บทที่ 551 เช่นนั้นข้าจะเป็นภรรยาของเจ้า
พวกเผยยวนยังไม่รู้ว่ามีกำลังเสริมกำลังรีบมา ขณะที่หมู่บ้านตระกูลเฉินกลับเต็มไปด้วยเสียงถอนหายใจ
ฝูกงกงที่เคยอารักขาองค์หญิงใหญ่กลับเมืองหลวง ทว่าระหว่างทางองค์หญิงใหญ่กลับหายตัวไป เขาจึงรีบกลับไปที่ถู่เจีย แต่ตอนนี้เขาได้กลับมารับใช้เซี่ยวั่งซูอีกครั้ง และกำลังเดินออกมาจากห้องครัวเล็ก ๆ หลังจากเข้าไปทำอาหารที่ท่านข่านชอบทำมาให้องค์หญิงใหญ่โดยเฉพาะ
วุ้นนมดอกกุ้ยฮวา องค์หญิงใหญ่โปรดปรานรสชาตินี้มากที่สุด
หลายปีมานี้ไม่ว่าใครก็ทำได้ไม่เหมือนที่ท่านข่านทำเท่ากับเขาอีกแล้ว
เนื่องจากองค์หญิงใหญ่กับไท่ซ่างหวงต่างก็ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเฉิน ฝูกงกงที่เพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงยังไม่ทันได้พักหายใจหายคอ ก็ต้องตามองค์หญิงใหญ่มาที่หมู่บ้านตระกูลเฉินด้วย
เดิมเขาคิดจะพูดว่า หมู่บ้านนี้มีอะไรดีกัน แต่เมื่อมาถึงแล้วจึงได้รู้ว่าที่นี่ถือเป็นสุดยอดฮวงจุ้ยเลยก็ว่าได้
หมู่บ้านแห่งนี้ทุกคนสนิทสนมราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน อยู่แล้วสบายใจเป็นอย่างมาก
ส่วนนายอำเภอเจียงตอนนี้ก็กลายเป็นสุนัขระกาเยี่ยมวิมาน*ไปด้วย เพราะฎีกาที่ราชสำนักส่งมา ล้วนเป็นเขาที่ต้องเอามาส่งด้วยตัวเอง โดยมีลาน้อยคอยนำทาง
* สุนัขระกาเยี่ยมวิมาน (鸡犬升天) หมายถึง ลูกน้องที่ติดตามเจ้านายเมื่อเจ้านายมีอำนาจตัวเองก็พลอยมีอำนาจตามไปด้วย
“เฮ้อ~” เซี่ยวั่งซูถอนหายใจออกมา
ฝูกงกงจึงหยิบพู่กันขึ้นมาบันทึกทันที เพราะวันนี้องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจเป็นครั้งที่แปดสิบเจ็ดแล้ว
“ท่านว่าฮวนฮวนกับเผยจื่อของเราจะบุกไปถึงที่ใดแล้ว?”
ไท่ซ่างหวงกำลังอ่านฎีกากับอาฉืออยู่ ซึ่งทั้งสองคนก็กำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ดังนั้นเมื่อได้ยินนางถามจึงเอ่ยขึ้นมา
“พวกเด็ก ๆ ปลอดภัยก็พอแล้ว”
เรื่องอื่นเขาไม่ขออะไรแล้ว
“องค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ! ด้านนอกมีพิราบสื่อสารมาส่งข่าวพ่ะย่ะค่ะ!” อีและเอ้อร์ที่ให้อาหารหมูเสร็จแล้ว พับแขนเสื้อขึ้นขณะวิ่งเข้ามา
ก่อนจะพบว่านกพิราบสื่อสารนั่นถูกขุนจนอวบอ้วน และมีเครื่องประดับทองคำอยู่ที่ขาของมันด้วย
มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นพิราบสื่อสารที่ใช้ในราชสำนักของถู่เจีย
“ต้องเป็นท่านข่านส่งมาเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ” ฝูกงกงยิ้มจนตาหยี
อย่างไรเสียเขาก็เลี้ยงดูถูลี่มาตั้งแต่เล็ก ตอนที่เขาอายุได้สิบกว่าขวบก็ได้เป็นขันทีที่ต้องติดตามองค์หญิงใหญ่ ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมาความรู้สึกที่เขามีต่อถู่เจียจึงลึกซึ้งยิ่งกว่าต้าจิ้นเสียอีก
ไม่มีข่าวของพวกฮวนฮวน แต่มีข่าวจากถูลี่ก็นับว่าดีมากแล้ว
องค์หญิงใหญ่เปิดอ่านจดหมาย ทว่าใบหน้ากลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม “หึ เตรียมกระดาษกับพู่กันให้ข้า!”
“มีอะไรอย่างนั้นหรือ?” ไท่ซ่างหวงถามขึ้น
“พวกเผยจื่อเอาชนะทัพของสือฟางได้แล้ว ถูลี่บอกว่าเขาอยากจะเป็นพันธมิตรกับต้าจิ้นและช่วยยึดเมืองเหล่านั้นในหลงซีคืนมา แต่ในราชสำนักกลับมีคนไม่เห็นด้วย คนที่คัดค้านก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวก่อกวนที่อยู่ข้างกายพี่ใหญ่ของถูลี่ ข้าดูก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนดีอะไร ดังนั้นข้าจึงจะเขียนจดหมายกลับไปตำหนิเขาเดี๋ยวนี้”
คนผู้นั้นอาศัยที่ตัวเองเป็นผู้อาวุโสกว่า วัน ๆ จึงเอาแต่ชี้นิ้วสั่งถูลี่ คงเห็นว่าถูลี่ไม่มีใครที่มีฐานะสูงอยู่ข้างกายกระมัง
จึงคิดจะใช้ความอาวุโสของตัวเองวางอำนาจบาตรใหญ่ แต่จะหลอกผู้ใดกัน
ดังนั้นนางต้องหนุนหลังเผยจื่อ
การที่นางลำบากลำบนไปถึงถู่เจีย คิดว่านางไปที่นั่นเพื่อหาผู้ชายดี ๆ แค่นั้นหรืออย่างไรกัน?
ทั้งสองแคว้นมีความสัมพันธ์ทางการทูตที่ดีต่อกัน หากไม่ช่วยเหลือกันในเวลาเช่นนี้ ต่อไปหากถู่เจียตกอยู่ในอันตราย ต้าจิ้นก็นิ่งดูดายอย่างนั้นหรือ?
พวกสายตาตื้นเขินแต่กล้าชี้แนะเรื่องบ้านเมือง รีบตาย ๆ ไปเสียจะดีกว่า
องค์หญิงใหญ่คิดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นก็เต็มไปด้วยความฮึกเหิม บอกจะทำก็ลงมือทำทันที!
ฝูกงกงรู้นิสัยของเจ้านายตัวเองดี จึงไปเตรียมกระดาษและพู่กันให้นางแล้ว
อาฉือมองดูองค์หญิงใหญ่ที่เข้าห้องไปความโกรธเกรี้ยว ก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าไปให้อาหารไก่ก่อนนะขอรับ คิดว่าคงใกล้จะออกไข่แล้ว”
ไท่ซ่างหวงมองอาฉือ ก่อนจะตบบ่าของเขาเบา ๆ “ไปเถอะ”
อาฉือพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง เขาคิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่จริง ๆ หลังออกมาจากห้องโถงก็มองไปทางห้องของจี้จือฮวนเป็นเวลานาน
ที่ได้อยู่ข้างกายท่านพ่อกับท่านแม่ตลอดเวลา
เสิ่นเยี่ยนชิวในฐานะสหายร่วมศึกษา ก็ตามมาที่หมู่บ้านตระกูลเฉินด้วยเช่นกัน เพิ่งจัดการเส้นไหมกับพวกท่านป้าในหมู่บ้านเสร็จ ก็เห็นเผยจี้ฉือกำลังยืนเช็ดน้ำตาอยู่
นางก้าวเท้าเล็ก ๆ ไปหยุดอยู่ที่ด้านหลังของเขา เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอาฉือก็หันหน้ามาและพบว่าเป็นนาง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าถึงเดินมาเงียบ ๆ เช่นนี้เล่า?”
เสิ่นเยี่ยนชิวก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เขาตาแดง ก่อนจะหยิบผลไม้ในตะกร้าของตัวเองออกมาแล้วเอ่ยว่า “องค์ชายสิบเด็ดมา หวานมาก ลองชิมดูสิ”
อาฉือรับมาหนึ่งผล ทว่าผลไม้นั่นเปรี้ยวมากจนหน้าตาของเขาเหยเกไปหมด แต่การที่ถูกอบรมมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาไม่สามารถคายสิ่งที่อยู่ในปากออกมาต่อหน้าคนอื่นได้ ดังนั้นจึงฝืนกลืนมันลงไป
“เด็กผู้หญิงอย่างพวกเจ้า ชอบกินของเปรี้ยว ๆ แบบนี้กันหรือ?” เขาไม่เข้าใจจริง ๆ เพราะอาอินก็ชอบกินเหมือนกัน
เสิ่นเยี่ยนชิวหยิบขึ้นมาชิมผลหนึ่ง “ข้าคิดว่าเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ อร่อยดี ในเรือนกระจกมีผลไม้สีแดงมากมายด้วยนะ องค์หญิงใหญ่ทรงเรียกมันว่าสตรอว์เบอร์รี ข้าไม่เคยกินเจ้านั่นมาก่อน เป็นของพิเศษของเมืองหลวงหรือ?”
อาฉือส่ายหน้า “เป็นของท่านแม่ข้า…”
เขาเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะดึงเสิ่นเยี่ยนชิวมาที่มุม “ข้าจะบอกความลับเจ้า แต่เจ้าห้ามไปบอกใครนะ”
เสิ่นเยี่ยนชิวไม่เคยเห็นเขามีท่าทางเหมือนเด็กเช่นนี้มาก่อน จึงพยักหน้ารับคำ “เจ้าพูดมาได้เลย”
“นั่นเป็นผลไม้ที่ท่านแม่ข้านำมาจากโลกของนาง ที่อื่นไม่มีให้กิน เจ้ากินแล้วรู้สึกดี ร่างกายก็สดชื่นขึ้นใช่หรือไม่?”
เสิ่นเยี่ยนชิวเห็นเขาพูดจริงจังเช่นนี้ ก็รู้สึกหวาดระแวงขึ้นมา “ข้าแค่รู้สึกว่ามันอร่อยมาก อย่างอื่นไม่ได้รู้สึกอะไรเลยนะ”
“นั่นเป็นเพราะความรู้สึกเจ้ายังไม่ถึง แต่อย่างไรเสียหากเจ้าชอบกิน ต่อไปก็ให้คนเอาไปปลูกในวังด้วยก็ได้”
เสิ่นเยี่ยนชิวงุนงง “ต่อไปหรือ แต่ภายหน้าข้าต้องออกไปจากวังนะ ท่านแม่บอกว่าให้ข้ามาเปิดหูเปิดตาเท่านั้น หากเบื่อแล้วก็ให้กลับบ้าน”
เผยจี้ฉือมองหน้านาง “เช่นนั้นเจ้าอยากอยู่ที่นี่หรือไม่?”
สาวน้อยมีความละเอียดอ่อน จึงมองออกว่าความจริงแล้วเขาอยู่ในวังคนเดียว โดดเดี่ยวมากเพียงใด
นางไม่เคยเจอน้องชายน้องสาวของเขารวมถึงบิดามารดาของเขามาก่อน
แต่รู้ว่าเขาคงคิดถึงพวกเขามาก
เข้าวังมานานเพียงนี้ ก็มีแค่องค์ชายสิบเท่านั้นที่สามารถเล่นกับพวกเขาได้
นักเรียนคนอื่น ๆ ในสำนักศึกษาต่างก็เคารพและเกรงกลัวที่เขาเป็นหวงไท่ซุน จึงไม่มีใครกล้าเสียมารยาท
หากนางไปแล้ว เขาต้องโดดเดี่ยวมากเป็นแน่
เสิ่นเยี่ยนชิวรีบเอ่ยขึ้นมา “เช่นนั้นปีใหม่หรือเทศกาล ข้าจะกลับมาเยี่ยมเจ้าดีหรือไม่ อืม…หรือว่าอยู่ในวังครึ่งปี กลับไปบ้านครึ่งปีดี เพราะข้าเองก็คิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่เหมือนกัน”
หลูโจวอยู่ไกล ไปกลับครั้งหนึ่งต้องใช้เวลาหลายวัน
เผยจี้ฉือเองก็จนปัญญา แต่เห็นนางกังวลจึงเอื้อมมือไปลูบผมนาง “ข้าล้อเจ้าเล่น หากเจ้าไม่อยากอยู่ในวัง แน่นอนว่าสามารถกลับบ้านได้ทุกเมื่อ”
อาฉือเอ่ยจบก็หมุนกายกำลังจะจากไป ในใจเสิ่นเยี่ยนชิวกลับรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา จึงก้าวเท้าตามเขาไป “เช่นนั้นภายหน้าเจ้าจะเลือกผู้หญิงเช่นไรเป็นภรรยาหรือ?”
อาฉือชะงักฝีเท้าลง สงสัยว่าตัวเองอาจฟังผิดไป “ฮะ?”
แต่งงานหรือ? เขายังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
เสิ่นเยี่ยนชิวเองก็ไม่เข้าใจว่าการเป็นฮองเฮาและพระชายาองค์รัชทายาทหมายความว่าอย่างไร แต่นางรู้ว่าเซี่ยฉือเป็นสหายที่ดีของนาง และท่านแม่ก็เคยบอกว่า นอกจากพ่อแม่แล้วมีเพียงสามีและลูกเท่านั้นที่เรียกว่าครอบครัว ต่อให้เป็นสหายแต่สักวันหนึ่งก็ต้องแยกจากกัน
เช่นนั้นหากนางอยากอยู่ข้างกายหวงไท่ซุน นั่นก็เท่ากับว่าต้องเป็นภรรยาของเขาใช่หรือไม่?
อีกทั้งนางก็เคยได้ยินเหล่านางกำนัลแอบพูดคุยกันหลายครั้ง บอกว่าที่องค์หญิงใหญ่รับนางมาก็เพื่อให้ลูกสาวตระกูลเสิ่นเป็นฮองเฮาคนต่อไป
นางจึงคิดว่า เช่นนั้นหากนางไม่สามารถเลือกได้ทั้งท่านพ่อ ท่านแม่ และอาฉือ นางก็ต้องเป็นภรรยาของเขาให้ได้
“เจ้า…” อาฉือถอยหลังไปหนึ่งก้าว ใบหน้าแดงก่ำ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าภรรยาคืออะไร?”
“รู้สิ ก็เหมือนท่านพ่อกับท่านแม่ของข้า สหายที่ดีที่สุดความจริงแล้วก็คือสามีภรรยา เช่นนี้เจ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าต่อไปจะต้องโดดเดี่ยวอีกแล้ว เช่นนี้ข้าก็สามารถอยู่เป็นเพื่อนเจ้าในเมืองหลวงได้แล้ว”