ตอนที่ 224 เข้าวังเข้าเฝ้า
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ” ชิ่งอ๋องพยายามระงับความตื่นเต้นและใจที่เต้นโครมครามก่อนถวายบังคม พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นบรรดาขุนนางใหญ่ต่างก็อยู่ด้วย แววตาที่มองมาทางเขาแปลกไปจากเดิม จึงรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
หรือว่าเป็นเรื่องไม่ดี
จากนั้นชิ่งอ๋องก็สังเกตเห็นรองเจ้ากรมเผยคุกเข่าอยู่บนพื้น
หน้าผากรองเจ้ากรมเผยแนบติดพื้นร่างกายสั่นเทา ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองชิ่งอ๋อง
สภาพน่าอนาถเช่นนี้ทำให้ในใจชิ่งอ๋องตกต่ำถึงขีดสุดในทันที
ควรรู้ว่ารองเจ้ากรมเผยเป็นขุนนางระดับสาม หากไม่ได้ทำให้เสด็จพ่อกริ้วหนัก ไหนเลยจะมีสภาพเช่นนี้
หากจะว่าไป รองเจ้ากรมเผยจะทำผิดมหันต์ในเรื่องใด ชิ่งอ๋องก็แทบระงับใจไม่ให้คิดถึงเรื่องติ้งเป่ยไม่ได้ ดังนั้นสีหน้าจึงซีดเผือดโดยไม่รู้ตัว
ตั้งแต่ชิ่งอ๋องเข้ามา ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ได้ทรงตรัสอันใด สายพระเนตรคมเฉียบจ้องมองใบหน้าชิ่งอ๋องสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของเขา ตรัสขึ้นด้วยสีพระพักตร์สงบนิ่งไร้คลื่นลม
“ชิ่งอ๋อง เจ้ารู้เรื่องตำบลไท่ผิงไหม”
ชิ่งอ๋องได้ยินฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เรียกราชทินนามของเขา ในใจก็พลันกระตุกวาบ รีบกราบทูลว่า “กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ทราบ?”
สุรเสียงนิ่งสงบจึงรู้สึกได้ถึงความเคร่งเครียดของฮ่องเต้ดังขึ้นเหนือศีรษะ ในใจชิ่งอ๋องรู้ขึ้นมาทันที รีบแก้ไขวาจาว่า “ฟังแล้วคุ้นหู แต่นึกไม่ออก เป็นหมู่บ้านที่ไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กวาดสายพระเนตรไปทางมหาขันทีซุนเหยียน “ให้ชิ่งอ๋องอ่านคำร้อง”
ซุนเหยียนยกคำร้องไปตรงหน้าชิ่งอ๋อง
ชิ่งอ๋องอ่านละเอียดรอบหนึ่งแล้วก็โผลงคุกเข่า “เสด็จพ่อ คำร้องนี้เหลวไหลทั้งสิ้น มีแต่เรื่องใส่ความ!กระหม่อมเป็นองค์ชาย ได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋อง จะสังหารชาวบ้านทั้งหมู่บ้านเพื่อเงินทองเพียงน้อยนิดแค่นี้หรือ กระหม่อมถูกใส่ความ…”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ได้คลายลงเพราะเสียงร้องว่าถูกใส่ความของชิ่งอ๋อง “คุณหนูหมู่บ้านเล็กๆ ผู้หนึ่ง ไม่เกรงกลัวความลำบาก เดินทางมาเมืองหลวงขวางเกี้ยวร้องทุกข์ เพื่อใส่ความเจ้าหรือ”
ชิ่งอ๋องเงยหน้าขึ้นพร้อมกับน้ำตาไหลพรากลงมาทันที “กระหม่อมถูกใส่ความจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ อาจเพราะมีคนเห็นว่ากู้ชางป๋อเกิดเรื่อง คิดอาศัยละครฉากนี้ลากบุตรชายลงมา…”
“หุบปาก!” ชิ่งอ๋องไม่เอ่ยถึงกู้ชางป๋อยังดี แต่พอเอ่ยถึงกู้ชางป๋อ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ทรงระเบิดโทสะขึ้นมาทันที
หลายวันนี้เขานอนไม่หลับ ทนทรมานทุกวันคืน รอข่าวของท่านซงหลิงมาตลอด รอความเป็นไปได้ที่บุตรชายของเขากับฮองเฮาจะยังมีชีวิตอยู่ ด้วยเหตุนี้ แม้คิดจะสังหารตระกูลกู้ชางป๋อทั้งตระกูล ก็ได้แต่อดทนเอาไว้
เขามีบุตรชายหลายคน บุตรชายแต่ละคนก็ล้วนมีตระกูลยิ่งใหญ่หนุนหลัง เขามีขุนนางมากมาย โดดเด่นบ้าง ธรรมดาบ้าง สูงส่งมือสะอาดบ้าง ชั่วช้าโกงกินบ้าง แต่ขุนนางทุกคนล้วนมีจุดยืนและความคิดของตนเอง ทันทีที่แพร่ออกไปว่าองค์ชายที่ถือกำเนิดจากฮองเฮามีตัวตนอยู่ ผู้ใดจะรู้ว่าจะเกิดคลื่นลมแรงเพียงใด
ก่อนที่จะหาหนุ่มน้อยผู้นั้นพบ เขาไม่อาจเสี่ยงภัยนี้
“เรียกเจิ้นฝูสื่อกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเฮ่อชิงเซียวเข้าวัง”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รับสั่งไม่นาน เฮ่อชิงเซียวก็รีบเข้ามา
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
“เจ้าไปที่ศาลซุ่นเทียน นำตัวหญิงสาวแซ่จูเข้าวัง ซุนเหยียน…”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไปด้วย เรียกตัวเจ้ากรมศาลซุ่นเทียนเข้าวังด้วย”
ทั้งสองคนรับพระบัญชา รีบไปศาลซุ่นเทียนทันทีอย่างไม่รอช้า
ในยามนี้ เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนกำลังเดินไปมาในห้องอย่างร้อนใจดังไฟแผดเผา
เจ้ากรมตรวจสอบเหอเข้าวังไปยื่นฎีกาเป็นอย่างไรบ้าง คนที่ส่งไปจวนชิ่งอ๋องเหตุใดยังไม่กลับมา
จูเสี่ยวเยวี่ยถูกเขาส่งไปพักในห้องหนึ่งและให้คนจับตาไว้แล้ว
“ใต้เท้า ซุนกงกงในวังและใต้เท้าเฮ่อเจิ้นฝูสื่อกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินมาขอรับ”
พอได้ยินลูกน้องรายงาน เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนก็รีบก้าวออกไป ประสานมือคำนับเฮ่อชิงเซียวกับซุน เหยียน “ใต้เท้าเฮ่อ ซุนกงกง”
ซุนเหยียนกระแอมไอในลำคอ “ฝ่าบาทมีราชโองการ เรียกตัวใต้เท้าเถียนเข้าวัง”
เฮ่อชิงเซียวกลับถามขึ้นว่า “คุณหนูจูอยู่ไหม ฝ่าบาทรับสั่งให้นางเข้าวังเข้าเฝ้า”
“อยู่ อยู่” เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนนำทั้งสองคนไปห้องที่จัดเตรียมให้นาง
จูเสี่ยวเยวี่ยนั่งซุกอยู่ในมุมหนึ่ง พอเห็นพวกเฮ่อชิงเซียวเข้ามาก็รีบลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
เฮ่อชิงเซียวจ้องมองจูเสี่ยวเยวี่ยทีหนึ่ง
นี่คือคุณหนูจูที่คุณหนูโค่วเอ่ยถึง
“คุณหนูจูหรือ”
จูเสี่ยวเยวี่ยย่อกายคำนับ “เจ้าค่ะ”
แน่ใจสถานะแล้ว ทั้งหมดก็รีบเดินทางเข้าวัง จูเสี่ยวเยวี่ยเป็นชาวบ้าน ผ่านการตรวจสอบเข้มงวดแล้วจึงได้อนุญาตให้ผ่านประตูวังไปได้
ตำหนักเฉียนชิงกง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงนิ่งเงียบ บรรยากาศกำลังเคร่งเครียดสุดขีด จนกระทั่งจูเสี่ยวเยวี่ยถูกนำตัวเข้ามา
“หม่อมฉันจูเสี่ยวเยวี่ย ถวายบังคมฝ่าบาท” จูเสี่ยวเยวี่ยคุกเข่าก้มหน้าแทบติดพื้น
“เงยหน้าขึ้น” เสียงหนึ่งที่ฟังไม่ออกว่ายินดีหรือโมโหดังขึ้นจากเหนือศีรษะ
จูเสี่ยวเยวี่ยสองมือแนบพื้น อิฐสีทองเย็นเยียบสะท้อนให้เห็นใบหน้าซีดขาวของนาง และยังทำให้นางยิ่งหวาดหวั่น
จะไม่หวาดหวั่นได้อย่างไร คนที่นางกำลังพบตรงหน้าก็คือโอรสสวรรรค์!
แต่นางไม่อาจหวาดหวั่นได้ นางต้องทวงคืนความยุติธรรมให้กับบิดาและพี่น้องในหมู่บ้านที่ตายอนาถ!
ศพที่ตายตาไม่หลับแต่ละศพ เสียงร่ำไห้รันทดสิ้นหวัง การถูกขัดขวางมาตลอดทาง…ภาพต่างๆ มากมายเหลือคณานับทำให้สมองจูเสี่ยวเยวี่ยพลันมีแรงใจขึ้น ในที่สุดนางก็ทำใจกล้าหาญเงยหน้าขึ้นได้
นางไม่กล้าจ้องมองพระพักตร์ แม้ว่าเงยหน้า แต่เปลือกตายังคงหลุบลงอย่างรู้ธรรมเนียม
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ทอดพระเนตรใบหน้าสาวน้อยที่คุกเข่าบนพื้นอย่างละเอียด
หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ตรัสว่า “เจ้าก็คือคุณหนูจูที่จะฟ้องร้องชิ่งอ๋องและรองเจ้ากรมคลังฝ่ายซ้ายหรือ”
“เพคะ หม่อมฉันฟ้องร้องชิ่งอ๋องและรองกรมคลังฝ่ายซ้าย” แม้จูเสี่ยวเยวี่ยไม่อาจบังคับเสียงไม่ให้สั่น แต่เอ่ยทุกคำกระจ่างชัด
“เจ้าเล่ามาให้ละเอียด”
“บิดาหม่อมฉันเป็นเซียงเซินตำบลไท่ผิง…” พอเริ่มเอ่ย จูเสี่ยวเยวี่ยก็ลืมความหวาดหวั่นลงได้
หลังแผ่นดินไหว ชาวบ้านในหมู่บ้านขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหาร เอ่ยถึงขุนนางจูไปเร่งขอความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติที่อำเภอ เจ้าหน้าที่รับปากว่าจะรายงานเบื้องบน แต่กลับตายอย่างไร้สาเหตุ…
จูเสี่ยวเยวี่ยแววตาแดงก่ำจ้องมองชิ่งอ๋องเขม็ง “บิดาหม่อมฉันสงสัยว่าผู้แทนพระองค์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติร่วมกับขุนนางท้องที่ทุจริตเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ เสี่ยงตายออกไปขวางรถชิ่งอ๋อง ชิ่งอ๋องรับปากบิดาข้าว่าจะส่งคนไปตรวจสอบ ให้บิดาข้ากลับไปรอที่หมู่บ้านก่อน ผู้ใดจะรู้ว่าสองวันให้หลัง ที่พวกเรารอคอยมาถึงกลับมิใช่สิ่งของช่วยเหลือ แต่เป็นดาบสังหารเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง”
น้ำตาค่อย ๆ รินไหลเป็นทางผ่านมุมปาก จูเสี่ยวเยวี่ยกัดริมฝีปากแน่นจนได้ลิ้มรสคาวโลหิต
ความเจ็บปวดนี้กลับไม่ได้หนึ่งในหมื่นของดวงใจที่ปวดร้าว
“ท่านเป็นองค์ชาย ราชวงศ์ต้าซย่าคือบ้านของท่าน พี่น้องชาวบ้านในตำบลไท่ผิงก็เป็นราษฎรของท่าน เหตุใดท่านจึงได้ทำเช่นนี้ เพราะเหตุใด!” จูเสี่ยวเยวี่ยตะโกนคำถามที่ทำให้นางปวดร้าวอย่างแสนสาหัสออกมา
หลายวันที่ได้อยู่ในเรือนพักคุณหนูโค่ว ความเครียดอัดอั้นทั้งหมดได้รับการปลดปล่อยแล้ว ในที่สุดนางก็มีเวลาครุ่นคิดแล้ว แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดร้าว นางถึงกับคิดว่า หากนางไม่ได้เรียนหนังสือเหมือนกับหญิงสาวในหมู่บ้านพวกนั้นก็คงดี บางทีก็คงไม่คิดเรื่องพวกนี้ หรืออาจเพราะได้เรียนหนังสือมากขึ้น ทำให้นางคิดเข้าใจ
คำถามที่สาวน้อยตะโกนถามน้ำเสียงแหบพร่าดังก้องขึ้นในโถงพระที่นั่ง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คิดเอื้อนเอ่ย แต่พลันพบว่าสมองคล้ายถูกก้อนหินกดทับเอาไว้ ค่อยๆ เอ่ยช้าๆ ว่า “เราจะส่งคนไปตรวจสอบติ้งเป่ย หากที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง จะต้องมีคำตอบให้เจ้าอย่างแน่นอน”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี!” จูเสี่ยวเยวี่ยแนบหน้าผากกับพื้น สะอื้นไห้ปวดร้าวเงียบๆ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กวาดสายพระเนตรมองทุกคน กำลังจะตรัสก็เห็นเฮ่อชิงเซียวก้าวออกมา
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ามา”
เฮ่อชิงเซียวหลุบตาลงเล็กน้อย “สองวันก่อนกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินจับตัวชายหนุ่มน่าสงสัยได้ผู้หนึ่ง หลังจากสอบสวน เขาบอกว่าเขาเป็นบุตรชายของนายทะเบียนอำเภอเป่ยเฉวียน…”