คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 696 โหงวเฮ้ง ‘เจ้าต้องไว้อาลัยให้แก่ญาติผู้ใหญ่’

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 696 โหงวเฮ้ง ‘เจ้าต้องไว้อาลัยให้แก่ญาติผู้ใหญ่’

ซ่งอวี่เยียนมึนงงเล็กน้อย ฉินหลิวซีจะดูโหงวเฮ้งเรื่องการแต่งงานให้กับนางหรือ

ใบหน้าเล็กๆ ของนางแดงระเรื่อ ไม่แม้แต่จะกล้ามองผู้ใหญ่หลายคนที่อยู่ตรงหน้า

ฉินหลิวซีเพียงแค่เหลือบมองก็เอ่ย “ไม่ต้องดูแล้ว ดาวหงหลวน[1]ยังไม่เคลื่อนย้าย เนื้อคู่ของนางยังมาไม่ถึง”

“นี่ยังไม่ได้เริ่มเลย เจ้าก็ดูออกแล้วหรือ” สะใภ้เซี่ยขมวดคิ้ว น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ย “เจ้าดูแม่นจริงๆ หรือเพียงแค่เอ่ยเหลวไหล”

ฉินหลิวซีสบถอย่างเย็นชา “ก็เพียงดูตำแหน่งดาวหงหลวนเท่านั้น จะให้ดูอย่างไร หากเนื้อคู่ของนางมาถึง ดาวหงหลวนย่อมเคลื่อนไหว แต่ตอนนี้กลับสงบนิ่งดั่งสายน้ำ…”

ขณะที่นางเอ่ยก็หรี่ตาลง ก่อนจะรู้สึกตกใจเล็กน้อย

“มีอะไรหรือ” ซ่งอวี่เยียนถูกนางมองจนรู้สึกหวั่นใจ

ฉินหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง เข้าไปดึงมือนางมาแล้ววางสองนิ้วลงไป อีกมือหนึ่งร่ายคาถา ปากท่องวิชาจับชีพจรไท่ซู่ หลังจากตรวจสอบก็ถอนหายใจเบาๆ

ชีพจรของปอดสั้นและไม่สม่ำเสมอ ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน การทำนายระยะยาวบ่งชี้ว่าขณะนี้บิดามารดายังมีชีวิตอยู่ทั้งคู่ แต่ชีพจรของซ่งอวี่เยียนกลับหยุดเป็นครั้งคราว วิ่งพล่านไม่แน่นอน จะสูญเสียบิดาหรือมารดาตอนอายุยังน้อย

เมื่อมองไปที่ตำแหน่งหยางซึ่งเป็นตำแหน่งของบิดา เป็นสิวกะทันหัน สีดำคล้ำ พลังงานชีวิตหายไป

บิดาผู้ต่ำช้าของซ่งอวี่เยียนผู้นั้นจากไปแล้ว

แม้ว่าฉินหลิวซีจะไม่มีความรู้สึกต่อผู้ที่เรียกว่าท่านอาเขยซึ่งไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่นั่นก็เป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของซ่งอวี่เยียน เกรงว่านางคงจะเสียใจ

เมื่อซ่งอวี่เยียนเห็นว่าฉินหลิวซีไม่ตอบ แต่สีหน้ากลับยากที่จะคาดเดาได้ เหมือนเห็นอกเห็นใจและมีความสงสาร ซ้ำยังจับชีพจร ในใจก็หวาดหวั่น เผยให้เห็นรอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้ ฝืนเอ่ยว่า “พี่หญิงหลิวซี มีอะไรก็พูดออกมาได้เลยเถิด หรือว่าร่างกายของข้ามีอะไรผิดปกติ”

ฉินเหมยเหนียงก็ถูกบรรยากาศเช่นนี้ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ก้าวไปข้างหน้าพลางถามด้วยความกังวล “ซีเอ๋อร์ เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”

ฉินหลิวซี “ข้าทำนายให้เจ้าไปแล้ว ดาวหงหลวนของเจ้ายังไม่เคลื่อนย้าย จะได้แต่งงานช้า การแต่งงานไม่ค่อยราบรื่น คู่ครองที่ดีต้องรอหลังอายุสิบแปดปีจึงจะได้พบ”

ทุกคนตกตะลึง

“นานขนาดนั้นเชียวหรือ” สะใภ้กู้ตกใจ

สะใภ้หวังขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มพลางเอ่ย “แต่ก็ไม่ได้ช้าเท่าใด จะได้ค่อยๆ ดูไปอีกสองสามปี การแต่งงานช้า ร่างกายของสตรีก็จะแข็งแรงมากขึ้น เมื่อถึงเวลาตั้งครรภ์คลอดบุตรก็จะยิ่งราบรื่น อีกอย่างข้าเห็นว่าสตรีจากตระกูลชาวนาจำนวนมากก็มีไม่น้อยที่หมั้นหมายหลังจากอายุสิบหกปี”

ซ่งอวี่เยียนหน้าแดงอีกครั้ง

ฉินหลิวซีเอ่ย “สาเหตุหลักที่นางแต่งงานช้าไม่ใช่เพราะสิ่งอื่นใด แต่เป็นเพราะ…ต้องไว้ทุกข์แก่ญาติผู้ใหญ่”

หัวใจของทุกคนเต้นเร็ว

“ซีเอ๋อร์?” สะใภ้หวังอุทานด้วยความตกใจ

สีหน้าของนางฉินผู้เฒ่ามืดมนเล็กน้อย บีบที่วางแขนเก้าอี้ กำลังพูดถึงนางหรือ

ฉินเหมยเหนียงก็ใจเต้นแรงเช่นกัน ไว้ทุกข์ ไว้ทุกข์ให้กับใคร

ซ่งอวี่เยียนหน้าซีดเผือด มองฉินหลิวซีด้วยความตกใจ “ที่หญิง ท่านหมายความว่าอย่างไร”

“ท่านพ่อของเจ้าเสียแล้ว จากไปเนื่องจากจมน้ำตาย” ฉินหลิวซีน้ำเสียงสงบนิ่ง “เจ้าต้องไว้ทุกข์เป็นเวลาสามปี เมื่ออายุสิบเก้าปีเจ้าจะได้แต่งงานกับบัณฑิตฐานะยากจน อายุยี่สิบเอ็ดปีให้กำเนิดบุตรสาว อายุยี่สิบสองปีให้กำเนิดบุตรชาย”

ซ่งอวี่เยียนไม่ได้ยินสิ่งที่นางเอ่ยต่อจากนี้ ได้ยินเพียงคำพูดก่อนหน้า หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าท่านพ่อของนางเสียชีวิตจากการจมน้ำ

ตุบ

“เหมยเหนียง” สะใภ้หวังรีบพยุงฉินเหมยเหนียงที่ล้มลงบนพื้น ร้องอุทานด้วยความตกใจ

ซ่งอวี่เยียนก็โซเซจะล้มเช่นกัน เมื่อเห็นท่านแม่ล้มลง นางก็ขาอ่อนแรง ทันทีที่เซก็ถูกฉินหลิวซีดึงไว้ กดลงบนเก้าอี้

นางฉินผู้เฒ่าเวียนหัว ก็ไม่รู้ว่านางโล่งใจที่รอดจากการถูกทำนายว่าจะตาย หรือว่าตกใจที่ฉินหลิวซีบอกว่าบิดาของซ่งอวี่เยียนเสียแล้ว สีหน้าซีดเล็กน้อย รับชามาจากแม่นมติงแล้วกระดกดื่มรวดเดียว

สะใภ้กู้กับสะใภ้หวังช่วยกันพยุงฉินเหมยเหนียงมานั่งลงบนเก้าอี้ หลังจากที่สะใภ้เซี่ยได้สติกลับมาก็เอ่ยเสียงแหลม “ซีเอ๋อร์ เจ้ากล่าวแรงเกินไปแล้ว หมายความว่าอย่างไรที่ว่าคนผู้นั้นเสียแล้ว”

ฉินหลิวซีกดจุดเหนือกลางริมฝีปากของฉินเหมยเหนียง อีกฝ่ายฟื้นขึ้นมา บีบแขนของนางไว้ ริมฝีปากขยับ ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม

“เจ้าล้อเล่นหรือว่าอย่างไร”

ฉินหลิวซีส่ายหน้าพลางเอ่ย “ข้าไม่เคยเอาความเป็นความตายมาล้อเล่น”

ฉินเหมยเหนียงมืออ่อนแรง ปล่อยมือลง น้ำตาไหลออกมาราวกับเขื่อนแตกไม่ยอมหยุด

“พี่หญิงหลิวซี เป็นไปได้อย่างไร ท่านพ่อข้าเสียแล้วได้อย่างไร ท่านดูผิดไปหรือไม่” ใบหน้าของซ่งอวี่เยียนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

“ข้าเห็นว่าตำแหน่งที่เป็นตัวแทนของบิดาเจ้าในตำแหน่งของบิดามารดานั้นมืดมน ดังนั้นจึงได้ใช้วิชาชีพจรไท่ซู่ช่วยทำนายให้เจ้า ย่อมสามารถเห็นชะตากรรมของเจ้าได้” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อไป “เจ้าจะไม่เชื่อก็ได้ แต่ถึงแม้ว่าเจ้ากับอวี่ชิงจะถูกไล่ออกมาจากจวนซ่ง แต่ก็ยังคงเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของเขา และเป็นบุตรสาวภรรยาเอก ตระกูลซ่งคงจะมาแจ้งข่าวงานพิธีศพ”

ซ่งอวี่เยียนร่วงจากเก้าอี้ลงบนพื้น อ่อนแรงไปทั้งตัว สีหน้าซีดเผือด

ฉินเหมยเหนียงร้องไห้เสียงดัง

ซ่งลี่หยางเป็นคนไม่ดี หลังจากที่ตระกูลเดิมนางล้มลง ก็ไล่พวกนางสามคนแม่ลูกออกจากตระกูลซ่งอย่างไม่ลังเล ตอนนั้นนางเกลียดชังเขา รู้สึกว่าเขาไร้ความปรานี ไม่เพียงแต่ปลดนาง ซ้ำยังไม่ต้องการบุตรสาวทั้งสอง

แต่ไม่ว่าเขาจะโหดเหี้ยมแค่ไหน เขาก็เป็นบิดาของบุตรสาวทั้งสอง ตอนนี้เขาเสียชีวิตแล้ว บุตรสาวทั้งสองก็ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรกำพร้าพ่อ ยิ่งยากที่จะพูดคุยเรื่องการหมั้นหมายแล้ว

และอีกอย่าง จะตายก็ไม่ตายให้เร็วกว่านี้ ดันมาเสียช่วงที่บุตรสาวใกล้จะปักปิ่นแล้ว แล้วพิธีปักปิ่นของบุตรสาวจะทำอย่างไร

ยิ่งฉินเหมยเหนียงคิดเรื่องนี้เท่าใดก็ยิ่งปวดใจ ในใจด่าซ่งลี่หยางว่าตายไม่รู้จักเลือกเวลา คนสารเลว

“จะร้องไห้ทำไมกัน คนทรยศไร้ความปรานีอย่างเขาเช่นนั้นมีอะไรคุ้มค่าให้เจ้าร้องไห้” นางฉินผู้เฒ่าปวดหัวตุบๆ เอ่ยด้วยเสียงทุ้มว่า “เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันก็รีบร้องไห้แล้ว แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ไม่จำเป็นให้เจ้าต้องเป็นม่ายเพราะเขา ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงบุตรสาวของตระกูลฉิน”

ฉินเหมยเหนียงสูดหายใจ “ท่านแม่ข้าแค่ปวดใจกับอวี่เยียนและน้องสาวของนาง นางจะปักปิ่นในเดือนหน้าแล้ว แต่กลับ…”

นางฉินผู้เฒ่ามองซ่งอวี่เยียนที่กำลังเหม่อลอย เอ่ยว่า “หากเป็นอย่างที่นางหนูซีกล่าวมาจริงๆ ถึงเวลาค่อยว่ากัน”

ใครจะไปรู้ว่าการทำนายโหงวเฮ้งนี้จะทำนายข่าวร้ายเช่นนี้ออกมา

สะใภ้เซี่ยถามว่า “นางหนูซี เจ้าไม่ได้ถามแม้กระทั่งแปดอักษรเวลาตกฟาก เพียงแค่ดูโหงวเฮ้ง จับชีพจร ทำนายแม่นได้จริงๆ หรือ เจ้าว่า…”

“การทำนายไม่ควรทำนายให้กับตัวเอง ยิ่งเป็นคนที่ใกล้ชิดมากเท่าใดก็ยิ่งยากที่จะทำนายชะตากรรมได้ ข้าจะไม่ทำนายชะตาชีวิตให้กับพวกท่าน” ฉินหลิวซีขัดคำพูดของนางโดยไม่แม้แต่จะคิด “อีกอย่าง หากทำนายโหงวเฮ้งออกมาเป็นเรื่องดีก็แล้วไป หากไม่ดี อย่างเช่นตอนนี้ มีอะไรน่าทำนายกัน”

สะใภ้เซี่ยมองไปยังฉินเหมยเหนียงสองแม่ลูก เงียบปาก ไม่ทำนายดีกว่าทำนายจริงๆ

ฉินหลิวซีเอ่ยเสริมว่า “งานเลี้ยงของตระกูลติงไม่จำเป็นต้องไป ไปแล้วก็มีแต่จะถูกคนเย้ยหยัน ซ้ำยังเป็นการเห็นแก่หน้าเขา คนอื่นไม่มียางอาย แต่พวกเรามี”

สถานการณ์ในตอนนี้ ใครยังจะมีใจไปงานเลี้ยงฉลองกันล่ะ

มีเพียงสะใภ้เซี่ยเท่านั้นที่รู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไร เกรงว่าจะทำให้นางฉินผู้เฒ่าไม่พอใจอีก

ฉินหลิวซีมองฉินเหมยเหนียงพลางเอ่ย “ท่านอาหญิงใหญ่ก็อย่าร้องไห้ไปเลย บิดาของอวี่เยียนจากไปอย่างกะทันหัน คนตระกูลซ่งอาจจะให้พวกนางกลับไปร่วมพิธีศพที่ตระกูลซ่งอีกครั้ง จากนั้นก็จะไม่มีทางปล่อยกลับมา ท่านควรคิดว่าจะทำอย่างไรดี”

ฉินเหมยเหนียงตกใจ

[1] ดาวหงหลวน ส่งผลในเรื่องของคู่ครอง

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท