บทที่ 1367 ผู้น้อยอวดดี
บทที่ 1367 ผู้น้อยอวดดี
ลู่ชิวเยี่ยไม่ใช่คนโง่และคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน
ทว่าเหตุผลที่พวกเขากล้าที่จะทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ เพราะได้รับการสนับสนุนจากราชันเซียนแห่งทวีปรัตติกาล ลู่ชิวปิน และไม่เคยคิดเลยว่า สตรีผู้มีท่าทางบอบบางอ่อนแอคนนี้… จะเป็นราชันเซียนรัตติกาล
ท้ายที่สุดแล้ว เป็นเพราะอาการบาดเจ็บของเตียนเตี้ยนนั้นรุนแรงเกินไป และกังวลว่าตัวตนของนางจะถูกเปิดเผย ดังนั้นนางจึงจงใจปกปิดรัศมีอันสง่างามของตน ส่วนเฉินซี เขาก็เป็นเพียงเซียนปราชญ์เท่านั้น
ในทางกลับกัน ราชันเซียนน้อยที่มีผู้ติดตามขอบเขตเซียนปราชญ์สองคนอยู่ข้างเคียง อีกฝ่ายจึงย่อมไม่ใส่ใจทั้งสองคนอย่างจริงจังอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือทวีปรัตติกาล และด้วยฐานะของบิดา ราชันเซียนน้อยผู้นี้จึงมีเส้นสายที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นแม้จะก่อปัญหา แต่ก็ยังมีคนกระโจนออกมาตามเก็บกวาดเรื่องยุ่งเหยิงที่เขาก่ออยู่ดี นั่นคือเหตุผลที่เขามีนิสัยหยิ่งยโส เจ้ายศ และผยองเช่นนี้
เมื่อเผชิญกับการจ้องมองอย่างคุกคามนี้ เฉินซีเพียงไหวไหล่และพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าหากพวกเจ้าทุกคนยังไม่หลีกทาง ผลที่ตามมาก็คงจะนับเป็นสิ่งเกินจินตนาการได้แล้ว”
น้ำเสียงราบเรียบแฝงการเยาะเย้ย ทำให้ใบหน้าของลู่ชิวเยี่ยและคนอื่น ๆ มืดลงไปทันที เด็กคนนี้คงเหนื่อยกับการมีชีวิตอยู่มากสินะ ถึงได้กล้าที่จะคุกคามพวกเขาเช่นนี้!
“ดูเหมือนสหายผู้นี้ ไม่กล้าคิดที่จะเผชิญหน้ากับนายน้อยคนนี้เสียแล้ว?” ลู่ชิวเยี่ยหัวเราะเสียงเย็นในขณะที่ส่งสายตาให้ผู้ติดตามที่อยู่ข้าง ๆ
“ไอ้ตัวบัดซบไม่รู้ที่ต่ำที่สูง! รีบไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!” ลูกน้องเข้าใจเจตนาของลู่ชิวเยี่ยทันที พลางเผยรอยยิ้มดุร้าย พร้อมเหยียดแขนออก นิ้วมืองอเล็กน้อยขณะหวดฉีกผ่านช่องว่างแล้วคว้าลำคอของเฉินซีอย่างรวดเร็ว
การคว้าครั้งนี้มีแรงมหาศาลและรวดเร็วราวกับสายฟ้า นอกจากนี้ นิ้วทั้งห้ายังเต็มไปด้วยพลังแห่งกฎที่แข็งแกร่ง แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเซียนปราชญ์ผู้นี้อย่างชัดเจน
เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนต่างจ้องมองเฉินซีด้วยความสงสาร พวกเขารู้ดีว่าผู้ติดตามคนนี้ลงมือได้โหดเหี้ยมเพียงใด อีกฝ่ายเป็นถึงแม่ทัพที่น่าเกรงขามภายใต้บังคับบัญชาของตำหนักราชันเซียน ผู้ถูกเรียกว่า หยู่เหวินตง ซึ่งโหวไร้พันธนาการลู่ชิวปิน ชื่นชมความสามารถของคนผู้นี้อย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่ได้เผชิญหน้ากับหยู่เหวินตง เหยื่อของเขาก็ล้วนแต่ถูกทำให้พิการหรือโดนสังหารทิ้งอย่างไม่มีข้อยกเว้น
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนจะอยู่ที่ขอบเขตเซียนปราชญ์ ซึ่งมากพอให้ภาคภูมิใจแล้วสำหรับคนธรรมดาทั่วไป ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหยู่เหวินตงผู้มีประสบการณ์การต่อสู้นองเลือดนับไม่ถ้วน มันก็ไม่มีค่าอะไรเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีนิ่งไม่ขยับราวกับกลัวจนตัวแข็งทื่อเมื่อเผชิญกับการโจมตีครั้งนี้ ทุกคนก็ดูถูกเหยียดหยามเฉินซีมากยิ่งขึ้น สหายน้อยผู้นี้ดูน่าประทับใจ แต่จริง ๆ กลับเป็นเพียงขยะขี้ขลาด!
เฉินซีไม่ขยับ และยังคงรักษาท่าทาง ปล่อยให้เตียนเตี้ยนจับแขนไว้อย่างนั้น มีเพียงมือขวาที่สะบัดออกไปในอากาศอย่างเรียบง่าย
ปัง!
เสียงดังก้อง แทงทะลุบริเวณโดยรอบราวกับฟ้าร้อง
เฉินซียืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับไหว สงบนิ่งไร้กังวล
กลับเป็นหยู่เหวินตงที่ซวนเซถอยไปหลายก้าว ใบหน้าขาวซีดขึ้นทุกขณะ และเมื่อถอยไปถึงก้าวที่เก้า สีหน้าของเขาก็ซีดเซียวอย่างน่าสยดสยอง หน้าอกสั่นกระเพื่อมก่อนจะอ้าปากและกระอักเลือดออกมา ก่อนที่กลิ่นอายของเขาจะอ่อนลงในทันที
ผู้เฝ้ามองต่างพากันตกตะลึง รูม่านตาขยายออก ร่องรอยความดูถูกและสมเพชที่มุมปากแข็งค้าง ทำหน้าราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน
ฉากนี้เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดและทำให้พวกเขาประหลาดใจเกินไป ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่าหยู่เหวินตงที่น่าเกรงขาม ดุร้าย ไร้ความปรานีผู้นั้น จะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ขวับ!
มีคนปฏิเสธที่จะเชื่อในเรื่องนี้ และกระโจนขึ้นไปในอากาศก่อนที่จะชกหมัดใส่หัวของเฉินซีอย่างรวดเร็ว หมัดนั้นรุนแรงราวกับมังกรคำราม และเต็มไปด้วยพลังแห่งกฎอันน่าสะพรึงกลัว
นี่คือเซียนปราชญ์อีกคนในกลุ่มผู้ติดตามของลู่ชิวเยี่ย เขาถูกเรียกว่าหยู่เหวินเป่ย เป็นน้องชายของหยู่เหวินตง ทั้งสองแข็งแกร่งพอ ๆ กัน ทั้งยังโหดเหี้ยมและเด็ดขาดไม่แพ้กัน
“เจ้าประเมินความแข็งแกร่งของตัวเองสูงเกินไป” คราวนี้เฉินซีทำตัวสบาย ๆ มากกว่าเดิม ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อ ปราณเซียนพิสุทธิ์ส่งเสียงดังก้องขณะที่มันพัดกวาดออกไปราวกับคลื่นพายุ และส่งหยู่เหวินเป่ยให้กระเด็นไปปะทะกำแพงอาคารอย่างแรง จากนั้นก็ร่วงลงที่ด้านนอกร้านอาหารด้วยเสียงดังสนั่น
ฉากที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก
พวกเขาอ้าปากค้าง ขณะที่จ้องมองเฉินซีราวกับว่ากำลังมองสัตว์ประหลาด ยิ่งไปกว่านั้น หัวใจยังรู้สึกถึงความหนาวเหน็บและสะพรึงกลัว
สหายผู้นี้คือใครกันแน่?
ผู้ที่สามารถเอาชนะพี่น้องหยู่เหวินได้อย่างง่ายดายนั้น ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน!
“ไม่เลว แต่ก็ยังโหดเหี้ยมไม่พอ เจ้าควรจะฆ่าพวกเขาเสีย” เตียนเตี้ยนยิ้มขณะที่พูดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัด ตั้งแต่ต้นจนจบ นางพิงไหล่ของเฉินซีรอราวกับได้คาดไว้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
แม้ว่าพี่น้องหยู่เหวินจะเป็นเซียนปราชญ์ แต่พวกเขาไม่ได้หลอมรวมเต๋า และสร้างกฎปราชญ์เต๋าขึ้นมา ดังนั้นแม้ว่าพลังจะน่าเกรงขาม แต่พวกเขาก็ไม่อาจนับเป็นคู่ต่อสู้ของเฉินซีได้
ท้ายที่สุด แม้ว่าเฉินซีจะเพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนปราชญ์เมื่อไม่นานมานี้ แต่ด้วยความช่วยเหลือของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ชายหนุ่มจึงเชี่ยวชาญกฎแห่งเซียนทองคำทั้งหมดที่ตนครอบครองได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปราณเซียนของเขานั้นหนาแน่นกว่าคนอื่น ๆ เป็นร้อยเท่า แน่นอนว่าการจัดการกับพี่น้องสองคนนี้ …มันก็ถือเป็นเรื่องง่ายดายมาก
เมื่อได้ยินการล้อเลียนของเตียนเตี้ยน เฉินซีก็ตกใจและอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าไม่โหดเหี้ยมพอหรือ? เช่นนั้นข้าควรจะสังหารพวกเขาทั้งหมดหรือไม่?”
เตียนเตี้ยนพูดอย่างจริงจัง “มันควรจะเป็นเช่นนั้น”
เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินทั้งสองคนคุยกันเรื่องชะตากรรมของตนอย่างไม่เกรงกลัว พวกของลู่ชิวเยี่ยต่างหน้าเปลี่ยนสี ทั้งรู้สึกหวาดกลัวและโกรธแค้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่นางน้อยของลู่ชิวเยี่ย พวกนางกลัวจนใบหน้าซีดขาว ตัวสั่นไม่หยุด
“ฮึ่ม! มันจะมากเกินไปแล้ว! เจ้าไม่รู้หรือว่านายน้อยคนนี้คือใคร? กล้าดีอย่างไรถึงจองหองขนาดนี้! ก้มหัวขอโทษข้าซะ ไม่เช่นนั้นวันนี้ก็อย่าฝันที่จะได้ออกจากเมืองสารทเลย!”
ลู่ชิวเยี่ยตะโกนขู่เสียงต่ำ เขารู้ว่าคราวนี้ตนเตะเจอตอเข้าให้แล้ว แต่กลับไม่รู้สึกว่าตกอยู่ในอันตรายแต่อย่างใด เพราะนี่คือทวีปรัตติกาล ยกเว้นพวกผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นแล้ว จะมีใครกล้าทำร้ายทายาทแห่งตำหนักราชันเซียนได้?
ในสายตาของเขา ไม่ว่าจะเป็นเฉินซีหรือเตียนเตี้ยน ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเรียกว่าบุคคลพิเศษได้ ดังนั้นจึงยิ่งมีความมั่นใจและความกล้าหาญที่จะท้าทายอีกฝ่าย!
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเขาจะยโสและโอหัง แต่ก็มีวิธีการไว้ปกป้องชีวิตของตัวเองอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกหวาดกลัวและระแวงเฉินซีกับเตียนเตี้ยนจนแข็งทื่อเหมือนคนอื่น ๆ
เพียะ!
แต่สิ่งที่ทำให้ลู่ชิวเยี่ยต้องประหลาดใจคือทันทีที่พูดจบ ศีรษะของตนก็ต้องสั่นไหวจากแรงตบ ในขณะที่มึนหัวจนเห็นดวงดาว เขาส่งเสียงร้องโหยหวนและล้มลงคุกเข่ากับพื้น
“โง่เง่า!” เฉินซีตอกกลับด้วยคำง่าย ๆ เพียงสองคำ
“นายน้อย!”
“นายน้อย!”
ฉากนี้ทำให้ผู้ติดตามของลู่ชิวเยี่ยและแม่นางน้อยหวาดกลัวจนถึงขั้นตื่นตระหนก พวกเขาทั้งหมดรีบรุดไปข้างหน้าเพื่อปกป้องนายน้อยคนนี้ เพราะเกรงว่าจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับอีกฝ่าย
“พวกเจ้าทั้งคู่… กำลังรนหาที่ตาย!”
“ราชันเซียนน้อยเป็นบุตรชายที่ราชันเซียน โหวไร้พันธนาการรักมากที่สุด! พวกเจ้าทั้งคู่ไม่กลัวว่าจะถูกตำหนักราชันเซียนไล่ล่าหรืออย่างไร?”
“แส่หาเรื่องตาย! คุกเข่าลงขอโทษเร็วเข้า ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าได้ตายแน่!”
เหล่าผู้ติดตามและแม่นางน้อยของลู่ชิวเยี่ยตะโกนโวยวายเสียงดัง
พวกเขาติดตามลู่ชิวเยี่ยมาเป็นเวลานาน และอาศัยชื่อเสียงของตำหนักราชันเซียนทำให้ทุกคนยกย่องไม่ว่าจะไปที่ใดก็ตาม ทว่าตอนนี้ชายหญิงคู่นี้กล้าที่จะต่อต้านพวกเขา หากไม่เรียกรนหาที่ตายแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีก?
อย่างไรก็ตาม แม้จะตะโกนต่อไปอย่างเดือดดาล แต่กลับไม่มีสักคนเดียวที่กล้าก้าวมาข้างหน้าเพื่อโจมตี พวกเขาไม่มีทางเลือก เพราะเมื่อสักครู่นี้พวกเขายังมองไม่ออกเลยว่า เฉินซีโจมตีสองพี่น้องหยู่เหวินจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและพ่ายแพ้อย่างไร แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับเฉินซี?
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินแมลงวันเหล่านี้พึมพำและส่งเสียงดังไม่หยุดหย่อน ดวงตาพลันเปล่งประกายแสงเย็นเฉียบ ทุกที่ที่เขากวาดมองไป เสียงโห่ร้องทั้งหมดก็หยุดชะงักลงในทันที ด้วยทุกคนต่างหวาดกลัวจนตัวสั่น
ช่างเป็นฝูงตัวตลกจริง ๆ!
เฉินซีไม่สนใจที่จะต่อสู้กับอีกฝ่าย และหันมาพูดกับเตียนเตี้ยน “จะไปกันเลยหรือไม่?”
เตียนเตี้ยนยิ้มหวาน “นับตั้งแต่ข้าเริ่มบ่มเพาะจนถึงตอนนี้ ข้าไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกของการถูกช่วยเหลือโดยวีรบุรุษเลย” นางขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจ “น่าเสียดาย คนพวกนี้อ่อนแอเกินไป พวกเขาทำให้ข้าเบื่อจริง ๆ”
เฉินซีพูดไม่ออก และในที่สุดก็เข้าใจความตั้งใจของเตียนเตี้ยน
หลังจากที่พวกเขาพูดจบ ทั้งสองก็ตั้งใจจะจากไป ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังก้องออกมา “ฮึ่ม! ขอข้าดูหน่อยสิว่าใครกันกล้ารังแกหลานชายแสนดีของข้า!”
เสียงดังกล่าวสะท้อนก้องอยู่ในอากาศ ชายชรารูปร่างแข็งแรงได้โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า และปรากฏตัวขึ้นภายในภัตตาคาร เขามีเคราและผมหนา ดวงตาดุร้ายราวกับสายฟ้า ร่างกายเปล่งรัศมีอันทรงพลังที่สูงตระหง่านราวกับขุนเขาและกว้างใหญ่ดุจมหาสมุทร ส่วนระดับการบ่มเพาะนั้นช่างน่าประทับใจ เขาอยู่ในขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น!
“ท่านลุงจูหมิง! มาได้ทันเวลาพอดี เจ้าสองคนนี้มันทำให้ข้าต้องอับอายและทำให้คนของท่านพ่อได้รับบาดเจ็บสาหัส!”
เมื่อเห็นชายชราผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ลู่ชิวเยี่ยที่ถูกทุบตีจนใบหน้าบวมปูดแก้มแดงก่ำ และนั่งเศร้าโศกอยู่บนพื้นก็ฟื้นคืนความกล้ากลับมา ก่อนจะร้องขึ้นด้วยความดีใจ
เฉินซีและเตียนเตี้ยนมองหน้ากัน ทั้งคู่แสดงท่าทีแปลกประหลาดเล็กน้อย เพราะพวกเขาไม่คิดว่าจะมีสหายชราปรากฏตัวขึ้นมาจริง ๆ
“หลานชายที่รักของข้า ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ยอมให้ใครกลั่นแกล้งเจ้าได้เด็ดขาด!”
จูหมิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและเด็ดเดี่ยว หลังจากนั้นเขาก็หันกลับไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะตวัดสายตาไปทางเฉินซีราวกับสายฟ้า “สหายเต๋า ข้าสงสัยนักว่าหลานชายของข้าผู้นี้ ไปทำสิ่งใดให้เจ้าขุ่นเคืองหรือ… หืม?”
ในตอนท้ายของคำพูด ดวงตาก็เพ่งความสนใจไปที่เตียนเตี้ยนและชะงักค้าง ราวกับจำอะไรบางอย่างได้ แต่ก็ยังไม่กล้ายืนยัน คิ้วจึงขมวดหากันแน่นในทันที
“ท่านลุงจูหมิง เหตุใดจึงต้องเสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระกับพวกมันด้วย? ฆ่าเจ้าเด็กนั่นเร็วเข้า!”
เมื่อมีจูหมิงให้พึ่งพา ลู่ชิวเยี่ยก็กลับมามีทัศนคติแบบเดิม เขากุมหน้าบวม ๆ ของตน พลางตะโกนอย่างขุ่นเคือง “ส่วนสาวน้อยคนนี้ โปรดอย่าทำร้ายนาง นายน้อยคนนี้ไม่เชื่อว่า…”
ปัง!
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เฉินซีก็เค้นเสียงเย็น พลังกาลอวกาศที่ไร้รูปร่างได้ควบแน่นขึ้นในอากาศบาง ๆ เหมือนกับมือที่มองไม่เห็น ตบลู่ชิวเยี่ยให้ลอยกระเด็นออกไป
ฉากนี้เกิดขึ้นเร็วมากจนจูหมิงไม่สามารถช่วยเหลือลู่ชิวเยี่ยได้ทันเวลา เมื่อเขาตอบสนอง ลู่ชิวเยี่ยก็ถูกโจมตีอย่างหนักจนกระอักเลือด พร้อมกับฟันหลายซี่ที่หลุดกระเด็นออกมาแล้ว
ผลคือลู่ชิวเยี่ยส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับหมูป่าที่ถูกเฉือด ทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้เคียงตกใจอ้าปากค้างจนแทบลืมหายใจ
เพราะนี่คือพลังของกฎแห่งมิติขั้นสูงสุด ที่แม้แต่ตัวตนระดับราชันเซียนครึ่งขั้นอย่างจูหมิงก็ไม่เคยคิดเลยว่า เซียนปราชญ์ผู้หนึ่งจะสามารถเชี่ยวชาญพลังดังกล่าวได้ มันจึงทำให้เขาประหลาดใจจนไม่ทันระวังตัว
“เด็กน้อย เจ้าช่างอวดดีจริง ๆ!” ใบหน้าของจูหมิงมืดลงและไม่น่าดูอย่างยิ่ง เพราะเด็กที่อยู่ตรงหน้าถึงกับกล้าโจมตีลู่ชิวเยี่ยต่อหน้าเขา นี่นับเป็นการดูถูกศักดิ์ศรีอย่างยิ่ง!
ขณะที่พูดและกำลังจะเคลื่อนไหว ทันใดนั้นคลื่นพลังที่น่าสะพรึงกลัวก็พัดมาจากด้านนอกภัตตาคาร ราวกับเมฆดำที่กดทับลงมาปกคลุมเมือง ลุกลามไปทั่วร้านอาหาร
สิ่งนี้… ทำให้สีหน้าของจูหมิงเปลี่ยนไปทันที!