารย์เจ้าคะ พวกเราก็ตามไปดูกันบ้างดีกว่า”
หูเหม่ยเอ๋อร์กระทืบเท้าเร่งเร้าด้วยความร้อนรน
เหยียนหรู่อี้ขมวดคิ้วใช้ความคิดเล็กน้อย ก็พยักหน้า “พวกเราไปกันเถอะ”
หลังจากนั้น นางก็วางมือลงบนหัวไหล่ลูกศิษย์สาวทั้งสองคน แล้วร่างของศิษย์อาจารย์ทั้งสามนางก็หายวับไปในอากาศ
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินไม่ได้ตามไปด้วย เพราะพวกนางได้รับคำสั่งผ่านทางกระแสจิตจากหลินเป่ยเฉินว่าพวกนางต้องรออยู่ที่นี่
“อาจารย์ขอรับ…”
ผู้เป็นลูกศิษย์หันมามองหน้าเฉินเซียวเยี่ยน
เฉินเซียวเยี่ยนเหยียยดกายยืนตรงและกล่าวว่า “กลับไปยืนประจำที่”
ลูกศิษย์ทั้งสี่คนของชายชรามีสีหน้าลังเลเล็กน้อย แต่แล้วพวกเขาก็ต้องจำใจถอยกลับไปยืนอยู่ทางซ้ายมือของเวทีอย่างช้า ๆ
เฉินเซียวเยี่ยนหมุนตัวเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะหมากล้อมอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวกับผู้อาวุโสฉีว่า “พวกเราเริ่มกันได้แล้วกระมัง?”
ผู้อาวุโสฉีหัวเราะร่วน “ประเสริฐ สามารถตัดอดีตได้โดยไร้ความกังวล ในที่สุดเจ้าก็มีคุณสมบัติที่จะเล่นหมากกระดานนี้แล้ว แต่จงจำเอาไว้ให้ดี นี่คือโอกาสสุดท้ายของเจ้า หากครั้งนี้เจ้ายังแพ้อีก นั่นก็คงเป็นลิขิตจากสวรรค์ และเจ้าก็อย่าได้ฝืนโชคชะตาอีกเลย”