ตอนที่ 1,070 ความสามารถพิเศษของอาจารย์ติง
วันต่อมา
แสงแดดสดใส
บรรยากาศที่มืดมนสลายหายไป ท้องฟ้าแจ่มใสอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายเดือน
บางทีอาจเป็นเพราะเมืองไป๋หยุนตั้งอยู่ในพื้นที่สูง สภาพอากาศของที่นี่จึงบริสุทธิ์มาก ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 เป็นศูนย์
หลินเป่ยเฉินนอนหลับยาวถึงตอนเที่ยง สุดท้ายจึงลืมตาตื่นด้วยความงัวเงีย เขาล้างหน้าล้างตาและรับการปรนนิบัติจากสองสาวรับใช้เฉียนเหมยกับเฉียนเจินตามปกติ
ในกระท่อม อาจารย์อาอิ๋นซานได้เตรียมอาหารไว้ให้พวกเขาแล้วตั้งแต่เช้า อาหารทุกอย่างล้วนแต่เป็นของขึ้นชื่อประจำเมืองไป๋หยุนทั้งสิ้น
อาหารเหล่านั้นประกอบไปด้วยซุปนกพิราบ หัวหมูตุ๋น ชาเย็น บะหมี่ร้อน โจ๊กเมล็ดข้าวทองคำ นกอสูรย่างและซุปเนื้อแพะ…
ไม่ว่าจะเป็นสีสัน กลิ่นหรือรสชาติ ล้วนแต่ไม่เป็นสองรองใคร
อาหารทุกจานมาจากฝีมือของอาจารย์อาอิ๋นซานทั้งหมด
“อร่อยมากเลยขอรับ”
หลินเป่ยเฉินรับประทานอาหารทุกจานหมดเกลี้ยงอย่างมิได้เกรงใจ
“หากเจ้าชอบ ข้าทำให้กินทุกวันก็ได้”
อาจารย์อาอิ๋นซานพูดด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาว
“เกรงใจอาจารย์อามากแล้ว”
หลินเป่ยเฉินประสานมือคำนับด้วยความนอบน้อม
อาจารย์อากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบสุขุมว่า “หากเจ้าเกรงใจ จะเปลี่ยนมาเป็นทำอาหารให้ข้ารับประทานบ้างก็ได้”
“เอ่อ… แต่ว่าข้าน้อยทำอาหารไม่เป็นนี่สิขอรับ”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นโดยไม่รู้ตัว
ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาจึงรู้สึกว่าอาจารย์อากำลังมองตนเองด้วยสายตาหวานเยิ้มผิดปกติ
“งั้นให้ข้าทานอย่างอื่นของเจ้าแทนก็ได้นี่”
อิ๋นซานยิ้มพราย
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต
คำพูดของนางหมายความว่าอย่างไร?
นี่อาจารย์อาอิ๋นซานต้องการตัวเขาอย่างนั้นหรือ?
“ได้ยินมาว่าเมืองหยุนเมิ่งมีบะหมี่ร้อนขึ้นชื่อ คงจะเป็นอาหารท้องถิ่นแล้วกระมัง” อาจารย์อาอิ๋นซานกล่าวด้วยดวงตาเป็นประกาย
“อ้อ ใช่แล้วขอรับ เดี๋ยวข้าจะหาเวลาทำให้ท่านรับประทานเอง”
หลินเป่ยเฉินนวดขมับตนเองด้วยความปวดหัว
“ว่าแต่ว่าอาจารย์ของข้าหายหัวไปไหนแล้วล่ะขอรับ?”
ณ กระท่อมหลังนี้ ไม่ว่าจะด้านในหรือด้านนอก ต่างก็ไม่พบเห็นร่องรอยของติงซานฉือ เด็กหนุ่มจึงอดถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้
อิ๋นซานยิ้มแย้มตอบว่า “อาจารย์ของเจ้าไปเข้าพบท่านเจ้าเมือง”
“หา?”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความตกใจ
อิ๋นซานยังคงอธิบายด้วยความปลอดโปร่ง “นับตั้งแต่รุ่งเช้า ท่านเจ้าเมืองก็ส่งคนมาเชิญอาจารย์ของเจ้าไปเป็นแขก ศิษย์พี่หกก็ไปด้วยเช่นกัน เห็นว่าจะไปปรึกษาหารือเรื่องการกำจัดสำนักยุทธ์คนนอกให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด และอาจารย์ของเจ้าก็อยากจะสืบสวนเรื่องการหายตัวไปของท่านเจ้าเมืองคนเก่าด้วย ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับการสืบสวนทั้งหมดนั้น ถูกเก็บเอาไว้ในจวนท่านเจ้าเมือง”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างใช้ความคิด
เขารู้สึกมาตั้งแต่แรกว่าเจ้าเมืองคนใหม่ผู้นี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
แต่อาจารย์ติงคงไม่ตกอยู่ในอันตรายหรอกกระมัง?
หลินเป่ยเฉินทราบดีว่าการที่ตนเองลงมือสังหารผู้มีพลังขั้นเซียนถึง 14 คนเมื่อวานนี้ ย่อมทำให้ท่านเจ้าเมืองคนใหม่ไม่กล้าทำอะไรผลีผลามเด็ดขาด
“เจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของอาจารย์หรือ?”
ดวงตาของอิ๋นซานยังคงเป็นประกายไม่เปลี่ยนแปลง นางจ้องมองหลินเป่ยเฉินอยู่ตลอดเวลา จึงเดาความคิดของเขาออกได้ไม่ยาก
เด็กหนุ่มพยักหน้า
หญิงสาวผู้เป็นอาจารย์อายกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก “อย่าได้เป็นกังวลไปเลย อาจารย์ของเจ้าต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน”
“หืม? เพราะอะไรขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินต้องถามออกมาด้วยความสงสัยอีกครั้ง
อิ๋นซานตอบเสียงกระซิบกระซาบว่า “เพราะศิษย์น้องลู่กวนไห่เคยหลงรักอาจารย์ของเจ้าน่ะสิ”
“หา? เคยมีหญิงอื่นหลงรักอาจารย์ติงด้วยหรือขอรับ…”
เมื่อได้ยินคำตอบของอิ๋นซาน เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หลินเป่ยเฉินไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
“อาจารย์อาหมายความว่า… ฮูหยินของท่านเจ้าเมืองคนปัจจุบัน เคยหลงรักอาจารย์ของข้าอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
อิ๋นซานยังคงยกมือปิดปาก โน้มตัวเข้ามากระซิบว่า “ใช่แล้ว ใช่แล้ว”
หลังจากนั้น นางก็เล่าต่อ “ในอดีต ศิษย์น้องลู่เคยได้ชื่อว่าเป็นยอดสาวงามประจำเมืองไป๋หยุน นางเคยมาที่สำนักกระบี่อมตะหลายครั้งเพื่อดักพบอาจารย์ของเจ้า… และตอนที่อาจารย์ของเจ้าถูกไล่ออกไปจากเมืองนี้ หนึ่งในผู้ที่เสียใจมากที่สุดก็คือศิษย์น้องลู่นี่เอง นางหลงรักอาจารย์ของเจ้าอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น นางจะไม่มีทางทำร้ายอาจารย์ของเจ้าเด็ดขาด”
เครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาในจิตใจของหลินเป่ยเฉิน
มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?
ปรากฏว่าอาจารย์ของเขาเคยเป็นที่ต้องตาต้องใจของยอดสาวงามประจำเมืองไป๋หยุน?
แต่ติงซานฉือที่หลินเป่ยเฉินรู้จัก เป็นเพียงชายชราหน้าตามอมแมม ไม่ชอบอาบน้ำ แต่งกายซอมซ่อ อีกนิดเดียวก็จะกลายเป็นพวกขอทานแล้ว
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนอาจารย์ของตนเองเป็นผู้วิเศษ
เพราะดูเหมือนจะมีสาวงามมาตกหลุมรักอาจารย์ติงได้ตลอดเวลา…
ดูอย่างองค์หญิงแห่งท้องทะเลนั่นปะไร
เอ่อ…
หรือว่าอาจารย์ติงจะมีความสามารถพิเศษที่ไม่มีใครล่วงรู้?
พวกคัมภีร์เสริมเสน่ห์อะไรทำนองนั้น?
เมื่อคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกว่าหลังจากนี้ตนเองต้องเชื่อฟังอาจารย์ให้มากขึ้นแล้ว
เพราะทุกอย่างที่เป็นของอาจารย์ก็จะต้องตกมาเป็นของเขาสักวันหนึ่งโดยปริยาย
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนออกเดินทาง เขาสัญญากับภรรยาของอาจารย์ว่าจะไม่ปล่อยให้อาจารย์ได้ไปพบกับคนรักเก่าเป็นอันขาด
ปรากฏว่าหลินเป่ยเฉินไม่ทันได้ตั้งตัว อาจารย์ติงก็แอบหนีไปพบคนรักเก่าเสียแล้ว
ชายชราผู้นี้ย่อมมีเจตนาไม่บริสุทธิ์แน่ ๆ
ปล่อยไว้ไม่ได้!
มิเช่นนั้น หลินเป่ยเฉินจะมีหน้ากลับไปพบองค์หญิงแห่งท้องทะเลได้อย่างไร
เขาต้องรีบไปตักเตือนอาจารย์ติงและกำชับไม่ให้อาจารย์เผลอตัวเผลอใจอีก
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่านี่คือหน้าที่อันใหญ่หลวงที่ตนเองต้องรับผิดชอบ
จังหวะนั้น…
“จริงด้วยสิ ข้าว่าจะถามเจ้าอยู่พอดี บ่ายวันนี้ ผู้อาวุโสเฉินเซียวเยี่ยนแห่งเมืองจูเจี้ยนจะมาที่หอเจ็ดดาราเพื่อเล่นหมากล้อมกับสหายเก่าที่ค้างคาไว้จากสามปีก่อน เจ้าอยากให้เขาตีกระบี่ให้ไม่ใช่หรือ โอกาสดีมาถึงแล้ว พวกเราไปที่นั่นเพื่อขอเข้าพบผู้อาวุโสเฉินเซียวเยี่ยนดีหรือไม่?”
อิ๋นซานถามออกมาอย่างกระตือรือร้น
เอ๋?
จริงด้วยสิ หลินเป่ยเฉินนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองอยากได้กระบี่เล่มใหม่อยู่พอดี
ส่วนเรื่องของอาจารย์นั้น…
ต้องเลือกซะแล้วสินะ
เขาเชื่อว่าอาจารย์ของตนเองมีคุณธรรมมากพอและจะต้องไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับอดีตคนรักอย่างแน่นอน
ความรู้สึกของการแบกรับหน้าที่อันใหญ่หลวงสลายหายไปจากใจอย่างรวดเร็ว เพราะสำหรับหลินเป่ยเฉิน ไม่มีอะไรจะสำคัญมากไปกว่ากระบี่เล่มใหม่ของเขาอีกแล้ว
“ฟังจากที่อาจารย์อาอิ๋นพูด…”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วครุ่นคิด “โอกาสที่เราจะได้พบผู้อาวุโสเฉินเซียวเยี่ยนอีกคงยากมากใช่ไหมขอรับ? ถ้าอย่างนั้น ข้าน้อยสมควรไปจองโต๊ะก่อนดีหรือไม่?”
“ไม่ใช่ยากธรรมดา ต่อให้พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน โอกาสดีเช่นนี้ก็คงหาไม่ได้อีกแล้ว”
อิ๋นซานหัวเราะออกมาเล็กน้อย ดวงตาของนางเป็นประกายหยาดเยิ้มขณะกล่าวต่อ “ไม่ว่าผู้ใดมีวาสนาได้พบเจอผู้อาวุโสเฉิน ต่างก็ต้องขอร้องให้เขาช่วยตีกระบี่ให้เป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น เจ้าอย่าได้เกรงใจเลย แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องเตรียมใจเอาไว้ก่อนก็คือ ผู้อาวุโสเฉินมีนิสัยไม่เหมือนใคร ยากที่ผู้ใดจะอยู่ในสายตาของท่าน ดังนั้น ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาท่านจึงไม่เคยตีกระบี่ให้ผู้ใดเลย แต่หากเจ้าได้พูดคุยและโน้มน้าวให้ผู้อาวุโสเฉินเปลี่ยนใจได้สำเร็จ เขาก็จะต้องตีกระบี่ให้เจ้าอย่างแน่นอน”
“ยากเย็นขนาดนั้นเชียวหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “งั้นพวกเราไปกัน ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะทำให้เขาตีกระบี่ให้ข้าไม่ได้”
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็พาสองสาวรับใช้มุ่งหน้าตรงไปยังโรงเตี๊ยมชื่อดังประจำเมืองพร้อมกับอาจารย์อาอิ๋นซาน
เมืองไป๋หยุนยามกลางวันมีแต่ความสว่างสดใส
ทว่า ผู้คนที่เดินตามท้องถนนกลับบางตา
ร้านค้าสองข้างทางปิดกิจการมานานแล้ว
บนถนนกลาดเกลื่อนไปด้วยเศษขยะ
ในลำคลองข้างทาง หลินเป่ยเฉินสามารถมองเห็นศพนิรนามลอยขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง ตัวหนอนสีขาวคลานยั้วเยี๊ยะอยู่บนซากศพน่าสะอิดสะเอียน…
ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นแห่งความตาย
“เป็นเพราะสำนักยุทธ์คนนอกเหล่านั้นที่ทำให้เมืองของเราต้องกลายเป็นเช่นนี้” อิ๋นซานกล่าวออกมาด้วยความเศร้า
“ท่านเจ้าเมืองคนใหม่ก็ขึ้นครองตำแหน่งหลายปีแล้วนะขอรับ เขาไม่คิดทำสิ่งใดบ้างเลยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถาม
“ท่านเจ้าเมืองไม่มีอำนาจต่างหาก”
อิ๋นซานได้แต่ส่ายศีรษะแล้วก็ถอนหายใจ “ยิ่งไปกว่านั้น เท่าที่ข้าสังเกตดู ท่านเจ้าเมืองไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่สักเท่าไหร่”
พวกเขาเดินไปด้วยพูดคุยกันไปด้วย
จนกระทั่งมาถึงใจกลางเมืองไป๋หยุน
ในที่สุด บนท้องถนนก็เริ่มเห็นเงาร่างผู้คนบ้างแล้ว
หอเจ็ดดาราตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของจัตุรัสกลางเมือง มันเป็นหอสูงเจ็ดชั้นก่อสร้างด้วยอิฐแดงและกระเบื้องเขียว บนผนังประดับด้วยนกนางแอ่นโลหะ ดูสวยงามและเข้มแข็งในเวลาเดียวกัน กล่าวได้ว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้คือสถานที่ขึ้นชื่อประจำเมืองไป๋หยุนก็ว่าได้
พวกของหลินเป่ยเฉินมาถึงโรงเตี๊ยมในที่สุด
“มีคนเยอะเหมือนกันนะขอรับเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินมองเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยมและพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
ลานกว้างด้านนอกปราศจากผู้คน แต่ด้านในโรงเตี๊ยมคราคร่ำด้วยผู้คน โต๊ะอาหารทุกตัวของชั้นแรกในโรงเตี๊ยมมีผู้คนจับจองอยู่ครบถ้วนแล้ว
ทุกคนต่างมาที่นี่เพื่อขอร้องให้เฉินเซียวเยี่ยนตีกระบี่
เฉินเซียวเยี่ยนยังมาไม่ถึง แต่ผู้คนก็มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
ดูเหมือนนักหลอมกระบี่ผู้นี้จะโด่งดังกว่าที่เขาคิดซะแล้วสิ
หลินเป่ยเฉินอดถอนหายใจออกมาไม่ได้