เซียนหมากข้ามมิติ – ตอนที่ 441 เผชิญหน้าตอนกลางคืน

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 441 เผชิญหน้าตอนกลางคืน

หมู่บ้านเหมาทันมีศาลเจ้าที่สองแห่ง หนึ่งแห่งอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน มีเรือนเล็กสว่างเจิดจ้า ข้างในมีรูปปั้นดินเหนียวหน้าตาจริงจัง แม้ไม่นับว่าวิจิตร ทว่ามีโต๊ะบูชาและกระถางธูป สิ่งที่ควรมีไม่ขาดไปสักอย่าง

ส่วนศาลเจ้าที่ที่สองก็คือตรงพื้นที่ฝังศพ เป็นเพียงบ้านดินหลังเล็กเท่าครึ่งตัวคน ทำให้เจ้าที่ซึ่งอยู่ข้างในไม่ถึงกับต้องตากลมตากฝน

เจ้าที่ถอนหายใจตรงนี้ เขาคุ้มครองหมู่บ้านเหมาทันมาเจ็ดแปดสิบปีแล้ว แม้ร่างเดิมเป็นภูต ไม่ใช่เทพผีที่มนุษย์ตายแล้วฝึกตนสำเร็จ ทว่ามีความรู้สึกผูกพันกับหมู่บ้านนี้อยู่บ้าง ตอนนี้ไม่ว่าเป็นเด็กหรือคนชราในหมู่บ้าน เขาแทบเห็นทุกคนตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ทั้งสิ้น

โดยเฉพาะจิตใจของคนในหมู่บ้านนี้ไม่เลวทีเดียว สร้างเนินดินพูนเหนือศพได้ในช่วงเวลาที่ไม่สงบสุขเช่นนี้ พอจะอธิบายเรื่องนี้ได้แล้ว ดังนั้นเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น เจ้าที่ยังคงต้องการคุ้มครองอาณาเขตนี้อย่างเต็มกำลัง

ทว่าเขาเป็นเพียงเจ้าที่ตัวเล็กๆ อาณาเขตความคุ้มครองของเขาอยู่ที่รอบๆ หมู่บ้านเหมาทันเท่านั้น ชีพจรดินว้าวุ่นก่อนหน้านี้ส่งผลกระทบถึงที่นี่ด้วย ยิ่งทำให้เจ้าที่ตกอยู่ในภาวะไร้อำนาจทางจิตวิญญาณอีกด้วย ดูเหมือนไม่ได้บาดเจ็บอะไร แต่ความจริงแล้วใช้ความสามารถได้เจ็ดส่วนจากสิบส่วนเท่านั้น

“เฮ้อ…”

เจ้าที่ถอนใจเสียงหนึ่ง เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ต่อให้ตอนนี้เข้าฝันบอกคนในหมู่บ้านให้พวกเขาหนีไปก็ไม่ทันแล้ว และด้วยสภาพสังคมในปัจจุบัน ออกจากหมู่บ้านเหมาทันที่ตนเองใช้ชีวิตอยู่ เกรงว่าคนทั้งหมู่บ้านจะกลายเป็นโครงกระดูกริมทางที่หมู่บ้านอื่นในท้ายที่สุด ถึงตอนนั้นคงไม่มีคนอื่นเก็บศพฝังศพให้พวกเขา ไม่มีเนินดินพูนเหนือศพให้นอนหลับอย่างสงบ

ตอนที่เจ้าที่กำลังรู้สึกเศร้า วิญญาณผีในเนินดินพูนเหนือศพพลันโผล่ขึ้นมา ทำให้เจ้าที่ใจสั่นสะท้าน รีบมองไปทางพื้นที่ฝังศพด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“สภาพสังคมแบบนี้ มีที่ให้นอนหลับอย่างสงบนับว่าเป็นโชคดี จะกระสับกระส่ายไปด้วยเหตุใด”

พูดแล้วเจ้าที่ก็เคาะไม้เท้ากับพื้นดินเบาๆ

ป๊อก…

แสงธรรมเบาบางไม่อาจสังเกตได้กระจายไป เนินดินฝังศพทั้งหมดล้วนเงียบสงบ วิญญาณที่กระสับกระส่ายและปราณเพลิงดับมอดอ่อนกำลังลงเล็กน้อย

แต่สถานการณ์กลับไม่ได้พัฒนาไปยังทิศทางที่เจ้าที่จินตนาการไว้ เขาพบว่าคลับคล้ายคลับคลามีวิญญาณผีหลายสายปรากฏอยู่ไม่ไกล

‘แย่แล้ว หรือว่าวิญญาณผีที่นี่ก็ได้รับผลกระทบจากต้นตอผีโรคระบาด กำลังจะกลายเป็นหายนะแล้วกระมัง’

เจ้าที่ตื่นตัว ปรากฏกายข้างนอกมองวิญญาณผีด้วยใบหน้าเรียบเฉย อีกทั้งวิ่งไปถึงบนศาลเจ้าที่หลังเล็ก ทำแบบนี้แล้วความสูงส่งของเขาถึงพอจะระงับวิญญาณผีได้

ไม่นานเท่าไหร่นัก วิญญาณผีหลายสายกลับกลายเป็นชัดเจนขึ้นมา ข้างหน้าสุดมีผีประมาณสิบกว่าตน ข้างหลังกลับวนเวียนอยู่ใกล้หลุมศพ ดูไม่ออกว่ามีมากน้อยเท่าไหร่กันแน่

ผู้นำผีคือผีในชุดเกราะที่เพิ่งถูกฝังใหม่ นี่ทำให้เจ้าที่นึกถึงศพสองศพที่เลี่ยวต้าหนิวและคนในหมู่บ้านช่วยกันฝังเมื่อตอนกลางวัน

ตอนนั้นเจ้าที่ไม่ได้สังเกต แต่ตอนนี้มองดูแล้วชุดเกราะของคนที่ถูกฝังสองคนต่างออกไปอยู่บ้าง ชุดเกราะหนึ่งคนในนั้นมีเกราะหัวใจ น่าจะมีระดับสูงกว่าหน่อย

“ข้าขอคารวะท่านเจ้าที่!”

แม้คนตายไปแล้ว แต่นิสัยก็ยังคงเป็นนิสัยของนักรบ วิญญาณผีที่ถูกฝังใหม่สองตนวันนี้คุกเข่าลงประสานมือคารวะ วิญญาณผีตนอื่นเห็นดังนั้นก็ทำตามโดยจิตใต้สำนึก

‘เห็นทีข้าคิดมากไปแล้ว!’

เจ้าที่ถอนใจเล็กน้อย เอ่ยเสียงเรียบว่า

“เกิดอะไรขึ้น มีธุระอันใด”

ทหารผู้นำกลุ่มเงยหน้ามองเจ้าที่ ตอนมีชีวิตอยู่เขาไม่เคยเห็นเทพผี แม้เจอเรื่องชั่วร้ายบางอย่าง ทว่าเทพคุ้มกันภัยอย่างเจ้าที่นั้นเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก คาดไม่ถึงเลยว่ารูปร่างเตี้ยค่อม

“ขอถามท่านเจ้าที่ ผีโรคระบาดที่ท่านพูดเมื่อครู่นี้คืออะไร”

ก่อนหน้านี้เจ้าที่อยู่ในอารามตกใจอย่างเห็นได้ชัด วิญญาณผีที่ความรู้สึกไวจำนวนหนึ่งตระหนักได้ว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ กอปรกับเจ้าที่ถอนใจบ่อยครั้งพลางมองไปทางหมู่บ้านเหมาทัน สีหน้ากังวลใจอย่างเห็นได้ชัด

เจ้าที่มองวิญญาณผีเหล่านั้นอย่างเคร่งเครียด

“พวกเจ้าถามไปทำไมกัน”

วิญญาณในชุดเกราะมองเจ้าที่ ยังไม่ทันเอ่ยปากอะไร เจ้าที่ก็อ่านคำตอบบางอย่างได้จากในแววตาของมันแล้ว

หมู่บ้านเหมาทันในตอนกลางคืนเงียบมาก แม้ตอนกลางวันทำงานใช้แรงเยอะ แต่เลี่ยวต้าหนิวกลับพลิกตัวไปมานอนไม่หลับ

“เฮ้อ ภรรยา ภรรยา…”

เรียกอยู่สองเสียงแล้ว เพียงได้ยินสตรีข้างกายส่งเสียงกรนเบาๆ เลี่ยวต้าหนิวจึงไม่พูดอะไรอีก ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างระมัดระวัง ระหว่างนั้นยัดผ้าห่มอย่างดี ป้องกันไม่ให้ไอเย็นเข้าไปในผ้าห่ม

เลี่ยวต้าหนิวที่รู้สึกคอแห้งพาดชุดคลุม แล้วออกจากผ้าห่มอย่างเบามือ ใส่รองเท้าเตรียมไปเทน้ำดื่มสักหน่อย

ตอนเดินถึงข้างนอกห้องก็ไม่รีบร้อนเทน้ำ กลับผ่านห้องโถงไปเปิดม่านห้องบุตรชายออกดู เห็นบุตรชายหลับปุ๋ยถึงวางใจ

แม้เลี่ยวต้าหนิวอายุไม่น้อยแล้ว แต่ตอนนี้ในบ้านกลับมีเพียงบุตรชายอายุยังไม่พ้นห้าปีคนเดียว

นี่ไม่ใช่เพราะสองสามีภรรยาไม่ได้เรื่อง ความจริงแล้วก่อนเสี่ยวเลี่ยวมีพี่ชายแท้ๆ คนหนึ่ง นับอายุดูแล้วตอนนี้น่าจะมีอายุเกือบสามสิบปีแล้ว เดิมทีเป็นวัยที่ควรแต่งงานสร้างครอบครัว ทว่าจนวันนี้กลับไร้ข่าวคราวเขา

สภาพสังคมไม่สงบสุข บุตรชายคนโตของเหล่าเลี่ยวในตอนนั้นถูกทหารเกณฑ์ไปออกรบ เมื่อไปแล้วยาวนานถึงเก้าปีไม่มีข่าวคราว ที่อำเภอมีคนถูกเกณฑ์ไปออกรบรอบเดียวกับบุตรชายคนโตตระกูลเลี่ยว เมื่อถึงปีที่สองก็หนีกลับมาแล้ว ว่ากันว่ามีคนตายมากมาย ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ทหารจากบ้านเกิดไปไกลทั้งหลายอยู่ที่ไหน

สองสามีภรรยาตระกูลเลี่ยวเชื่อมั่นเสมอว่าบุตรชายของพวกเขายังมีชีวิตอยู่ แม้ลอบเช็ดน้ำตาอยู่หลายครั้งมาก แต่ความหวังนี้ยังคงอยู่ ต่อให้หัวใจว่างเปล่าอย่างไรก็ยังคงหวังว่าบุตรชายคนโตจะกลับมาในสักวันหนึ่ง บุตรชายคนรองมาเกิดในท้องอย่างไม่คาดคิดหลังจากบุตรชายคนโตไปได้แล้วสามปี นับว่าได้บุตรตอนแก่แล้ว

เลี่ยวต้าหนิวสนับสนุนให้สร้างสุสานในหมู่บ้าน ไม่ใช่เพราะมีเป้าหมายอยากทำความดีสร้างบุญกุศล แต่หวังว่าเง็กเซียนฮ่องเต้เห็นสิ่งที่เขาทำแล้วจะดลบันดาลให้บุตรชายเขากลับมาอย่างปลอดภัย

เขามีความคิดที่จนใจที่สุดเช่นกัน หากบุตรชายคนโตเจอเคราะห์ร้ายอยู่ข้างนอกนั่น ก็ขอให้มีคนเก็บศพเขา ให้เขาใต้นอนหลับอย่างสงบอยู่ใต้พื้นดิน

ทุกครั้งที่เห็นบุตรชายคนเล็กตอนกลางคืน เลี่ยวต้าหนิวจะนึกถึงท่าทางยามนอนหลับตอนบุตรชายคนโตยังเด็กในทันที เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว บุตรชายคนเล็กที่กำลังหลับใหลก็กลายเป็นบุตรชายคนโตในสายตาเขาจริงๆ และเป็นบุตรชายคนโตเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก

เหล่าเลี่ยวชะงักไปเล็กน้อย ขยี้ตามองไปอีกครั้ง ที่นอนอยู่บนเตียงยังคงเป็นลูกชายคนเล็ก

“เฮ้อ…”

เมื่อถอนหายใจแล้ว เหล่าเลี่ยวถอยออกจากห้องของบุตรชายคนเล็ก กลับไปยังข้างนอกห้อง เปิดฝาถ้วยชาออก จากนั้นยกกาน้ำบนโต๊ะขึ้นเทน้ำให้ตนเอง ทว่าน้ำยังไม่ทันเต็มถ้วยก็รู้สึกว่าข้างนอกเรือนเหมือนมีแสงสว่างอยู่บ้าง นี่ทำให้เหล่าเลี่ยวแปลกใจทีเดียว

ทว่าเขาเหลือบมองข้างนอกแล้วไม่ได้ใส่ใจอะไร เทน้ำต่อไป จากนั้นยกถ้วยชาขึ้นดื่มน้ำ ดื่มหลายถ้วยติดต่อกัน แม้กระทั่งกาน้ำชาว่างเปล่าแล้วก็ยังคงรู้สึกคอแห้ง

‘ข้าคงไม่ได้ป่วยกระมัง’

เลี่ยวต้าหนิวคิดไปไกลเพราะจิตใจว้าวุ่น แสงข้างนอกหน้าต่างไม้ค่อยๆ เจิดจ้าขึ้น

ในที่สุดเหล่าเลี่ยวก็เดินไปถึงหน้าหน้าต่าง ปลดสลักไม้ออกเพื่อเปิดหน้าต่างออกไป เขาพลันพบว่าข้างนอกกลายเป็นสีเขียวทั้งผืน เมื่อมองดูให้ละเอียดก็เห็นว่ามี ‘คน’ หลายคนยืนอยู่ข้างนอกเรือน ทุกคนล้วนก้มหน้า บนใบหน้าดำมืดมองไม่ชัดเจน บนกายมีแสงสีเขียวคล้ำ

“ผีหลอก!”

เหล่าเลี่ยวตกใจร้องเสียงดัง ล้มลงร่างแข็งค้างอยู่บนพื้น ปล่อยให้บานหน้าต่างไม้กระแทกกรอบหน้าต่างดังปัง

“ภรรยา ภรรยา มีผีๆ เจ้าตื่นเร็ว…”

เลี่ยวต้าหนิวส่งเสียงดังมาก ทว่าภายในเรือนไร้สุ้มเสียง ตอนตื่นตกใจทำอะไรไม่ถูก ข้างนอกกลับมีเสียงดังมา

“ผู้มีพระคุณอย่ากลัวไปเลย!”

เสียงนั้นชัดเจน เงียบสงบ และฟังดูสากหนา ไม่ให้ความรู้สึกขนหัวลุกอย่างที่จินตนาการไว้ ทำให้เหล่าเลี่ยวเงียบเสียงไปชั่วคราว

“ผู้มีพระคุณ พวกข้าล้วนเป็นคนที่ท่านและคนในหมู่บ้านฝังศพให้ในหลายปีมานี้ ผู้มีพระคุณมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อพวกข้า พวกข้าไม่มีทางทำร้ายท่านอย่างแน่นอน และไม่มีทางทำร้ายคนหมู่บ้านเหมาทันเช่นกัน”

ได้ยินดังนั้นแล้วเลี่ยวต้าหนิวสงบใจลงได้บ้าง นึกถึงที่ตนเองหาเนินดินฝังศพ ช่วยคนอื่นให้ได้นอนหลับอย่างเป็นสุขใต้ดิน เขาเคยช่วยคนอื่นจริงๆ เช่นนั้นน่าจะไม่มีทางทำร้ายตนเองกระมัง

“ผู้มีพระคุณเปิดประตูให้ข้าเห็นหน่อยได้หรือไม่”

เมื่อคำพูดนี้ดังมา เลี่ยวต้าหนิวลังเลอีกครั้ง รออยู่นานแล้วในที่สุดก็กัดฟัน เดินไปที่หน้าประตูอย่างช้าๆ ต่อสู้กับตนเองอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนสลักประตูและเปิดประตูออกไป

ผีมากมายยืนอยู่ในลานบ้าน เลี่ยวต้าหนิวนับไม่ถูกในทันที

‘ที่แท้หลายปีนี้ฝังศพไปมากมายขนาดนี้เชียว…’

เห็นเลี่ยวต้าหนิวเปิดประตูแล้ว วิญญาณผีข้างนอกพากันคุกเข่าลงอย่างคาดไม่ถึง เห็นผีมากมายคุกเข่าลงเช่นนี้ เลี่ยวต้าหนิวกลับลืมว่าอะไรคือความกลัว ก้าวผ่านไปประตูออกไปตามสัญชาตญาณเพื่อยกมือห้าม

“นี่ ไม่ต้องๆ! ทุกท่านได้โปรดลุกขึ้น ลุกขึ้นเร็วเถอะ!”

เหล่าวิญญาณผีคุกเข่าอยู่ครู่ใหญ่ถึงค่อยยืนขึ้น ตอนนี้เลี่ยวต้าหนิวมองเห็นชัดเจนแล้ว ที่อยู่ข้างหน้าสุดคือทหารที่เขาเพิ่งฝังศพให้ล่าสุด วิญญาณหนึ่งตนในนั้นก้าวออกมาก้าวหนึ่ง กล่าวกับเลี่ยวต้าหนิวจากใจจริงว่า

“ผู้มีพระคุณ พื้นที่นี้กำลังจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ มีผีชนิดหนึ่งถือกำเนิดขึ้น ได้ยินมาว่าชื่อผีโรคระบาด พวกมันจะแพร่โรคระบาดทำร้ายชีวิตคน”

“เอ๋? ในอำเภอเล่ากันว่าข้างนอกเริ่มเกิดโรคระบาด หรือว่าจะเป็นเพราะผีโรคระบาดนี้ เช่นนั้นพวกข้าจะเป็นอะไรหรือไม่”

เลี่ยวต้าหนิวไม่สบายใจขึ้นมา แม้ว่ากันว่าวาจาของผีไม่น่าเชื่อถือ แต่ตอนนี้เขากลับยอมเชื่อผีเหล่านี้

“ผู้มีพระคุณ หมู่บ้านเหมาทันตั้งอยู่บนเส้นทางบุกของผีโรคระบาด พวกข้ามาครั้งนี้ไม่ได้มีเป้าหมายอื่นใด เพียงอยากตอบเทนบุญคุณเท่านั้น พวกข้าตัดสินใจว่าเมื่อผีโรคระบาดมาถึงจะร่วมกันสู้กับพวกมันสักครั้ง ด้วยหวังว่าจะปกป้องผผู้มีพระคุณและคนหมู่บ้านเหมาทันให้ปลอดภัยได้!”

แม้มีเพียงผีหนึ่งตนพูดเช่นนี้ แต่ผีตนอื่นทั้งหมดล้วนมองเลี่ยวต้าหนิว บนใบหน้ามืดมนนั้นกลับทำให้เลี่ยวต้าหนิวเชื่อถืออย่างน่าประหลาด

“เอ่อ…”

“ผู้มีพระคุณ พวกข้าปรึกษาท่านเจ้าที่มาแล้ว ยังพอมีเวลาอยู่บ้าง หวังว่าผู้มีพระคุณจะหาช่างทำกระดาษที่โดดเด่น ทำธงรบให้พวกข้าสักหลายผืน อาวุธมากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบชิ้น ธงรบจะต้องมีธงผู้บัญชาการทางซ้าย กลาง และขวา ตลอดจนธงรูปขบวนหน้าและหลัง ดาบคู่โล่ห้าสิบอัน ดาบห้าสิบ หอกห้าสิบ คันธนูและลูกธนูห้าสิบ ยิ่งมีลูกธนูมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น!”

เลี่ยวต้าหนิวตั้งใจจำไว้ อีกทั้งลอบท่องอยู่ในใจหลายรอบ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีทางลืมถึงค่อยเงยหน้ามองไปทางเหล่าผี

“เอ่อ มีคำขออย่างอื่นอีกหรือไม่”

เมื่อได้ยินคำถาม ท่ามกลางวิญญาณผีทั้งหลายมีเสียงกระซิบ จากนั้นเงียบเสียงลง ยังคงเป็นทหารผู้นำกลุ่มเอ่ยปาก

“หากเป็นไปได้ล่ะก็…หวังว่าจะเซ่นไหว้ด้วยอาหารจนอิ่มหนำสักมื้อ…”

เซียนหมากข้ามมิติ

เซียนหมากข้ามมิติ

Status: Ongoing
เพราะกระดานหมากเก่าๆ จี้หยวน พนักงานบริษัทธรรมดาๆ จึงข้ามมิติมาสู่โลกใหม่ในร่างขอทานตาเกือบบอด เพื่อเอาตัวรอดในโลกที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงต้องใช้ไหวพริบของคนยุคปัจจุบันและกลหมากพัฒนาตัวเองให้แกร่งกล้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท