บทที่ 1368 รถม้าศักดิ์สิทธ์วิหคเพลิงคราม
บทที่ 1368 รถม้าศักดิ์สิทธ์วิหคเพลิงคราม
ปัง ปัง ปัง!
เสียงฝีเท้าอันหนักหน่วงดังสนั่น แผ่นดินสั่นสะเทือนประหนึ่งฟ้าร้องดังกึกก้อง ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ข้างในหรือข้างนอกภัตตาคารต่างก็มีสีหน้าซีดเผือด ทั้งยังหวาดกลัวสุดก้นบึ้งหัวใจ
เหตุไม่คาดคิดดังกล่าว ทำให้สีหน้าของจูหมิงที่โกรธจัดเปลี่ยนไป ดวงตาเบิกโพลง ตัวเขาเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ลู่ชิวเยี่ย เหล่าข้ารับใช้ และแม่นางน้อยทั้งหลายพลันตัวสั่นเทาและรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง พวกเขามองไปยังที่มาของเสียงโดยพร้อมกัน
เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะไกลอย่างชัดเจน ทุกคนต่างผงะและตกใจเป็นอย่างยิ่ง
มันเป็นขบวนรถม้าที่โอ่อ่าและงดงาม ซึ่งเคลื่อนตัวผ่านต้นเฟิงโบราณที่มีสีแดงราวกับสีของอาทิตย์อัสดง และพวกมันทะยานไปตามท้องถนนที่กว้างขวาง ทุกที่ที่พวกมันผ่านไป ฝูงชนจะถอยกลับด้วยความตกใจ
ขบวนนี้นำโดยชายสองคนที่สูงราวร้อยจั้ง และเหมือนกับเทพอสูรสองตน
ชายที่อยู่ทางซ้ายมีผิวสีทองแดงที่แข็งแกร่งดุจหินผา แผ่นหลังที่ใหญ่โตและกว้างดั่งขุนเขาก็สะพายด้วยขวานยักษ์สองเล่มไขว้กัน เขามีเคราหยิกและผมสีแดงเข้ม ทั้งยังดูห้าวหาญอย่างไร้ที่เปรียบ
ชายที่อยู่ทางขวาถูกห่อหุ้มด้วยผ้าคลุมสีดำอย่างมิดชิด ทำให้ไม่สามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของเขาได้อย่างชัดเจน เผยเพียงคางแหลมและซีดอย่างน่าสยดสยอง ในขณะที่สายโซ่สีดำสนิทก็พันอยู่รอบมือและขา โดยที่พื้นผิวของโซ่ส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยอักขระที่พร่ามัวหนาแน่น
ขณะที่ทั้งสองเปิดเส้นทาง กลิ่นอายอันน่าสะพรึงก็ครอบคลุมไปทั้งฟ้าดิน ทั้งยังแผ่แรงกดดันต่อผู้คนในระยะสองแสนห้าหมื่นลี้ ทำให้พวกเขารู้สึกหายใจไม่ออก ตัวสั่นและหวาดกลัว
เป็นเพราะร่างสูงใหญ่ทั้งสองนี้ที่ดูเหมือนเทพอสูรนั่นน่ากลัวเกินไป ดังนั้นทุกคนพลันรู้สึกตัวเล็กเหมือนมดเมื่อเผชิญหน้ากับพวกเขา
ที่เบื้องหลังเรียงรายด้วยแถวของข้ารับใช้หญิงรูปงามสวมชุดชาววังโบราณ โดยที่พวกนางยืนประกบอยู่ที่ด้านข้างรถม้าสีทองอันวิจิตรตระการตา
ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอก การแต่งกาย ท่าทาง หรืออิริยาบถ ข้ารับใช้หญิงเหล่านี้ล้วนมีกลิ่นอายที่สูงส่ง สง่างาม และสงบนิ่ง ทั้งยังมีมากกว่าหนึ่งพันคน มันจึงเป็นภาพที่ค่อนข้างงดงาม
ยิ่งไปกว่านั้น รถม้าสีทองที่อยู่ตรงกลางของพวกนางยังถูกลากจูงด้วยวิหคเพลิงนภาสายเลือดบริสุทธิ์เก้าตัว ซึ่งก็เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขอบเขต ทั้งยังดูสูงส่งและงดงามถึงขีดสุด
มีร่างที่เหมือนเทพอสูรสองตนเป็นผู้นำ มีข้ารับใช้หญิงรูปงามกว่าพันคนเป็นผู้ติดตาม และรถม้าที่ลากจูงโดยวิหคเพลิงเมฆา… ดังนั้นจึงไม่มีทางที่ขบวนใหญ่เช่นนี้จะไม่ดึงดูดความสนใจของทุกคน
ตั้งแต่ขบวนรถม้านี้เข้าสู่เมืองสารท ทุกแห่งหนก็จะบังเกิดความแตกตื่นครั้งใหญ่ และไม่มีใครกล้าขวางเส้นทางของพวกเขา
เพราะกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากขบวนรถม้านั่นน่ากลัวจนทำให้ใจสั่นสะท้าน และเกิดความยำเกรงอย่างไม่อาจควบคุมได้เมื่อมองจากระยะไกล
ทุกคนในภัตตาคารต่างตื่นตกใจ เพราะพวกเขาสังเกตเห็นว่าขบวนรถม้านี้กำลังเคลื่อนเข้ามาทางพวกตน
“นั่น… นั่น…” ฟันของใครบางคนกระทบกันขณะที่กล่าวตะกุกตะกัก
“รถม้าศักดิ์สิทธิ์วิหคเพลิงคราม!”
“นั่นคือรถม้าของราชันเซียนรัตติกาล!”
“สวรรค์! ราชันเซียนรัตติกาลคงไม่ได้มาที่เมืองสารทใช่หรือไม่?”
ลู่ชิวเยี่ย เหล่าข้ารับใช้ และแม่นางน้อยทั้งหลายตกใจมากจนตาเบิกโพลง ที่หว่างคิ้วเปี่ยมด้วยความเคารพและความเร่าร้อนที่ไม่อาจยับยั้งได้
“ต้องเป็นราชันเซียนรัตติกาลอย่างแน่นอน ครั้งหนึ่งข้าเคยมุ่งหน้าไปยังตำหนักรัตติกาลกับท่านพ่อ ข้าโชคดีที่ได้เห็นรถม้าศักดิ์สิทธิ์วิหคเพลิงคราม นึกไม่ถึงว่ามันจะปรากฏขึ้นที่นี่…” ลู่ชิวเยี่ยพึมพำขณะที่เผยสีหน้าราวกับการได้เข้าไปในตำหนักรัตติกาลนั่นเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิสำหรับตน
ทันทีที่สิ้นคำกล่าว มันก็ดึงดูดสายตาที่สื่อถึงความอิจฉาและความนับถืออย่างมากมาย
“คุณชาย ข้าคิดว่าท่านโหวไร้พันธนาการและท่านราชันเซียนรัตติกาลมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ใช่หรือไม่?”
“คุณชาย ท่านเคยเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของราชันเซียนรัตติกาลหรือไม่”
“คุณชาย หรือว่าทั้งสองคนที่เป็นผู้นำคือใต้เท้าเสวี่ยเยี่ยนและใต้เท้าชิงอิงแห่งตำหนักรัตติกาล?”
เหล่าแม่นางน้อยของลู่ชิวเยี่ยล้วนซักถามอย่างต่อเนื่อง พวกนางต่างอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างยิ่ง
ราชันเซียนรัตติกาลเป็นตัวตนสูงสุดในทวีปรัตติกาล และเป็นราชันเซียนที่ลึกลับที่สุดในภพเซียน ทั้งยังมีชื่อเสียงไม่ด้อยไปกว่าราชันเซียนดาราวีรบุรุษ ราชันเซียนวิถีลึกล้ำ และราชันเซียนเหมันต์ ทำให้สำหรับผู้บ่มเพาะจากทวีปรัตติกาล ราชันเซียนรัตติกาลจึงเป็นดั่งตำนานที่พวกเขาได้แต่เพียงแหงนหน้าขึ้นมอง!
“ข้าจะไปพบราชันเซียนรัตติกาลได้อย่างไรน่ะหรือ?” ลู่ชิวเยี่ยหัวเราะเยาะ จากนั้นก็กล่าวอย่างภาคภูมิ “บิดาของข้าก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับราชันเซียนรัตติกาล เรื่องนี้จึงนับว่าง่ายดายนัก”
ในขณะนี้ เขาเมินเฉินซีและเตียนเตี้ยนไปแล้ว ทุกความสนใจมุ่งไปยังขบวนรถม้าที่กำลังจะมาถึง
ในบรรดาผู้คนที่อยู่ที่นั่น มีเพียงสีหน้าของจูหมิงเท่านั้นที่เปลี่ยนไป และเหลือบมองเตียนเตี้ยนอีกครั้ง แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายยังคงควงแขนของชายหนุ่ม พร้อมกับเอาศีรษะแนบอิงพิงไหล่ของเขา รอยยิ้มงดงามประดับอยู่บนใบหน้าเช่นเคย
เมื่อนางสังเกตเห็นสายตาของจูหมิง รอยยิ้มที่มีเลศนัยก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเตียนเตี้ยน และมันทำให้หัวใจของจูหมิงกระตุกวูบราวกับถูกฟ้าผ่า สภาพหลังจากนั้นเหมือนวิญญาณหลุดลอย
“ท่านลุงจูหมิง อย่าปล่อยให้สองคนนี้ฉวยโอกาสหลบหนี”
ทันใดนั้น ลู่ชิวเยี่ยหายใจเข้าลึก ๆ และยืดอกขึ้น “ข้าจะไปคารวะใต้เท้าเสวี่ยเยี่ยนและใต้เท้าชิงอิงก่อน เมื่อมีทั้งสองอยู่ที่นี่ ข้าย่อมสามารถล้างแค้นศัตรูได้อย่างแน่นอน!”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็จ้องเขม็งไปที่เฉินซีและเตียนเตี้ยน เป็นสายตาที่เปี่ยมล้นด้วยความไม่พอใจ ทั้งยังเผยให้เห็นถึงราคะและความปรารถนาที่จะครอบครองหญิงงาม
เหล่าข้ารับใช้และแม่นางน้อยต่างตื่นเต้นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“ช้าก่อน!” จูหมิงเอ่ยรั้งหลานชายของตน
“ท่านลุงจูหมิง ท่านอยากให้ข้าแนะทำท่านให้รู้จักกับใต้เท้าทั้งสองหรือไม่?” ลู่ชิวเยี่ยยิ้มอย่างพึงพอใจและไม่อยากเสียเวลากับจูหมิงอีกต่อไป เขาหันหลังกลับและมุ่งหน้าออกจากภัตตาคารไปอย่างรีบร้อน
เมื่อเห็นสิ่งนี้ มุมปากของจูหมิงก็กระตุกวูบ พยายามกล่าวอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มมีเลศนัยของเตียนเตี้ยนและสายตาที่จ้องมองมา ชายชราก็ผงะทันที ทั้งยังรู้สึกขมขื่นและหดหู่ในใจอย่างยิ่ง
…
ขบวนรถม้าได้หยุดลงเมื่อมาถึงหน้าภัตตาคาร
“ข้าน้อยมีนามว่าลู่ชิวเยี่ย บิดาของข้าคือราชันเซียนลู่ชิวปิน คารวะใต้เท้าเสวี่ยเยี่ยนและใต้เท้าชิงอิง!” ในเวลาเดียวกันลู่ชิวเยี่ยก็ทะยานออกไป จากนั้นก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ
แต่รอยยิ้มพลันต้องแข็งค้าง เพราะไม่ว่าจะเป็นชายวัยกลางคนซึ่งสะพายขวานยักษ์สองเล่มอยู่บนหลัง หรือชายที่ห่อหุ้มด้วยผ้าคลุมสีดำ ต่างไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย
พวกเขาจ้องมองเข้าไปในภัตตาคารอย่างพร้อมเพรียงกัน และไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น
สิ่งนี้ทำให้ลู่ชิวเยี่ยรู้สึกอับอายจนใบหน้าร้อนผ่าว ก่อนหน้านี้เขาได้คุยโวว่าจะแนะนำเสวี่ยเยี่ยนและชิงอิงให้กับจูหมิง แต่ทั้งสองกลับไม่เหลือบแลแม้แต่หางตา
ภายใต้สายตาของทุกคนที่อยู่รอบข้าง ลู่ชิวเยี่ยรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และตกอยู่ในสภาพที่น่าอับอายราวกับเป็นตัวตลกที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ
โชคดีที่ไม่มีผู้ใดสนใจฉากนี้ เพราะความสนใจของทุกคนถูกดึงดูดโดยขบวนรถม้านี้
“ไยขบวนรถม้าจากตำหนักรัตติกาลถึงมาอยู่ที่นี่?”
“หรือว่าราชันเซียนรัตติกาลกำลังพักผ่อนและรับประทานอาหารอยู่ที่นี่?”
ตุบ!
ก่อนที่ทุกคนจะหายจากอาการตกใจ ร่างสูงใหญ่ของเสวี่ยเยี่ยนและชิงอิงก็คุกเข่าลงด้วยขาข้างหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็ประสานมือในขณะที่กล่าวพร้อมกันว่า “คารวะฝ่าบาท!”
“คารวะฝ่าบาท!”
ในเวลาเดียวกัน เหล่าข้ารับใช้รูปงามกว่าพันคนก็โค้งคำนับพร้อมเพรียงกัน ประสานเสียงไพเราะเสนาะหู ซึ่งแฝงด้วยกลิ่นอายที่สำรวมและสง่างามไปตามธรรมชาติดังก้องไปทั้งฟ้าดิน
ในขณะนี้ แม้แต่วิหคเพลิงนภาทั้งเก้าตัวที่ลากรถม้าสีทองอันหรูหราก็ยังก้มหน้าลงอย่างภาคภูมิ พลางกู่ร้องยาว
“คารวะฝ่าบาท!”
เสียงของพวกมันดังก้องไปทั่วฟ้าดิน บรรยากาศภายในภัตตาคารก็กลายเป็นหยุดนิ่งและเงียบกริบทันที ส่งผลให้ทุกคนตกตะลึง ม่านตาขยายกว้าง และร่างกายแข็งทื่อดุจก้อนหิน
“เกิดอะไรขึ้น?”
“หรือ… หรือว่าราชันเซียนรัตติกาลจะไม่ได้อยู่บนรถม้าศักดิ์สิทธิ์วิหคเพลิงคราม แต่อยู่ในภัตตาคารนี้!?”
ในบรรดาผู้คนที่อยู่ที่นี่ มีเพียงจิตใจของเฉินซีเท่านั้นที่ยังคงปลอดโปร่ง และเฝ้าดูเหตุการณ์เหล่านี้อย่างเย็นชา ทว่าลึก ๆ ก็อดตกตะลึงไม่ได้อยู่ดี
เพราะไม่คิดว่าบริวารของเตียนเตี้ยนจะมารวมตัวกันเป็นขบวนใหญ่ปานนี้เพื่อต้อนรับการกลับมาของนาง
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ชายหนุ่มพลันรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง แต่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะในขณะนี้ เตียนเตี้ยนยังคงควงแขนของเขาพลางอิงแอบแนบชิดภายใต้สายตาของทุกคนที่อยู่ที่นี่ ยิ่งกว่านั้น นางดูเหมือนไม่คิดที่จะปล่อยมือเร็ว ๆ นี้…
“ไยเจ้าถึงไม่ปล่อยมือก่อน” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะกล่าวผ่านกระแสปราณกับนาง
“เจ้าไม่คิดว่ามันสนุกหรือ?” เตียนเตี้ยนเหลือบมอง แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี
ในเวลาถัดมา สีหน้าของเตียนเตี้ยนก็กลับคืนสู่ความสงบ ดวงตางามทอประกาย และร่างของนางก็เปล่งปลั่งด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วง ทั้งยังแผ่กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวและน่ายำเกรงถึงขีดสุด
นางเดินเคียงข้างเฉินซี มุ่งหน้าออกจากภัตตาคาร
ทุกที่ที่นางผ่านไป ทุกคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงล้วนตกตะลึง เพราะสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่กดดันจิตใจและแล่นทะยานไปทั่วร่างกาย ราวกับตกลงไปในหุบเหวที่ไร้ก้นบึ้ง ทำให้รู้สึกถึงความหวาดกลัวที่ไม่ธรรมดา
โดยเฉพาะข้ารับใช้ของลู่ชิวเยี่ยและแม่นางน้อยทั้งหลาย พวกเขาตกใจจนแข้งขาอ่อนแรงและล้มลงกับพื้น ยิ่งกว่านั้น สายตาที่มองเฉินซีและเตียนเตี้ยนก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว และไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“ปะ… เป็นไปไม่ได้ แม่นางคนนั้นคือราชันเซียนรัตติกาล?”
“ลุกขึ้น” ที่ด้านนอกของภัตตาคาร เตียนเตี้ยนพลันโบกมือ ร่างกายของนางถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วงอันศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ใบหน้างดงามดูเหมือนภาพฝัน และไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนางได้ชัดเจนอีกต่อไป
“ขอรับฝ่าบาท!” ทั้งขบวนรถม้าต่างรับคำสั่งในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายน่าเกรงขามของพวกเขาพลันทำให้ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง
ในขณะนี้ เมื่อลู่ชิวเยี่ยเห็นเฉินซีและเตียนเตี้ยนยืนอยู่กลางอากาศ เขาก็ตกใจอย่างยิ่ง ทั้งยังร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว “ไม่จริง จะเป็นพวกเจ้าได้อย่างไร!?”
“บังอาจ!”
ทันใดนั้น เสวี่ยเยี่ยนผู้มีหนวดเคราหยิกและผมสีแดงเข้มก็ตวาดด้วยน้ำเสียงดุดัน แล้วฟาดฝ่ามือใส่ลู่ชิวเยี่ยอย่างแรง!