ตอนที่ 1,089 เดี๋ยวข้าขอโทษแทนให้เอง
ตลอดช่วงเวลาสามวันต่อมา เมืองไป๋หยุนเกิดความเปลี่ยนแปลงไม่ขาดสาย
การสังหารคนของหลินเป่ยเฉินสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวง
บรรดาสำนักยุทธ์คนนอกที่เคยเข้ามาอาละวาดอยู่ในตัวเมือง บัดนี้หากพวกเขาไม่หลบหนีไป… หรือไม่มีเวลามากพอที่จะหลบหนี ทุกสำนักก็จะถูกจัดการโดยเฉียนเหมยกับเซียวปิงพร้อมด้วยลูกศิษย์จากสำนักกระบี่อมตะ
ส่วนสำนักกระบี่ชื่อดังในตัวเมืองก็มีความจริงใจต่อกันมากขึ้น
บรรดาลูกศิษย์เมืองไป๋หยุนที่ถูกผู้อื่นข่มเหงรังแก ต่างก็พร้อมใจกันมาร้องทุกข์ที่สำนักกระบี่อมตะตลอดเวลา
นอกจากนี้ ยังมีผู้คนที่อยากเห็นหน้าหลินเป่ยเฉินเพียงเพื่อหวังที่จะได้มีที่พักพิงคุ้มครองชีวิต
ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน ติงซานฉือก็ขึ้นรับตำแหน่งเจ้าสำนักคนใหม่และทำการรับลูกศิษย์กลุ่มใหม่กว่าหลายร้อยชีวิต
แม้แต่ลูกศิษย์จากสำนักกระบี่อื่น ๆ ในเมืองไป๋หยุน ก็ยังอยากเข้าร่วมสำนักกระบี่อมตะเช่นกัน
ขวัญกำลังใจของชาวเมืองถูกกอบกู้กลับคืนมาแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ชื่อเสียงของเฉียนเหมยกับเซียวปิงจึงโด่งดังไปทั่วเมือง
แน่นอนว่าภายใต้การรับคำสั่งจากหลินเป่ยเฉิน เฉียนเหมยกับเซียวปิงจึงถูกกำชับให้ใช้กระบี่และปืนยาวในการต่อสู้ เนื่องจากการประลองที่กำลังจะมาถึง คณะกรรมการไม่อนุญาตให้ใช้กำปั้นหรืออาศัยเรี่ยวแรงพลังกายในการคว้าชัยชนะ เพราะฉะนั้นเฉียนเหมยกับเซียวปิงจึงต้องทำความคุ้นเคยกับการหยิบจับอาวุธเสียบ้าง
และก่อนที่การประลองจะเริ่มต้นขึ้น หลินเป่ยเฉินก็ไม่ลืมพาคนของตนเองมาพบกับเหยียนหรู่อี้
หลังจากที่เหยียนหรู่อี้ได้ทดสอบความแข็งแกร่งของเฉียนเหมย เฉียนเจินและเซียวปิง นางก็ถึงกับตกตะลึงไปไม่น้อย และยอมรับให้เด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งสามเข้าร่วมกลุ่มประลองโดยไม่มีสิ่งใดข้องใจ
ดังนั้น ตำแหน่งตัวแทนจากสำนักคฤหาสน์กำยานบัดนี้จึงครบแล้ว
และตัวแทนของพวกเขาก็ประกอบไปด้วย
เหยียนหรู่อี้ หลินเป่ยเฉิน เฉียนเหมย เฉียนเจินและเซียวปิง
นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่คอยทำหน้าที่ให้กำลังใจอย่างใกล้ชิดอีกสองคนคือหูเหม่ยเอ๋อร์กับซวีหวัน
เหยียนหรู่อี้เป็นผู้รับผิดชอบการลงทะเบียนเข้าร่วมการประลองอย่างเป็นทางการ
ในเวลาเดียวกันนี้ สำนักอื่น ๆ ก็ก่อร่างสร้างกลุ่มขึ้นมาแล้วเช่นกัน
ในส่วนของอาจารย์ติงซานฉือ กลุ่มของเขาประกอบไปด้วยท่านเจ้าเมืองฉู่อวิ๋นซุน ฮูหยินของท่านเจ้าเมืองลู่กวนไห่ เจ้าสำนักกระบี่เมฆาพลิ้วเสี่ยวหราน และผู้อาวุโสจากต่างเมืองที่ว่าจ้างมาอีกหนึ่งคน
ทางด้านสำนักอื่น ๆ ก็มีตัวแทนครบถ้วนแล้วเช่นกัน
ดังนั้น ช่วงเวลาสามวันจึงผ่านไปรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง
…
สามวันต่อมา
ท้องฟ้าแจ่มใส สายลมโชยพัดมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้
ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 ในอากาศคือ 17
“นายท่านเจ้าคะ นายท่าน ลุกขึ้นได้แล้ว งานประลองกำลังจะเริ่มแล้วเจ้าค่ะ…”
หลินเป่ยเฉินผู้กำลังนอนหลับอย่างสบายอารมณ์สะดุ้งตื่นด้วยเสียงตะโกนของเฉียนเหมยที่วิ่งเข้ามาในห้องนอน
เฉียนเจินเตรียมน้ำอุ่นและผ้าเช็ดตัวรอคอยให้เขาล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ก่อนแล้ว
เด็กหนุ่มเดินออกมาจากห้องนอนไม่นานหลังจากนั้น
แต่เมื่อเดินออกมาถึงลานหน้าสำนักกระบี่อมตะ หลินเป่ยเฉินกลับไม่เห็นผู้คนอยู่เลยสักคนเดียว
“ผู้คนหายไปไหนกันหมด?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
หลายวันที่ผ่านมา สำนักกระบี่อมตะมีผู้คนเดินกันวุ่นวายไม่ต่างจากตลาดสด ทว่าวันนี้กลับรกร้างปราศจากผู้คนแล้ว
“ทุกคนไปรวมตัวกันอยู่ที่ยอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิงนานแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นหน้าประตูใหญ่
หูเหม่ยเอ๋อร์ศิษย์น้องเล็กของสำนักคฤหาสน์กำยานก้าวเท้าเข้ามาด้วยความร้อนรน “พี่เป่ยเฉิน คำพูดของท่าน ข้าเชื่อใจไม่ได้อีกแล้ว”
“หา?”
หลินเป่ยเฉินบ้วนน้ำล้างปากออกมาและถามว่า “ทำไมถึงเชื่อใจไม่ได้?”
“อาจารย์ของข้าให้ท่านรับประทานหญ้าของนางแล้ว เหตุไฉนท่านถึงยังไม่ยอมร่วมมืออีก”
เด็กสาวแกล้งทำท่างอนแก้มป่อง
“ว่าไงนะ?”
หลินเป่ยเฉินไม่เข้าใจโดยแท้จริง
อาจารย์ของนาง… กับเขา?
ไปมีเรื่องพรรณ์นั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
นี่หูเหม่ยเอ๋อร์เห็นเขาเป็นคนอย่างไร?
เด็กสาวกล่าวต่อ “หลายวันที่ผ่านมา อาจารย์ของข้าวิ่งวุ่นไม่เคยได้หยุดพัก ในขณะที่ท่านไม่ยอมทำอะไรเลย วันนี้ก็ถึงกำหนดการประลองกระบี่แล้ว ทุกคนไปรวมตัวกันอยู่ที่ยอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิง แต่ท่านกลับมานอนหลับอุตุอยู่ที่นี่”
อ้อ เรื่องนี้นี่เองสินะ…
หลินเป่ยเฉินหน้าแดงขึ้นมาด้วยความอับอายเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “พอดีเมื่อคืนข้าเหนื่อยเกินไปน่ะ”
ทันใดนั้น หูเหม่ยเอ๋อร์ก็หันไปมองหน้าเฉียนเหมยกับเฉียนเจินอย่างพินิจพิเคราะห์
แต่เมื่อเห็นว่าสาวรับใช้ทั้งสองนางไม่ได้มีลักษณะอ่อนเพลียแต่อย่างใด หูเหม่ยเอ๋อร์จึงไม่ได้สนใจอะไรอีก
หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบาย จึงกล่าวว่า “นี่ก็ยังไม่สายเกินไป เจ้ารีบพาข้าไปหาพี่เหยียนเถอะ”
หูเหม่ยเอ๋อร์กล่าวว่า “อาจารย์กับศิษย์พี่ล่วงหน้าไปรออยู่ที่งานประลองกระบี่แล้ว พวกนางสั่งว่าเมื่อข้าพบตัวพี่เป่ยเฉิน ให้พาท่านไปที่ยอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิงได้ทันที”
“ถ้าอย่างนั้นยังจะรออะไรอยู่อีก?”
หลินเป่ยเฉินรีบโบกมือ “พวกเราไปกันเถอะ”
…
ยอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิง
นี่คือภูเขาที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก มีระยะทางห่างจากยอดเขาไป๋หยุนสามร้อยลี้
ภูเขาลูกนี้แทงยอดสูงเสียดฟ้า 1,500 จั้ง โดดเด่นเป็นสง่าท่ามกลางภูเขาสูงเสียดฟ้าที่อยู่รายล้อมด้วยกัน
และบนยอดเขาแห่งนี้ ไม่ทราบว่ามือกระบี่ผู้ใดเป็นคนตัดยอดของมันเอาไว้ จึงทำให้พื้นที่บนยอดสูงสุดมีลักษณะราบเรียบเกิดเป็นลานประลองขนาดใหญ่ขึ้นมาแห่งหนึ่ง
ก้อนศิลาน้อยใหญ่จำนวนมากถูกวางไว้ตามจุดต่าง ๆ เพื่อสร้างเป็นค่ายอาคมรอบเขตภูเขา
ณ ลานโล่งบนยอดเขานั้น ปรากฏโต๊ะและเก้าอี้จัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ที่นั่งเหล่านี้ถูกจัดตั้งอยู่ใกล้กับสังเวียนประลอง
และที่เส้นรอบนอกของลานโล่ง ปรากฏมือกระบี่และผู้คนจากสำนักยุทธ์จำนวนมากมารับชมการประลองในครั้งนี้
การประลองเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเซียนกระบี่แห่งเมืองไป๋หยุนในครั้งนี้รวบรวมยอดฝีมือที่แท้จริงมาจากทั่วแว่นแคว้นแห่งดินแดนตงเต้า ดังนั้นผู้ที่มารับชมการประลองจึงไม่ได้มีเพียงมือกระบี่จากจักรวรรดิเป่ยไห่เท่านั้น แต่พวกเขายังมาจากจักรวรรดิต่าง ๆ คนละชาติ คนละภาษา คนละสีผิว และคนละเผ่าพันธุ์ การประลองในครั้งนี้ คาดว่ามีผู้มาร่วมรับชมไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นคนเลยทีเดียว
เมื่อพวกของหลินเป่ยเฉินมาถึง พิธีการเปิดงานก็จบสิ้นลงแล้ว
แม้แต่พิธีจับสลากก็จบลงแล้วเช่นกัน
ตัวแทนจากสำนักต่าง ๆ เดินกลับไปนั่งประจำที่ของตนเอง
อุปกรณ์สำหรับดำเนินพิธีการเปิดงานก็ถูกจัดเก็บเป็นที่เรียบร้อย
หลินเป่ยเฉินเห็นเหยียนหรู่อี้กับซวีหวันยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มแถวที่นั่งห่างไกลออกไป
แต่ที่เขาคิดไม่ถึงเลยก็คืออาจารย์และลูกศิษย์โฉมงามกำลังมีเรื่องโต้แย้งอยู่กับกลุ่มมือกระบี่ในชุดสีม่วงอย่างรุนแรง คล้ายกับว่าทั้งสองฝ่ายมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งอะไรกันบางอย่าง
“เกิดอะไรขึ้น?”
หูเหม่ยเอ๋อร์มีสีหน้าร้อนรนขึ้นมาทันที “อย่าบอกนะว่ามีคนคิดรังแกอาจารย์กับศิษย์พี่ของข้า”
“พวกเราไปดูกันเถอะ”
หลินเป่ยเฉินเองก็แปลกใจไม่แพ้กัน เป็นไปได้อย่างไรที่มือกระบี่ผู้เยือกเย็นอย่างเหยียนหรู่อี้จะมีเรื่องบาดหมางสร้างความวุ่นวายในสถานการณ์เช่นนี้
วูบ! วูบ! วูบ!
พวกของหลินเป่ยเฉินใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนกายเข้าไปใกล้
“พี่เหยียน เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างกายเหยียนหรู่อี้
เหยียนหรู่อี้หันมามองหน้าเขาไม่ตอบอะไร แต่นางกลับพูดภาษาที่หลินเป่ยเฉินไม่เข้าใจ และเจรจาต่อรองอะไรบางอย่างกับกลุ่มมือกระบี่ต่างสายพันธุ์ที่ตนเองกำลังเผชิญหน้า…
“พี่หลิน…”
เมื่อเห็นพวกของหลินเป่ยเฉินมาถึง ซวีหวันก็มีดวงตาเป็นประกายลุกวาวขึ้นมาทันที นางรีบกวักมือเรียกพวกเขาให้เดินเข้าไปหา
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อเห็นอาจารย์เหยียนหรู่อี้ไม่สนใจตนเองแม้แต่น้อย หลินเป่ยเฉินจึงหันมาสอบถามกับซวีหวันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“พวกมันมาจากเผ่ามนุษย์ปักษาขนแดง พวกมันมาหาเรื่องเรา…”
ซวีหวันพูดอย่างโกรธแค้น
ปรากฏว่านี่คือเรื่องของการลวนลามสตรี
ระหว่างพิธีเปิดงานประลองเมื่อสักครู่ คนจากเผ่ามนุษย์ปักษาขนแดงจ้องมองซวีหวันและอาจารย์ของนางด้วยแววตาลวนลาม บางครั้งพวกมันถึงกับพูดวาจาหยาบโลนออกมาอีกด้วย ตอนนั้นเหยียนหรู่อี้ก็เริ่มหงุดหงิดอยู่แล้ว ภายหลัง เมื่อถึงคราวที่เหยียนหรู่อี้และลูกศิษย์ต้องเดินขึ้นไปจับสลากบนเวที เหล่าตัวแทนจากเผ่ามนุษย์ปักษาก็เจตนาเดินเข้ามาห้อมล้อม นอกจากพูดจาเกี้ยวพาราสีแล้ว มือไม้ของพวกมันยังเปะปะไปทั่ว…
ซวีหวันมีลักษณะอ่อนนอกแข็งใน
นางจึงทนไม่ได้
หญิงสาวชักกระบี่ออกมาแทงมนุษย์ปักษาไปหนึ่งแผล
จึงเป็นเหตุแห่งการโต้เถียงในขณะนี้
หลังรับฟังเรื่องเล่าผ่านเสียงกระซิบของซวีหวันจบลง หลินเป่ยเฉินก็เลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ
“พวกมันเป็นใคร ทำไมถึงกล้าก่อเรื่องกลางงานใหญ่ขนาดนี้?”
เขาถามด้วยความสงสัย
ซวีหวันกระซิบตอบด้วยความขื่นขม “พวกมันไม่ได้เป็นใครมาจากไหนหรอกเจ้าค่ะ แต่ในโลกแห่งนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงควรค่าที่จะได้รับความเคารพ โดยเฉพาะในงานประลองกระบี่ครั้งนี้ มีมือกระบี่ระดับสูงมารวมตัวกันอยู่จำนวนมาก ทุกคนสามารถแสดงความแข็งแกร่งของตนเองออกมาได้โดยไม่มีข้อห้าม หากเกิดปัญหาอันใดขึ้น พวกเราก็ต้องหาทางแก้ปัญหากันเอาเอง ตราบใดที่ไม่เป็นการรบกวนงานประลอง ทางคณะกรรมการก็จะไม่ยื่นมือเข้ามาแทรกแซงเด็ดขาด…”
หลินเป่ยเฉินถามว่า “เผ่ามนุษย์ปักษามีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับใด?”
ซวีหวันตอบ “พวกมันอยู่ลำดับที่ 16 ในจำนวนสำนักยุทธ์ของแผ่นดินตงเต้า หากเป็นในอดีต สำนักคฤหาสน์กำยานของพวกเราไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัว แต่สถานการณ์ในตอนนี้ต่างออกไป… พวกมันจึงกล้าเข้ามาก่อกวนแล้ว”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างเข้าใจอะไรบางอย่าง
เขาจ้องมองไปยังกลุ่มผู้ก่อกวน
เผ่ามนุษย์ปักษาขนแดงมีร่างกายคล้ายกับมนุษย์ แต่ก็มีบางอย่างที่แตกต่างไปจากมนุษย์อย่างสิ้นเชิง อาทิ พวกมันมีหัวเป็นนกอินทรี สองแขนอุดมด้วยขนสีแดงสด มือของมันมีลักษณะแบบเดียวกับมือมนุษย์ แต่เท้าเป็นเท้าของนกอินทรี มีกรงเล็บดูดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง
และหัวหน้ากลุ่มของมนุษย์ปักษาก็มีร่างกายสูงใหญ่กว่าแปดเซี๊ยะ ใบหน้าเป็นนกอินทรีมีคิ้วขาว ลักษณะท่าทีหยาบคายก้าวร้าว มันกำลังยืนกอดอก ระเบิดเสียงหัวเราะและพูดอะไรบางอย่าง
“มันกำลังพูดอะไรอยู่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามซวีหวันที่ยืนอยู่ด้านข้าง
ซวีหวันตอบว่า “มันบอกว่าตนเองเป็นขุนศึกผู้กล้าของเผ่ามนุษย์ปักษาขนแดงมีนามว่าอิ๋งจ้าน มันกำลังสั่งให้ข้าไปคุกเข่าขอโทษที่ข้าชักกระบี่แทงลูกศิษย์ของมัน ขณะนี้ อาจารย์กำลังปกป้องข้า เพื่อไม่ให้ข้าต้องไปขอโทษ…”
หญิงสาวกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความเป็นกังวล
หลินเป่ยเฉินตบไหล่นางแผ่วเบาและกล่าวว่า “วางใจเถอะ เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจัดการให้… ในเมื่อท่านเข้าใจภาษาของเผ่ามนุษย์ปักษา อย่างนั้นท่านก็ไปบอกให้มนุษย์ปักษาตัวที่ถูกท่านแทงให้ก้าวออกมาข้างหน้าสิ… เดี๋ยวข้าจะเป็นคนขอโทษแทนให้เอง”