ตอนที่ 1,081 วีรบุรุษขี่หมูขาว
เฉินเซียวเยี่ยนสูดหายใจลึกและปรับเปลี่ยนพลังลมปราณ
หลังจากนั้น ชายชราก็กลับมามีสีหน้าท่าทีที่แข็งแรงอีกครั้ง เขาค่อย ๆ ยกมือซ้ายที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียว โคจรพลังลมปราณพลางยื่นนิ้วมือออกไปข้างหน้า จากนั้นชายชราก็แตะปลายนิ้วลงบนกลางกระดานหมากอย่างแผ่วเบา
วูบ!
แสงสว่างครอบคลุมโต๊ะเดินหมาก
แล้วแสงสว่างนั้นก็หลอมรวมกลายเป็นเม็ดหมากล้อมสีดำหนึ่งเม็ดอยู่ที่ปลายนิ้วมือของเฉินเซียวเยี่ยน
ติ๊ง!
เฉินเซียวเยี่ยนวางหมากลงไปบนกระดาน
เมื่อผู้อาวุโสฉีเห็นตำแหน่งที่อีกฝ่ายเริ่มวางหมาก เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
เริ่มวางหมากจากจุดศูนย์กลางของกระดาน นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่เฉินเซียวเยี่ยนไม่เคยทำมาก่อน
“ดูเหมือนเจ้าจะเข้าใจบางอย่างมากขึ้นแล้วจริง ๆ”
ผู้อาวุโสฉีก็ยื่นมือออกมาข้างหน้า แสงสว่างแผ่ปกคลุมโต๊ะเดินหมากอีกครั้ง แล้วพวกมันก็รวมตัวกลายเป็นเม็ดหมากล้อมสีขาวที่ปลายนิ้วมือของชายชรา
ติ๊ง!
เม็ดหมากล้อมสีขาววางลงไปตรงช่องว่างแถวที่ 16
การโอบล้อมศัตรูคือวิธีการเดินหมากก้าวแรกที่สำคัญที่สุด
ชายชราทั้งสองคนนั่งอยู่คนละฝั่งของโต๊ะหิน พวกเขาจะหยุดคุยกันบ้างเล็กน้อย แต่เม็ดหมากล้อมในมือก็ยังคงถูกวางลงไปบนกระดานตัวแล้วตัวเล่า
บนเวที แสงสว่างจากค่ายอาคมถูกยิงขึ้นไปในอากาศ
มันกำลังฉายภาพสิ่งที่เกิดขึ้นบนโต๊ะหมากล้อมให้ทุกคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมได้รับชม
นี่คือการถ่ายทอดสดการเดินหมากระหว่างผู้เฒ่าทั้งสองท่าน
ในกลุ่มมือกระบี่ที่รับชมการเดินหมากอยู่ขณะนี้ บางคนมีความชำนาญในการเล่นหมากล้อมระดับสูง พวกเขาต่างจ้องมองการฉายภาพในอากาศอย่างลืมหายใจ บางครั้งก็จะพูดคุยกระซิบกระซาบกัน เพราะไม่กล้าส่งเสียงดังมากเกินไปด้วยกลัวจะเป็นการรบกวนสมาธิของสองผู้เฒ่า
แต่เมื่อเวลาผ่านไป การวางหมากของเฉินเซียวเยี่ยนก็เริ่มเชื่องช้าลงเรื่อย ๆ
บนหน้าผากของเขาปรากฏเม็ดเหงื่อผุดพราว
สีหน้าของเฉินเซียวเยี่ยนแปรเปลี่ยนไป บางครั้งดูดุร้าย บางครั้งดูผิดหวัง บางครั้งดูกดดัน คล้ายกับผู้คนที่กำลังจนตรอก
ส่วนผู้อาวุโสฉีที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามยังคงมีท่าทีเป็นปกติเช่นเดิม ทุกครั้งที่วางหมากลงไป เขาแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดสักนิด ลักษณะท่าทีมีความเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง
“ผู้อาวุโสเฉินกำลังจะแพ้แล้ว”
“ฝีมือยังห่างชั้นกันมากเกินไป”
บรรดาผู้ชำนาญการเล่นหมากล้อมที่รับชมการเดินหมากอยู่ด้านล่างเวทีล้วนมองออกว่าสถานการณ์กำลังจะดำเนินไปสู่จุดใด
เป็นไปตามคาด หลังจากนั้นไม่นาน…
ติ๊ง!
เม็ดหมากล้อมสีขาวเม็ดสุดท้ายจากผู้อาวุโสฉีถูกวางลงไปบนกระดาน ก่อนที่เม็ดหมากล้อมสีดำและสีขาวเหล่านั้นจะสลายหายวับไปในพริบตา
ติ๋ง!
เม็ดเหงื่อไหลหยดจากหน้าผากของเฉินเซียวเยี่ยนตกลงสู่กระดานหมากล้อม
กล้ามเนื้อบนใบหน้าชายชรากระตุกระริก แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนหายใจออกมายาวแรง
“ข้าพ่ายแพ้แล้ว”
นับตั้งแต่การวางหมากตัวแรกลงไปจนถึงตัวสุดท้าย กระบวนการตัดสินผู้ชนะเกิดขึ้นในเวลาชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วยเท่านั้น
นับเป็นความพ่ายแพ้ที่รวดเร็วยิ่งนัก
ฝีมือการเดินหมากของท่านผู้เฒ่าทั้งสองยังห่างชั้นกันมากเกินไปจริง ๆ
เฉินเซียวเยี่ยนมีสีหน้าเศร้าหมองเล็กน้อย
คล้ายกับผู้คนที่ถูกดูดวิญญาณส่วนหนึ่งออกจากร่างกาย
“ผู้ที่ชนะสองจากสามกระดาน จะเป็นผู้ชนะในวันนี้”
ผู้อาวุโสฉีพูดออกมาแผ่วเบา “เจ้ายังคงมีโอกาส ข้าจะให้เวลาเจ้าได้พักสักนิด”
เฉินเซียวเยี่ยนพยักหน้า หลับตาลงนั่งทำสมาธิ
ผ่านไปชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย เขาก็ลืมตากลับขึ้นมา
สภาพจิตใจกลับมามั่นคงแล้ว
“เรามาเริ่มกระดานที่สองกันเลยเถอะ”
เฉินเซียวเยี่ยนยังเป็นคนวางหมากตัวแรกต่อไป
และเขาก็ยังคงวางลงไปที่จุดกึ่งกลางของกระดาน
ผู้อาวุโสฉีชำเลืองมองหน้าเฉินเซียวเยี่ยนก่อนส่ายศีรษะเล็กน้อย ไม่พูดอะไร และตนเองก็วางหมากลงที่ตำแหน่งเดิมเช่นกัน
ทุกอย่างดำเนินไปไม่ต่างจากหมากกระดานแรก
แต่เมื่อกำลังจะวางหมากตัวที่สองลงไป เฉินเซียวเยี่ยนกลับชะงักด้วยความลังเล มวลพลังรวบรวมเป็นเม็ดหมากล้อมสีดำอยู่ที่ปลายนิ้ว แต่หมากตัวนี้ยังไม่ได้วางลงไปบนกระดาน…
ชายชราลังเลอยู่ถึง 20 ลมหายใจ
และในจังหวะที่ทุกคนกำลังลุ้นระทึกอยู่นั้น…
กุบกับ! กุบกับ! กุบกับ!
ได้ยินเสียงกีบเท้าสัตว์กระทบพื้นดินดังเข้ามาจากที่ห่างไกล
เป็นหลินเป่ยเฉินควงกระบี่เงินกลับมาแล้ว
ชุดสีขาวของเขาแปดเปื้อนด้วยคราบโลหิตเป็นด่างดวงเพียงเล็กน้อย ไม่ต่างจากดอกเบญจมาศที่กำลังบานสะพรั่ง
แต่กระบี่ในมือเขากลับไม่มีเลือดเลยสักหยดเดียว
หากไม่ใช่ว่าเด็กหนุ่มขี่หมูขาวยักษ์กลับมา หลินเป่ยเฉินก็แทบไม่ได้แตกต่างจากตอนขาไปแม้แต่น้อย
หมูยักษ์ที่เขาขี่อยู่มีสีขาวอมชมพู
มันมีหน้าตาน่ารักน่าชัง ไม่ได้สกปรกและน่าเกลียดเหมือนหมูทั่วไป แต่หมูยักษ์ตัวนี้กลับดูสะอาดสะอ้านและอ้วนพีเป็นอย่างยิ่ง
แต่ถึงมันจะมีลำตัวอ้วนกลม ทว่าฝีเท้าของเจ้าหมูกลับมีความเร็วอย่างหาตัวจับยาก
มันวิ่งได้เร็วมากกว่าการเหาะเหินเดินอากาศของผู้มีพลังขั้นเซียนเสียอีก
หลินเป่ยเฉินไม่ได้กลับมาพร้อมกับหมูยักษ์เพียงอย่างเดียว แต่เขายังลากห่อผ้าทรงกลมขนาดใหญ่กลับมาด้วยอีกหลายห่อ
ไม่มีผู้ใดทราบว่าของที่อยู่ในหอผ้าเหล่านั้นคือสิ่งใด
เพราะพวกมันมีขนาดใหญ่โตมากเกินไป และหมูยักษ์ที่หลินเป่ยเฉินขี่อยู่บนแผ่นหลังก็วิ่งด้วยความเร็วมากเกินไป หากมองดูผ่าน ๆ ก็จะรู้สึกไม่ต่างกับว่าเด็กหนุ่มกำลังขี่หมูลากลูกบอลขนาดใหญ่ตามมาด้วยอีกเป็นพรวน
นอกจากนี้ ในมืออีกข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มยังถือเชือกไว้สามเส้น
ปลายสายของเชือกแต่ละเส้นเป็นปลอกคอที่รัดอยู่กับเจ้าลูกหมูสีขาวอมชมพูสามตัว และพวกมันก็กำลังวิ่งตามหลังหลินเป่ยเฉินมาอย่างรวดเร็ว
ภาพที่ทุกคนกำลังเห็นอยู่นี้…
ไม่ต่างไปจากโจรร้ายที่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการปล้นเล้าหมูของชาวบ้าน
ไม่มีความน่าเกรงขามเลยสักนิด
ทุกคนที่หันมองตามเสียงกีบเท้าสัตว์นั้นต้องเบิกตาโต
เกิดอะไรขึ้น?
หลินเป่ยเฉินออกไปกวาดล้างกลุ่มอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กไม่ใช่หรือ?
เหตุไฉนถึงได้กลับมาพร้อมกับหมูยักษ์สี่ตัว?
เอี๊ยดดด!
เสียงฝีเท้าหมูหยุดลง
เท้าทั้งสี่ข้างของเจ้าหมูยักษ์สามารถหยุดยั้งได้ตามคำสั่ง บนพื้นดินหน้าหอเจ็ดดาราปรากฏรอยเท้าหมูลากเป็นทางยาว
วูบ!
หลินเป่ยเฉินพลิกตัวกระโดดลงมาจากหลังหมู
เขาผูกสายจูงหมูเข้ากับเสาผูกม้าหน้าโรงเตี๊ยม
“เฉียนเหมย ออกมาดูแลหมูพวกนี้แทนข้าที”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงร้องตะโกน
เฉียนเหมยรีบวิ่งออกมาด้วยความตื่นเต้นและรับช่วงดูแลหมูยักษ์เหล่านั้นต่อจากเขา
หลินเป่ยเฉินก้าวปราด ๆ เข้าไปในโรงเตี๊ยม ก่อนกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีเดินหมาก
“อ้าว เริ่มกันแล้วหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินเดินไปหยุดยืนอยู่ด้านหลังเฉินเซียวเยี่ยน เขาชะโงกมองการวางหมากที่อยู่บนกระดาน ยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ใครก็ตามที่สามารถนำหมากของตนเองมาต่อเรียงกันได้ห้าตัว คนผู้นั้นก็จะเป็นผู้ชนะใช่ไหมขอรับ?”
เฉินเซียวเยี่ยนปากกระตุกเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ผู้อาวุโสฉีไม่แม้แต่จะชำเลืองมองหน้าเด็กหนุ่มสักนิด
แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากขับไล่เขา
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มและพูดต่อ “กราบเรียนผู้อาวุโสเฉิน ข้าน้อยชื่นชอบกระบี่เล่มนี้มากเลยขอรับ มันเหมาะสมกับข้าน้อยเป็นที่สุด มันสามารถสังหารศัตรูได้ไม่ต่างจากหั่นผักหั่นปลา ซ้ำยังเป็นกระบี่ที่มีเสียงเงียบอีกด้วย… ฮ่า ๆๆ ในเมื่อผู้อาวุโสเป็นคนสร้างกระบี่เล่มนี้ขึ้นมา ผู้อาวุโสช่วยตั้งชื่อให้มันหน่อยได้ไหมขอรับ?”
สีหน้าของเฉินเซียวเยี่ยนแสดงออกถึงความรำคาญใจ
เขาดึงมือกลับมาจากกระดานหมาก
แสงสว่างที่ปลายนิ้วมือของเขาสลายหายวับไปในอากาศ
“มันเป็นกระบี่ของเจ้า เจ้าตั้งชื่อเองก็แล้วกัน”
เฉินเซียวเยี่ยนลุกขึ้นยืนพูด
“ผู้อาวุโสเฉิน การเล่นหมากล้อมในวันนี้ มีความสำคัญต่อท่านมากใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าเฉินเซียวเยี่ยนด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง ผิดแผกแตกต่างไปจากบุคลิกก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง “หมากกระดานนี้ ท่านคงไม่สามารถพ่ายแพ้ได้อีกแล้วกระมัง?”
ฉึก!
คำพูดของเด็กหนุ่มไม่ต่างจากกระบี่ทิ่มแทงใจเฉินเซียวเยี่ยน
เขาพยักหน้าตอบเงียบ ๆ
เป็นการตอบคำถามทั้งสองข้อในเวลาเดียวกัน… การเดินหมากในวันนี้มีความสำคัญต่อท่านผู้เฒ่ามาก และท่านผู้เฒ่าก็พ่ายแพ้กระดานแรกไปเรียบร้อยแล้ว
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหนักแน่นพลางกล่าวว่า “งั้นก็สู้ ๆ นะขอรับ ว่าแต่ท่านจะมามองหน้าข้าแบบนี้ทำไมเนี่ย?”
เฉินเซียวเยี่ยนพูดอะไรไม่ออก
ก็เจ้าเป็นคนมาขัดจังหวะข้าเองไม่ใช่หรือ?
หลินเป่ยเฉินนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องหยุดเดินหมากกระทันหัน