ตอนที่ 1,097 ทำเนียบผู้กล้าดาวรุ่ง
เซียวปิงผู้ซึ่งแสดงความแข็งแกร่งต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มร่างอ้วนก็ไม่ต่างไปจากลูกแกะตัวน้อย ได้แต่ก้มศีรษะให้แก่หลินเป่ยเฉินอย่างทาสผู้เชื่อฟัง
เมื่อเห็นเช่นนั้น ทุกคนก็ต้องประเมินหลินเป่ยเฉินใหม่ทั้งหมด
เซียวปิงมีฝีมือแข็งแกร่งไร้เทียมทาน
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเป่ยเฉินกลับกระทำตัวเปรียบเสมือนเด็กน้อยผู้หนึ่ง
แน่นอนว่าบรรดาเจ้าสำนักที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคงก็เริ่มคาดการณ์เรื่องราวต่าง ๆ ได้บ้างแล้ว
บางคนถึงกับคิดวางแผนชั่วร้าย
พวกเขาเห็นหลินเป่ยเฉินตบศีรษะเซียวปิงต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เด็กหนุ่มร่างอ้วนคงจะอับอายไม่ใช่น้อย
หากสามารถเข้าหาได้ถูกจังหวะ ไม่แน่ว่าพวกเขาสำนักใดสำนักหนึ่งอาจจะเกลี้ยกล่อมให้เซียวปิงย้ายมาเข้าร่วมกับตนเองก็เป็นได้กระมัง?
เซียวปิงไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องกับหลินเป่ยเฉิน ต่อให้เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันจริง ๆ ก็ยังหักหลังกันให้เห็นมานักต่อนัก แล้วจะนับประสาอะไรกับพี่น้องร่วมสาบาน?
“สำนักคฤหาสน์กำยานเป็นฝ่ายชนะ”
ถังกงเยวียนผู้ทำหน้าที่เป็นโฆษกประจำงานประลองครั้งนี้ประกาศผลการต่อสู้เสียงดังกังวาน
แม้ว่าเผ่ามนุษย์ปักษาขนแดงจะหลบหนีกันไปหมดแล้ว แต่พิธีการทุกอย่างก็ยังต้องดำเนินต่อไปตามกฎระเบียบ
บังเกิดเสียงพูดคุยดังขึ้นรอบบริเวณ
ใบหน้าที่สวยงามของเหยียนหรู่อี้พยายามซ่อนเร้นความตื่นเต้นอย่างสุดความสามารถ
เป้าหมายเดิมของอาจารย์สาวก็คือขอเพียงไม่ตกรอบแรกก็นับว่าประสบความสำเร็จมากแล้ว เพราะเหยียนหรู่อี้รู้ดีว่าสถานการณ์ในปัจจุบัน สำนักคฤหาสน์กำยานยากที่จะเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ กล่าวตามความสัตย์จริง การประลองประจำปีนี้ สำนักคฤหาสน์กำยานถูกมองเป็นเพียงไม้ประดับเท่านั้น
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกของหลินเป่ยเฉินกลับมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้…
เหยียนหรู่อี้จึงมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
ว่ากันแค่ความสามารถของเซียวปิงเพียงผู้เดียว ก็เพียงพอแล้วที่จะผ่านเข้าสู่รอบที่สามได้อย่างไม่ยากเย็น
เหยียนหรู่อี้เริ่มแอบตั้งความหวังโดยไม่รู้ตัว
บนยอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิง การประลองยังดำเนินต่อไป
ครั้งนี้เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างสำนักกระบี่สนธยากับสำนักกระบี่สายฟ้าวายุ
พวกเขาทั้งสองสำนักต่างก็เป็นสำนักกระบี่ที่มีความแข็งแกร่งเป็นรองเพียงสำนักมหากระบี่เท่านั้น จึงถือเป็นโชคร้ายอย่างยิ่งที่จับฉลากมาเจอกันตั้งแต่รอบแรก และตัวแทนทั้งสองสำนักก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด หลังผ่านการประลองไปได้สองคู่ ตัวแทนของทั้งสองฝ่ายก็แสดงฝีมือออกมาอย่างไม่เกรงใจกันอีกต่อไป
มือกระบี่จากทั่วดินแดนเฝ้าดูการต่อสู้ด้วยความตื่นเต้น
ไม่ว่าจะเป็นวิชากระบี่ไตรภาคีของสำนักกระบี่สนธยาหรือวิชากระบี่อัสนีบาตของสำนักกระบี่สายฟ้าวายุ ต่างก็ถือเป็นสุดยอดเคล็ดวิชากระบี่ในใต้หล้าทั้งสิ้น ยิ่งผู้ที่ใช้วิชาเหล่านี้ออกมาล้วนแต่เป็นยอดมือกระบี่ตัวจริง การต่อสู้ที่เกิดขึ้นจึงทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนกำลังนั่งรับชมฉากการต่อสู้ของภาพยนตร์กำลังภายในที่ได้รับทุนสร้างมหาศาลจากฮอลลีวู้ดอย่างไรอย่างนั้น…
หลินเป่ยเฉินนั่งกอดอกเฝ้าดูการต่อสู้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“ดุเดือดจริง ๆ”
“ถ้าเอาไปถ่ายทอดสดแทนมวยกรงในโลกเก่า เราคงเก็บค่าลิขสิทธิ์ได้มหาศาลเลยนะเนี่ย”
หลินเป่ยเฉินพูดพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงัก
นี่คือวิชากระบี่ที่แท้จริง
สิ่งที่เขากำลังเห็นอยู่คือมือกระบี่ที่แท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นการจับกระบี่ ท่วงท่าการเคลื่อนไหว เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ ลำแสงหลากสีสันที่ระเบิดเจิดจ้าออกมา…
“ฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่ามัน”
ด้วยการต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่าน หลินเป่ยเฉินจึงยกมือป้องปากส่งเสียงตะโกนอย่างมีอารมณ์ร่วมเต็มเปี่ยม
บรรดาสมาชิกของสำนักกระบี่สายฟ้าวายุและสำนักกระบี่สนธยาต่างก็หันมาจ้องมองที่เด็กหนุ่มด้วยความไม่พอใจ
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“พี่เป่ยเฉินอยากให้ฝ่ายใดเป็นผู้ชนะเจ้าคะ?”
หูเหม่ยเอ๋อร์เอนกายเข้ามากระซิบถามด้วยความอยากรู้
หลินเป่ยเฉินลดเสียงลงตอบด้วยการกระซิบว่า “ฝ่ายไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ”
หูเหม่ยเอ๋อร์เบิกตาโตและอดพูดออกมาไม่ได้ “พี่เป่ยเฉิน ข้าชื่นชอบความไม่เหมือนใครของท่านจริง ๆ”
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ท่ามกลางประกายไฟที่สาดกระจายไปทั่วยอดเขา มวลพลังลมปราณอันหนักหน่วงได้แผ่กระจายออกมาครอบคลุมทั่วบริเวณ
ต้องใช้เวลาถึงสามชั่วยามกว่าจะตัดสินผลแพ้ชนะได้ในที่สุด
ปรากฏว่าเป็นยอดมือกระบี่รุ่นใหม่ของสำนักกระบี่สายฟ้าวายุนามว่าเม่ยหลิน ผู้ได้รับฉายาว่ากระบี่สายฟ้าพิฆาตได้ออกโรงและแสดงฝีมือกระบี่กำราบผู้มีพลังขั้นเซียนระดับหกของสำนักกระบี่สนธยาและทำให้สำนักของตนเองสามารถผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ
เมื่อผลแพ้ชนะได้รับการประกาศออกมา เม่ยหลินผู้สวมใส่ชุดสีดำและถือกระบี่สีเขียวมรกต ก็ยิ่งดูมีสง่าราศีในสายตาของทุกคนมากขึ้น
มือกระบี่จากทุกสำนักล้วนส่งเสียงชมเชย
“สมแล้วที่เป็นความหวังใหม่ของสำนักกระบี่สายฟ้าวายุ”
“ได้รับทราบข่าวลือมาว่ามือกระบี่เม่ยหลินผู้นี้กำเนิดขึ้นมาพร้อมกับพลังปราณธาตุสองชนิด คือพลังธาตุลมและพลังธาตุสายฟ้า ซ้ำเพียงอายุสิบหกปีก็สามารถบรรลุขั้นเซียนได้สำเร็จ และเขายังเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนที่มีพลังปราณธาตุสองชนิดอีกด้วย…”
“นอกจากเขาจะมีพลังปราณธาตุลมและพลังปราณธาตุสายฟ้าแล้ว กระบี่ในมือเม่ยหลินยังถือเป็นหนึ่งในสุดยอดศาสตราวุธของสิบสำนักใหญ่แห่งแผ่นดินตงเต้าอีกด้วย นอกจากโชคดีเกิดมาแข็งแกร่ง เขายังมีวาสนาดีที่ยากหาใครเทียบเคียง พูดแล้วข้าก็ได้แต่อิจฉาเขาเสียจริง ๆ”
“เม่ยหลินมีพลังปราณธาตุลมและปราณธาตุสายฟ้าก็จริง แต่เมื่อสักครู่ ตอนที่เอาชนะขั้นเซียนระดับหกตัวแทนจากสำนักกระบี่สนธยานั้น เขากลับใช้พลังปราณธาตุลมแค่อย่างเดียว และกระบี่สายฟ้าพิโรธของเขาก็ยังไม่ได้ถูกชักออกมาจากฝักเลยด้วยซ้ำ หากชายหนุ่มผู้นี้ใช้กระบี่ทั้งสองเล่มนั้นพร้อมกัน ไม่ทราบเลยว่าจะมีความน่ากลัวเพียงใด?”
“สมแล้วที่เม่ยหลินมีชื่ออยู่ในอันดับที่ 96 ของทำเนียบผู้กล้าดาวรุ่งทั่วแผ่นดินตงเต้า”
คำพูดทั้งหมดนั้นลอยมาเข้าหูหลินเป่ยเฉิน
เขาจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนสังเวียนประลองและอดรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้
บุรุษผู้นี้มีอายุประมาณ 25 – 26 ปี ใบหน้าราบเรียบธรรมดา ไม่ได้หล่อเหลาโดดเด่นสะดุดตา แต่ดีที่มีความสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา ผมสั้นสีดำหยักศกเล็กน้อย เขาสวมใส่เสื้อคลุมสีดำ บนแผ่นหลังสะพายกระบี่สองเล่มไขว้กันเป็นรูปกากบาท ฝักกระบี่เล่มหนึ่งเป็นสีฟ้าและอีกเล่มหนึ่งเป็นสีม่วงประดับประดาด้วยอัญมณีหรูหรา เช่นเดียวกับเข็มขัดสีดำที่คาดเอวของเขาก็ประดับอัญมณีลงค่ายอาคมเอาไว้จำนวนมาก ส่งผลให้เม่ยหลินกลายเป็นบุคคลที่ดูมีความเรียบง่ายแต่น่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน