บทที่ 980 ผูกมิตรสหายที่แข็งแกร่ง? เขา หลี่จิ่วเต้าย่อมไม่เห็นพ้อง!
บทที่ 980 ผูกมิตรสหายที่แข็งแกร่ง? เขา หลี่จิ่วเต้าย่อมไม่เห็นพ้อง!
“เดรัจฉาน เจ้ารนหาที่ตายหรือ?!”
หลินสีตวาดเสียงเย็นชา บนร่างปรากฏจิตสังหารแล่นพล่าน
ครุฑปีกทองตัวจ้อยในขอบเขตนิรันดร์ กล้าดีเช่นไรมาขัดคำสั่งเขา ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยโทสะ เตรียมลงมือจัดการครุฑปีกทองทันที
ทว่าในตอนที่เขากำลังจะลงมือ สีหน้าก็พลันตกตะลึงเพราะสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง
มีประกายชีวิตอันเปี่ยมล้นอย่างยิ่งปรากฏขึ้นในประสาทสัมผัสของเขา ขณะเดียวกันก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อย่างลอยมา
กระทั่งเขายังไม่อาจควบคุมตนเองในยามได้กลิ่นนี้ ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดครุฑปีกทองจึงไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขา
เห็นได้ชัดยิ่งว่าครุฑปีกทองถูกกลิ่นหอมนี่ดึงดูด
“ไม่แปลกใจเลย กระทั่งข้ายังไม่อาจต้านทานกลิ่นหอมนี้ได้ ไม่ต้องพูดถึงเดรัจฉานที่รักการกินอย่างเจ้า!”
เขาหัวเราะออกมา ไม่คิดจะสังหารครุฑปีกทองอีกต่อไป
คิดดูแล้วครุฑปีกทองตนนี้ก็ตะกละยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ยังคิดจะกินเขากับสวีจื้อเสียด้วยซ้ำ
“นับว่าเป็นความคิดความชอบของเจ้า ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องพลาดอาหารชั้นยอดแล้ว”
เขาเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่คิดสังหารครุฑปีกทอง
หากไม่ใช่เพราะครุฑปีกทอง เขาคงพลาดอาหารอันแสนโอชะอย่างแน่นอน ครุฑปีกทองนับว่าทำความดีความชอบแล้ว
ครุฑปีกทองไปถึงยังสถานที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาจับจ้องไปทางเนื้อย่างไม่วางตา มุมปากมีน้ำลายจำนวนมากไหลออกมา
หากไม่ใช้เพราะหลินสีใช้พลังยับยั้งครุฑปีกทองเอาไว้ มันคงบินพุ่งตรงไปนานแล้ว
หลังจากนั้นสวีจื้อที่ขี่พญาอินทรีย์ก็ร่อนลงตามมา
มุมปากของพญาอินทรย์ก็มีน้ำลายไหลออกมาเช่นเดียวกัน หากไม่ใช่เพราะถูกสวีจื้อใช้พลังควบคุมเอาไว้ คงไม่อาจทนต่อแรงยั่วยวนของเนื้อย่างได้ พุ่งตรงเข้าไปนานแล้วไม่ต่างกัน
สวีจื้อไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ เขารอสัญญาณจากหลินสี จึงควบคุมพญาอินทรีย์เอาไว้ก่อน
หลินสีเองก็ตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เลยไม่กล้าลงมือโดยผลีผลาม ด้วยเหตุนี้จึงควบคุมครุฑปีกทองเอาไว้ไม่ให้พุ่งตรงเข้าไปทันที
เขาต้องการจะสำรวจสถานการณ์ดูก่อน
อย่างไรเสียเนื้อย่าง เครื่องดื่มผลไม้ และสุราบนโต๊ะก็ล้วนน่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย เขาบังเกิดความกลัวว่าจะประสบปัญหาใหญ่
ผลก็เป็นเช่นนั้นจริง พวกหลี่จิ่วเต้าหาใช่ผู้ที่จะเข้าไปยุ่งได้โดยง่าย เขาไม่อาจสัมผัสถึงสภาพการณ์ใด ๆ ในตัวพวกหลี่จิ่วเต้าได้เลย!
กระทั่งไม่อาจสัมผัสได้ถึงสภาพที่แท้จริงของใครก็ตามในกลุ่มหลี่จิ่วเต้า หรือแม้แต่เด็ก ๆ อย่างพวกอ้ายฉานก็ตาม สิ่งนี้ทำให้เขาจริงจังขึ้นมาทันที
การไม่อาจมองออกถึงสภาพที่แท้จริง มีเพียงสองสาเหตุเท่านั้น
ประการแรกคือพวกหลี่จิ่วเต้าแข็งแกร่งกว่าเขา อีกประการคือพวกหลี่จิ่วเต้ามีสมบัติล้ำค่าอยู่ติดกาย
จากสาเหตุทั้งสองแล้ว เขาค่อนข้างคิดว่าเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า
เขาแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เช่นนั้นยังจะพบผู้แข็งแกร่งมากกว่าเขาโดยง่ายได้อย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนจำนวนมากถึงเพียงนี้!
สัมผัสสภาพที่แท้จริงของใครไม่ได้สักคน หมายความว่าทั้งหมดล้วนแข็งแกร่งกว่าเขาอย่างนั้นหรือ?
ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้!
ดังนั้นเขาจึงเอียงเอนไปทางสาเหตุข้อสองเสียมากกว่า เชื่อว่าบนร่างของพวกหลี่จิ่วเต้ามีสมบัติล้ำค่าอยู่ ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นสภาพที่แท้จริงได้
สภาพแวดล้อมฟ้าดินเปลี่ยนแปลงอย่างมาก สสารระดับสูงหลั่งไหลอย่างต่อเนื่อง ไม่แปลกใจเลยที่จะมีสมบัติน่าอัศจรรย์บางอย่างปรากฏขึ้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว เขาก็พลันโล่งใจขึ้น
หากเป็นเพียงสมบัติล้ำค่า เช่นนั้นยังไม่นับเป็นภัยคุกคามอันใด
บนตัวของเขาเองก็มีสมบัติล้ำค่า!
อีกทั้งขอบเขตของเขาเองยังสูงยิ่ง!
ทำให้ไม่เชื่อว่าขอบเขตความแข็งแกร่งของพวกหลี่จิ่วเต้าจะเหนือกว่าเขา
ตัวเขานั้นก้าวข้ามขอบเขตอิสระแล้ว ขอบเขตการฝึกตนอยู่เหนือขอบเขตอิสระขึ้นไป
แม้สภาพแวดล้อมฟ้าดินจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก สสารระดับสูงหลั่งไหลอย่างต่อเนื่อง สมบัติล้ำค่าเหนือชั้นปรากฏขึ้นมาไม่หยุด ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่สิ่งมีชีวิตขอบเขตการฝึกตนเดียวกับเขาจะปรากฏตัวขึ้นมาโดยง่าย
พึงทราบว่าการที่เขาบรรลุถึงขอบเขตที่สูงล้ำเช่นนี้ได้ ก็เป็นเพราะวาสนาการเปลี่ยนแปลงที่ผู้บุกเบิกท่านนั้นทิ้งเอาไว้
ผู้อื่นที่ไม่ได้รับวาสนาการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ จะสามารถก้าวข้ามขอบเขตอิสระได้อย่างไร ไม่มีทางเป็นไปได้
ส่วนเรื่องว่าพวกหลี่จิ่วเต้าได้รับการกำหนดจากผู้เบิกทางหรือไม่ เขาปัดความคิดนั้นทิ้งทันที
ผู้ถูกกำหนดเหมือนกันจะมีปฏิกิริยาดึงดูดซึ่งกันและกัน
เขาไม่ได้รู้สึกสิ่งใดกับพวกหลี่จิ่วเต้า
เพราะฉะนั้นพวกหลี่จิ่วเต้าไม่ใช่ผู้ถูกกำหนดอย่างแน่นอน
‘เป็นเขา…’
ระหว่างที่หลินสีและสวีจื้อจับจ้องไปทางพวกหลี่จิ่วเต้า หลี่จิ่วเต้าเองก็มองไปทางแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองคนเช่นกัน
เขาจำสวีจื้อได้
สวีจื้อเคยวางแผนการใส่เขา ทั้งยังเคยมาหา ทว่าหลังจากนั้นก็ถูกศรของเขาทำให้ต้องถอยหนี
‘สันดานไม่เปลี่ยนจริง ๆ นี่ยังพยายามจะลงมือกับข้าอีกหรือไม่?’
หลี่จิ่วเต้าคิดภายในใจ
เขานึกว่าลูกศรในครั้งนั้นจะทำให้สวีจื้อยอมแพ้ไป ใครจะคาดคิดว่าสวีจื้อจะกลับมา ทั้งยังไล่ตามเขามายังอีกอาณาจักร
‘ไม่ เขาอาจจะจำข้าไม่ได้’
หลี่จิ่วเต้าคิดอีกครั้ง
พวกเขาทั้งหมดล้วนเปลี่ยนรูปลักษณ์ดั้งเดิม ดังนั้นสวีจื้ออาจจะจำพวกเขาไม่ได้ ครั้งนี้เป็นเพียงแค่การพบหน้าโดยบังเอิญเท่านั้น
เป็นจริงเช่นนั้น หลินสีและสวีจื้อไม่อาจจดจำพวกหลี่จิ่วเต้าได้
“สหาย ได้พานพบนับว่ามีวาสนา ไม่ทราบว่าสามารถแบ่งเนื้อและสุราให้สักเล็กน้อยได้หรือไม่?”
หลินสียิ้มเอ่ยกับพวกหลี่จิ่วเต้า
“ขออภัย เนื้อและสุราของพวกข้ามีอยู่ไม่มาก ดังนั้นจึงไม่สามารถให้ทั้งสองท่านอยู่กินดื่มด้วยกันได้ เกรงว่าต้องเลี้ยงทั้งสองท่านวันอื่นเสียแล้ว”
หลี่จิ่วเต้าปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม
สวีจื้อเคยมีเจตนาร้ายกับเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่ก็ไม่มีทางทำตัวเป็นมิตรอันใดกับสวีจื้อ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะกินดื่มร่วมกันกับสวีจื้อเลย
หากมีหลินสีเพียงลำพังผู้เดียว และไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับสวีจื้อ เขาคงไม่ถือสาที่จะมีคนเพิ่มมาอีกสักคน
ทว่าหลินสีมากับสวีจื้อ และยังเห็นได้ชัดว่ามีความสัมพันธ์ไม่เลว เช่นนั้นเขาจะให้หลินสีอยู่ต่อได้อย่างไร ไม่มีทางเป็นไปได้
“เนื้อไม่มากหรือ? เรื่องนี้สามารถแก้ไขได้ง่ายดายยิ่ง”
หลินสียิ้มอย่างอบอุ่น มองแล้วเจิดจ้ามีเมตตาเป็นพิเศษ
ผู้ใดก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะลงมือสังหารครุฑปีกทองในคราเดียว!
“ครุฑปีกทองย่างแล้วน่าจะอร่อยยิ่ง ตัวก็ใหญ่เท่านี้ เพียงพอให้เรากินแล้ว”
หลินสีลงมือโจมตีสังหารครุฑปีกทองด้วยมือข้างเดียวอย่างไม่แยแส ขณะที่บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่
สำหรับเขา ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ได้ขี่ครุฑปีกทองเลือนหายไปแล้ว ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเก็บเอาไว้อีก สังหารทิ้งไปก็ไม่เป็นอันใด
“ยังมีพญาอินทรีย์อีกตัว เช่นนั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
ด้านหลังเขา สวีจื้อก็ลงมือทำตาม ลงมือสังหารพญาอินทรีย์
เขาไม่ได้ใส่ใจพญาอินทรีย์เสียยิ่งกว่าหลินสีด้วยซ้ำ
หากก่อนหน้านี้หลินสีไม่ได้บอกให้เขาหาพาหนะสักตัว ไฉนเขาจะให้พญาอินทรีย์มาเป็นสัตว์ขี่ได้
ความแข็งแกร่งของพญาอินทรีย์ต่ำเกินไป มันไม่คู่ควรจะเป็นสัตว์ขี่ของเขา
หลี่จิ่วเต้าขมวดคิ้วเล็กน้อย หลินสีดูแล้วอ่อนโยนมีเมตตาถึงเพียงนี้ แต่ภายในใจกลับไร้ความปรานี กระทั่งสัตว์ขี่ของตนนึกสังหารยังสังหารได้ในทันที อีกทั้งยามลงมือยังมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
ความประทับใจที่เขามีต่อหลินสีลดฮวบในบัดดล
อย่างไรเสียคนต่างเส้นทาง ย่อมไม่อาจร่วมทางกันได้ หลินสีและสวีจื้อก็เป็นเช่นนั้น ล้วนไม่ใช่คนดีแต่อย่างใด
“ครุฑกับอินทรีย์ ข้าไม่ชอบกิน”
หลี่จิ่วเต้ากล่าว “หากท่านทั้งสองต้องการจะกิน เช่นนั้นก็ย่างแล้วกินกันเองเถิด”
“เพียงแค่กินเนื้อหนึ่งคำ สุราหนึ่งอึก เพิ่มสหายแข็งแกร่งหนึ่งคน นี่มันไม่ดีหรือ?”
หลินสีเหลือบมองหลี่จิ่วเต้าด้วยแววตาล้ำลึก “สหายต้องการปฏิเสธคนให้ออกห่างไปหลายพันลี้หรือ?”
เขาพูดต่อ “ดังคำกล่าวว่ามากสหายย่อมมากลู่ทาง เจ้ากับข้าเป็นสหายกันไม่มีสิ่งใดเสียหาย!”
“ผูกมิตรสหายที่แข็งแกร่ง?”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ยอย่างไม่แยแส “ช่างมันเสียเถิด ข้าไม่ชื่นชอบการผูกมิตร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการผูกมิตรสหายที่แข็งแกร่งอันใดนั่น”
คิดบีบให้เขาลำบากหรือ?
เหอะ เหอะ เขา หลี่จิ่วเต้าย่อมไม่เห็นพ้อง!