ตอนที่ 1,072 ผู้คนจากคฤหาสน์กำยาน
“คนจากคฤหาสน์กำยานมาแล้วหรือ?”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ อดที่จะหันหน้ามองไปทางประตูไม่ได้
หญิงสาวหน้าตาสะสวยสามนางเดินเข้ามาอย่างแช่มช้า
นำหน้ามาโดยสตรีที่มีอายุ 30 ปีเศษ นางมีความงามเปรียบเสมือนผลไม้สุกพร้อมรับประทาน เรือนร่างสูงอวบอัดเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์ยวนใจ ติดตามมาด้วยหญิงสาวและเด็กสาวอย่างละหนึ่งคน ผู้หนึ่งมีกิริยาสงบสุขุม อีกผู้หนึ่งมีไฝขึ้นอยู่บริเวณหางคิ้ว ท่าทางฉลาดหลักแหลมเจ้าเล่ห์แสนกล ทั้งสองนางล้วนมีความงามชนิดล่มเมืองได้ทั้งสิ้น
ใช่แล้ว
เป็นพวกนางนี่เอง
เมื่อหลินเป่ยเฉินพบหน้าสตรีทั้งสาม เขาก็จดจำได้ทันทีว่าพวกนางคือกลุ่มคนที่โดยสารกระสวยสำรวจสวรรค์แล่นแซงหน้าเรือเหาะวิหกยักษ์ของเขาไปเมื่อวันก่อน
‘คฤหาสน์กำยาน’ คือสำนักกระบี่ที่ได้รับความเคารพเป็นอย่างสูงในแผ่นดินตงเต้า
และเหยียนหรู่อวี้ สตรีวัย 30 ปีเศษผู้นี้ ก็คือมือกระบี่ขั้นเซียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมานานแล้ว
“นางสวยขนาดนั้นเชียวหรือ?”
อิ๋นซานเอนกายเข้ามากระซิบข้างหูเด็กหนุ่มอีกครั้ง “เจ้าจึงได้จ้องมองไม่วางตาถึงเพียงนี้”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าตอบว่า “ก็สวยอยู่ขอรับ แต่หากนำมาเทียบกับอาจารย์อาอิ๋นแล้ว นับว่าอาจารย์อาของข้ายังสวยล้ำมากกว่านางหลายร้อยเท่านัก”
อิ๋นซานหน้าแดงขึ้นมาทันที หัวใจพองโต แต่กลับพูดอย่างแง่งอนว่า “ฮึ เจ้าโกหกแล้ว”
ซวีเชียนผู้ที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ยังคงรับประทานอาหารจนแก้มตุ๋ยต่อไป
ในโรงเตี๊ยมเกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง
“คารวะแม่นางเหยียน”
“คารวะมือกระบี่เหยียน”
“ไม่ได้เจอกันนานสิบปี แต่แม่นางเหยียนก็ยังงามสง่าเช่นเดิม ทำให้ข้าน้อยรู้สึกละอายใจมากแล้ว”
บรรดายอดฝีมือที่รวมตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนประสานมือแสดงความเคารพอย่างพร้อมเพรียง
เหยียนหรู่อวี้เพียงยิ้มรับและพยักหน้า
ส่วนลูกศิษย์สาวทั้งสองคนที่เดินตามมาทางด้านหลัง หญิงสาวผู้ดูสุภาพอ่อนโยนเพียงยิ้มรับคำทักทายอย่างปลอดโปร่งโล่งใจ ในขณะที่เด็กสาวเชิดศีรษะขึ้นสูง จ้องมองทุกคนด้วยแววตาของผู้ที่อยู่เหนือกว่า
เหยียนหรู่อวี้เดินตรงไปยังที่นั่งของเฉินเซียวเยี่ยน ก่อนประสานมือคำนับและกล่าวทักทายแผ่วเบา
เฉินเซียวเยี่ยนยังคงนั่งหลับตาพักผ่อน ไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น
เหยียนหรู่อวี้จะแสดงความเสียใจก็หาไม่ นางหมุนตัวกลับมาเสมือนไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
“อาจารย์เจ้าคะ ไม่มีโต๊ะว่างเหลืออยู่อีกแล้ว”
ซวีหวันผู้เป็นศิษย์พี่ของเด็กสาวกวาดสายตามองทั่วโรงเตี๊ยมและขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เชิญแม่นางเหยียนมานั่งที่โต๊ะนี้…”
ชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำผู้หนึ่งลุกขึ้นยืน “ครั้งหนึ่งสำนักของผู้ต่ำต้อยเคยได้รับความช่วยเหลือจากคฤหาสน์กำยาน ดังนั้น โต๊ะของข้าน้อยจึงเป็นของพวกท่านแล้ว”
กล่าวจบ เขาก็โบกมือบอกให้สหายของตนเองลุกขึ้นและพากันเดินออกไปจากโต๊ะ
“ขอบคุณผู้อาวุโสจ้าว”
เหยียนหรู่อวี้ลังเลเล็กน้อย แต่ก็รับความปรารถนาดีของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยรอยยิ้มและคำขอบคุณ
นางและลูกศิษย์ทั้งสองจึงมานั่งลงที่โต๊ะตัวนั้น
เด็กสาวผู้เป็นศิษย์น้องเล็กมีนามว่าหูเหม่ยเอ๋อร์ นางล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดถูโต๊ะและเก้าอี้ราวกับพบว่ามีสิ่งสกปรกแปดเปื้อน
“อาจารย์เจ้าคะ เหตุไฉนถึงไม่พูดคุยเรื่องการตีกระบี่เสียตอนนี้เลยเล่า?”
เมื่อทำความสะอาดโต๊ะและเก้าอี้เสร็จแล้ว นางก็เก็บผ้าเช็ดหน้าสีม่วงผืนนั้น ก่อนกระซิบถามออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
เหยียนหรู่อวี้ตอบอย่างพยายามอดทนว่า “วันนี้ผู้อาวุโสเฉินมาที่หอเจ็ดดาราก็เพื่อเล่นหมากล้อมกับสหาย ท่านกำลังตั้งสมาธิ ดังนั้นเราจะไปรบกวนไม่ได้เป็นอันขาด รอจนผู้อาวุโสเดินหมากจบกระดานแล้ว พวกเราค่อยไปพูดคุยเรื่องการตีกระบี่ก็ยังไม่สาย”
“อ้อ…”
หูเหม่ยเอ๋อร์พูดออกมาอีกครั้ง “แต่อาจารย์เจ้าคะ ข้าคิดว่าพลังลมปราณของผู้อาวุโสเฉินท่านนี้อยู่ในระดับธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง แล้วเหตุไฉนผู้มีพลังขั้นเซียนจำนวนมาก ถึงต้องยอมก้มหัวให้เขาด้วย?”
เหยียนหรู่อวี้ถอนหายใจ
ระหว่างทางมาเมืองไป๋หยุน นางพยายามอบรมสั่งสอนลูกศิษย์น้อยนางนี้นับครั้งไม่ถ้วน
แต่ดูเหมือนคำพูดทุกคำจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเสียหมด
“หวันเอ๋อร์ อธิบายให้ศิษย์น้องของเจ้าฟังหน่อยซิ” เหยียนหรู่อวี้กล่าว
“ได้เลยเจ้าค่ะ”
ซวีหวันค้อมศีรษะรับคำสั่ง ก่อนจะอธิบายให้ศิษย์น้องของตนเองฟังว่า “สำหรับนักหลอมกระบี่ ความแข็งแกร่งของวิทยายุทธ์หาใช่สิ่งสำคัญไม่ แต่สิ่งสำคัญคือทักษะในการตีกระบี่ต่างหาก เขาสามารถตีกระบี่ได้วิเศษเพียงใด เขามีอุปกรณ์สำหรับการตีกระบี่อยู่ในระดับใด และกระบี่ที่เขาตีออกมาได้นั้น ถูกจัดว่าเป็นศาสตราวุธระดับใด”
“ตลอดชีวิตของผู้อาวุโสเฉิน ท่านตีกระบี่ชื่อดังออกมาได้ 106 เล่ม และ 16 เล่มจากในนั้นถูกยกย่องให้เป็นกระบี่ระดับเซียน แม้แต่มือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิต้าเกี๋ยนก็ยังใช้กระบี่จุมพิตซึ่งเป็นกระบี่ที่ตีโดยผู้อาวุโสเฉินเช่นกัน เพราะฉะนั้น… เจ้าอย่าได้สงสัยอะไรอีก ผู้คนที่แม้แต่หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ก็ยังต้องเกรงใจ นับดูในแผ่นดินตงเต้า ยังจะมีสักกี่คนเชียว?”
หูเหม่ยเอ๋อร์แลบลิ้นใส่ศิษย์พี่ของตนเองอย่างล้อเลียนและกล่าวว่า “ช่างน่าเลื่อมใสจริง ๆ”
“เจ้าเรียนรู้จากศิษย์พี่ซวีให้มากเข้าไว้ หัดควบคุมอารมณ์ของเจ้าเสียบ้าง นอกจากเรื่องนี้แล้ว เจ้าก็สามารถเดินตามเส้นทางที่อาจารย์กรุยเอาไว้ให้ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดทั้งสิ้น” เหยียนหรู่อวี้มองหน้าลูกศิษย์น้อยของตนเองด้วยความห่วงใย เปิดเผยให้เห็นถึงเสน่ห์ของสตรีที่เต็มวัยอย่างแท้จริง
บรรดาบุรุษที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ ล้วนแต่ตกตะลึงไปกับความงดงามเฉิดฉายของนาง
ในหัวใจของพวกเขาไม่ต่างจากมีดอกไม้บานสะพรั่ง
“นี่ พวกเจ้ามองอะไรกันไม่ทราบ?” หูเหม่ยเอ๋อร์หันมาเห็นเข้าพอดีก็ส่งเสียงคำรามลั่น “หากยังไม่เลิกจ้องมองอีก ข้าจะควักลูกตาพวกเจ้าเดี๋ยวนี้”
เหล่าบุรุษรีบก้มหน้างุด
หูเหม่ยเอ๋อร์ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างผู้ชนะ
ห่างออกมา
หลินเป่ยเฉินผู้กำลังจ้องมองไปทางโต๊ะของสามสาวอยู่เช่นกันพลันค่อย ๆ ถอนสายตาของตนเองกลับมา
เหยียนหรู่อวี้มีลักษณะงามสง่าและสูงส่ง หากยังอยู่ในโลกมนุษย์ใบเก่า นางก็คงเป็นผู้จัดการแผนกจอมเฮี๊ยบในบริษัทที่ไหนสักแห่ง และศิษย์สาวของนางทั้งสองคนนั้นอีกเล่า นับว่าคฤหาสน์กำยานนอกจากมีสถานะสูงส่งแล้ว ลูกศิษย์ในสำนักก็มีความสูงส่งไม่แพ้กันจริง ๆ
นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินเกิดความรู้สึกว่ามีผู้ที่งดงามได้เทียบเคียงกับนักพรตหญิงชินอย่างแท้จริง
ทางด้านลูกศิษย์สาวของนางนั้น สตรีผู้ถูกเรียกว่า ‘หวันเอ๋อร์’ มีลักษณะสงบ สุขุมและสง่างาม การเคลื่อนไหวอ่อนหวานชดช้อยราวกับดอกเบญจมาศ เห็นแล้วก็ชวนให้นึกถึงสาวงามผู้เรียบร้อยอย่างเยว่หงเซียง
ส่วนศิษย์น้องของหวันเอ๋อร์ เพียงจ้องมองแวบแรก ก็ให้รู้สึกไม่ต่างจากคุณหนูตระกูลใหญ่จอมเอาแต่ใจ สีหน้าของนางบ่งบอกถึงการดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นตลอดเวลา แต่หากจะมีสิ่งใดที่สามารถทำให้หลินเป่ยเฉินเกิดความสนใจขึ้นมาได้บ้าง ก็คงเป็นความงามชนิดล่มเมืองได้ของนางนั่นเอง…
ในกลุ่มคนจากคฤหาสน์กำยานทั้งสามนางนี้ หลินเป่ยเฉินต้องตาต้องใจอาจารย์เหยียนหรู่อวี้มากที่สุด
มีใครบ้างที่จะไม่หลงเสน่ห์นาง?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็นำโทรศัพท์มือถือออกมายกขึ้นสแกนไปทางนักหลอมกระบี่เฉินเซียวเยี่ยนผู้ที่นั่งหลับตาอยู่ข้างตั่งไม้ ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปจากโต๊ะของหลินเป่ยเฉินไม่ไกลสักเท่าไหร่
หลังจากนั้น…
“ติ๊ง”
‘เผ่าพันธุ์มนุษย์ : เฉินเซียวเยี่ยน’
‘อายุ : 79 ปี’
‘ขั้นพลัง : ปรมาจารย์ตอนปลาย ปราณธาตุไฟ ความสามารถพิเศษ: สามารถควบคุมไฟได้ทุกชนิด ร่างกายมีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะช่วงแขนมีความแข็งแรงไม่ต่างจากแขนของผู้มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย…’
‘อาชีพ : นักหลอมกระบี่’
‘ระดับวิชาชีพ : นักหลอมกระบี่ขั้นหก’
‘งานอดิเรก : เล่นหมากล้อม’
‘ความสัมพันธ์…’
‘จุดอ่อน…’
ข้อมูลจำนวนมากปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์
หลินเป่ยเฉินถึงกับตกตะลึงไปไม่น้อย
การสแกนครั้งนี้มีรายละเอียดเยอะเหลือเกิน
มันไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
นี่ฟังก์ชันการสแกนในโทรศัพท์ของเขาได้รับการอัปเกรด หรือเป็นเพราะผู้ที่ถูกสแกนครั้งนี้คือเฉินเซียวเยี่ยน ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงเป็นเช่นนี้?
หลินเป่ยเฉินอ่านรายละเอียดของชายชราจนจำได้ขึ้นใจ หลังจากนั้น เขาก็กำลังจะเก็บโทรศัพท์
แต่แล้ว…
“ติ๊ง!”
“ตรวจพบแอปพลิเคชันใหม่ในแอปสโตร์ ไม่ทราบว่านายท่านต้องการดาวน์โหลดหรือไม่เจ้าคะ?”
เสียงที่คุ้นหูของผู้ช่วยสาวส่วนตัวดังขึ้นในหัวของหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มหยุดชะงัก
หรือนี่จะเป็นรางวัลจากที่เขากวาดล้างกลุ่มสำนักยุทธ์คนนอกเมื่อคืนนี้?
หลินเป่ยเฉินรีบเปิดเข้าไปในแอปสโตร์และพบกับโลโก้ใหม่ปรากฏขึ้นในรายการรอดาวน์โหลด
เป็นโลโก้ที่แปลกตามาก
ส่วนชื่อของแอปพลิเคชันนั้น…
หลินเป่ยเฉินหรี่ตามองด้วยความประหลาดใจ เกือบจะสำลักน้ำชาออกมา…
เพราะมันเป็นแอปพลิเคชันที่ไม่โด่งดังเลยสักนิด