ตอนที่ 698 อาจารย์อาปู้ฉิวไม่ใช่คนดีจริงๆ
เรื่องที่ฉินเหมยเหนียงตั้งครัวเรือนสตรี ฉินหลิวซีเพียงแค่ช่วยเดินเส้นสายให้แล้วก็ไม่ได้สนใจอีก สิ่งที่นางต้องทำมีมากกว่าพวกนาง เพียงวิธีแก้พิษนั้นของเฉวียนจิ่งก็ทำให้นางต้องใช้ความคิดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแมงป่องทองที่จับมาได้แล้ว แต่กลับไม่สามารถเก็บไว้ในกล่องหยกได้ตลอดเวลา มิเช่นนั้นเมื่อเวลาผ่านไปนาน เกรงว่าพวกมันจะตาย เมื่อถึงเวลานั้นก็เสียแรงไปจับพวกมันมาไปโดยเปล่าประโยชน์
ดังนั้นช่วงหลายวันมานี้นอกจากจะช่วยฝังเข็มปรับสภาพร่างกายให้เฉวียนจิ่งและตู้เหมี่ยนแล้ว นางก็ยังค้นตำราลับในอาราม แต่ก็ยังหาวิธีทดลองพิษไม่ได้ นางจึงไปยืมตำราลับของวัดอู่เซียงที่อยู่บนยอดเขาข้างๆ แต่ก็ไม่พบสิ่งใดเช่นเดิม
ไต้ซือฮุ่ยเหนิงเตือนนางด้วยสีหน้ามีเมตตา “หากเอ่ยถึงการเล่นแร่แปรธาตุ จะต้องเป็นลัทธิเต๋า พุทธศาสนาไม่มีตำราลับเกี่ยวกับสิ่งนั้น ท่านควรจะไปดูบันทึกโบราณของลัทธิเต๋า อารามชิงหลานที่อยู่ทางด้านชิงโจวเป็นสำนักของจางเทียนซือ[1] จางเทียนซือมีวิชาการเล่นแร่แปรธาตุที่ยอดเยี่ยม บางทีอาจมีตำราเล่นแร่แปรธาตุอันล้ำค่าอยู่ในอารามชิงหลาน”
ฉินหลิวซีดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย เอ่ย “ที่ท่านกล่าวมาก็ถูก เช่นนั้นข้าจะไปรบกวนสักหน่อย” นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ท่านไต้ซือฮุ่ยเหนิงเคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาแห่งการเป็นเทพเจ้าหรือไม่”
ไต้ซือฮุ่ยเหนิงตกตะลึง “วิชาแห่งการเป็นเทพเจ้า?”
ฉินหลิวซีพยักหน้า เอ่ย “ท่านรู้หรือไม่ว่าตั้งแต่โบราณมาจนถึงตอนนี้ มีวิธีใดที่จะกลายเป็นเทพเจ้าได้บ้าง”
“เป็นเทพเจ้า” ไต้ซือฮุ่ยเหนิงเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา จากนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ยต่อ “อย่าว่าแต่เป็นเทพเจ้าเลย ในโลกมนุษย์ทุกวันนี้ พลังวิญญาณนั้นเบาบาง ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา ผู้ที่ฝึกบำเพ็ญอย่างพวกเรา แม้แต่จะก้าวสู่ความเป็นเซียนก็ยังไม่ง่าย เป็นเทพเจ้านั้นเลือนรางยิ่งกว่า อภัยให้ด้วยที่อาตมาปฏิบัติธรรมเพียงตื้นเขิน ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีคนเป็นเทพเจ้าได้”
ฉินหลิวซีไม่ได้ผิดหวังมากนักเมื่อได้ยินเช่นนี้
“เหตุใดท่านปู้ฉิวถึงได้ถามเช่นนี้” อีกฝ่ายก็รู้ถึงการมีอยู่ของกระดูกพุทธะ และรู้ด้วยว่าทั้งพุทธศาสนาและลัทธิเต๋าล้วนกำลังตามหาร่องรอยของซื่อหลัว จึงเอ่ยตอบว่า “ข้าสงสัยว่ามารเอ้อฝูซื่อหลัวผู้นั้นหนีออกมาเพื่อที่ต้องการจะรวบรวมกระดูกพุทธะ ไม่ใช่เพียงเพื่อทำร้ายราษฎรง่ายๆ เช่นนั้น แต่ปรารถนาจะเป็นเทพเจ้า”
ไต้ซือฮุ่ยเหนิงตกตะลึง ในที่สุดใบหน้าที่มีความสงบนิ่งและความเมตตาก็แปรเปลี่ยนไป “เหตุใดท่านจึงได้คาดเดาเช่นนี้”
ฉินหลิวซีมองไปยังพระพุทธรูปในห้องฉาน[2]ของอีกฝ่าย เอ่ย “เพราะว่ามีเพียงการเป็นเทพเจ้าเท่านั้นจึงจะไม่เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยที่ถูกจับคุมขังเป็นเวลานับพันปีอีก มีเพียงการเป็นเทพเจ้าเท่านั้นจึงจะเป็นผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุด ไม่มีผู้ใดเหนือกว่า”
ขณะที่นางพูดคำว่า ‘จุดสูงสุด’ นั้นแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยัน
“อมิตตพุทธ” ไต้ซือฮุ่ยเหนิงประนมมือทั้งสองข้าง การคาดเดาเช่นนี้ค่อนข้างน่าตกใจเมื่อได้ยิน หากมีแผนเช่นนี้จริงๆ เขาจะต้องใช้วิธีใด แล้วจะทำไปถึงขั้นไหน
“แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดคะเนของข้า ไม่ได้ฟันธงว่าเขาคิดจะทำเช่นนี้จริงหรือไม่ บางทีอาจเป็นข้าที่คิดมากไป”
ฮุ่ยเหนิงสงบนิ่ง จากนั้นจึงเอ่ย “ไม่ว่าอย่างไร เขาก็กำลังวางแผนการใหญ่ หากไม่สามารถหยุดได้ ทุกสรรพสิ่งจะต้องทุกข์ทรมาน”
ใครว่าไม่ใช่กันล่ะ
ฉินหลิวซีเอ่ยลาไต้ซือฮุ่ยเหนิง กลับมาที่ร้านเฟยฉางเต๋า กำชับให้เว่ยเสียดูแลร้าน จากนั้นก็พาเฮยซา ผู้ติดตามคนใหม่ไปโดยใช้วิธีย่อระยะทางไปยังชิงโจว
เมื่อทั้งสองคนมาถึงก็ยามเซิน[3]แล้ว ดวงอาทิตย์ในเดือนห้าส่องแสงบนหลังคาสีทอง เปล่งประกายสว่างไสว
“อารามเต๋าแห่งนี้ยิ่งใหญ่กว่าของพวกเจ้าอยู่บ้าง แล้วก็ใจใหญ่ด้วย” เฮยซากล่าวอย่างเวทนาขณะที่กำลังเคี้ยวซานเหอเถา[4]พลางหรี่ตามองหลังคาทองนั้น
ฉินหลิวซีจ้องเขาตาเขม่น “มีของกินอยู่ก็ยังปิดปากเจ้าไม่ได้”
เหอะ ไม่ช้าก็เร็วอารามชิงผิงจะเป็นอารามอันดับหนึ่งในใต้หล้า คอยดู!
แม้เฮยซาจะเห็นว่านางโมโห แต่ก็ยังไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรผิดไป คนผู้นี้เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้
เมื่อเดินขึ้นบันไดจากประตูภูเขา เข้าไปยังวิหารใหญ่ ก็จะเห็นรูปหล่อทองคำของจางเทียนซือ ฉินหลิวซีคำนับ จากนั้นก็เห็นใครบางคนมาอย่างเร่งรีบ
“ท่านอาจารย์อาปู้ฉิวหรือ”
ฉินหลิวซีหันศีรษะเล็กน้อย เห็นเหอหมิงที่เคยเห็นเมื่อก่อนหน้านี้เดินมาอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ท่านอาจารย์อาปู้ฉิว ศิษย์หลานคำนับ” เหอหมิงมาอยู่ตรงหน้า แล้วคำนับตามวิถีเต๋า
ฉินหลิวซีเอ่ย “หรือว่าอาจารย์ปู่ของเจ้าให้เจ้ามา”
นางเอ่ยพลางแย่งถุงผ้าใส่ซานเหอเถาใบเล็กที่เฮยซาหยิบมาแล้วยื่นให้เขา “เอาไปกิน บำรุงสมอง”
เฮยซาจ้องเขม่น อยากจะอาละวาด เมื่อได้ฟังคำว่า ‘บำรุงสมอง’ เขาที่เดิมทีผิวสีคล้ำอยู่แล้ว ยิ่งสีหน้ามืดครึ้มกว่าเดิม
อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ นางกำลังด่าว่าเขาโง่ทางอ้อม
เหอหมิงยิ้มแย้ม เอ่ยขอบคุณฉินหลิวซี สายตามองไปยังเฮยซาที่เหมือนกับภูเขาขนาดย่อม เมื่อมองดูก็ตกตะลึงเล็กน้อย
คนผู้นี้บนตัวมีพลังงานมาก
เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่าเขาตกตะลึง จึงแนะนำว่า “นี่คือเฮยซา มาติดตามอยู่กับข้าชั่วคราว”
เหอหมิง “…”
น้ำเสียงนักเลงของอาจารย์อา ทำให้คนต่อบทสนทนาได้ยากจริงๆ!
เหอหมิงคำนับเฮยซา แล้วเอ่ยกับฉินหลิวซีว่า “ท่านอาจารย์อารีบตามศิษย์หลานมาเถิด ท่านอาจารย์ปู่กำลังรอท่านอยู่แล้วขอรับ”
ฉินหลิวซีเดินตามเขาไปที่ห้องเต๋าของเจ้าอาวาสอารามชิงหลาน ผ่านเรือนเต๋าซึ่งเป็นที่พักของผู้ศรัทธา นางได้พบกับคนคุ้นเคยอีกครั้ง
“ท่านลุงซือ เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่”
เมื่อซือถูเห็นฉินหลิวซีก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ยิ้มพลางเข้ามาหา เอ่ย “ข้าควรจะเป็นคนถามซีซีเอ๋อร์จึงจะถูก เจ้ามาได้อย่างไร มาหาเย่ว์เอ๋อร์หรือ”
เมื่อเห็นเขาเอ่ยถึงซือเหลิ่งเย่ว์ ฉินหลิวซีก็มีสีหน้าอ่อนโยน เอ่ยว่า “ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ข้ามาหาท่านเจ้าอาวาสอารามชิงหลานเพื่อสอบถามเล็กน้อย กลับไปไว้ค่อยไปหานาง กลัวแต่ว่านางจะยุ่งจนไม่มีเวลาพบข้า”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้าไป ไม่แน่นางอาจจะมีความสุขมาก แต่หากเจ้ามาเร็วกว่านี้สักสองวัน ก็จะได้พบนาง” ซือถูเอ่ยว่า “สองวันก่อนเป็นวันครบรอบของท่านแม่นาง ทุกปีข้าจะมาทำพิธีที่อารามชิงหลาน แล้วก็พักอยู่ที่สักสองสามวัน”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
“อีกสักครู่ข้าจะไปจุดธูปให้กับท่านป้าซือ”
“ดีเลยๆ นางจะต้องดีใจมากแน่ๆ” ซือถูเหลือบมองเฮยซา ถามด้วยความสงสัยว่า “ชายฉกรรจ์ผู้นี้คือ?”
“เฮยซา เป็นคนติดตามอยู่กับข้า” ฉินหลิวซีเอ่ยกับเฮยซาว่า “นี่คือซือถู นายท่านตระกูลซือ และเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดทายาทเพียงคนเดียวของแม่มดขาวตระกูลซือ เจ้าเรียกว่าพี่ชายซือเถิด”
เฮยซากอดอกพลางเอ่ยอย่างเย็นชา “เรียกพี่ชายคงไม่เหมาะสมกระมัง ข้าใหญ่กว่าเขา ดูผิวพรรณเขาเนียนนุ่ม งามยิ่งกว่าบรรดาสตรีเสียอีก”
ฉินหลิวซีสีหน้ามืดครึ้ม
ช่วงนี้อยู่กับเว่ยเสียมากเกินไป ต่อสู้จนพลิกผันกลับกลายเป็นมิตรภาพ ทั้งยังพากันออกไปเตร็ดเตร่อยู่ที่หอบุปผาเหล่านั้น เรียนรู้ไวเสียจริง
“เรื่องดีๆ ไม่เรียน ไปเรียนเรื่องไร้สาระอะไรก็ไม่รู้” ฉินหลิวซีดุเขา “ให้เจ้าเรียกพี่ชายก็เรียกพี่ชาย ไม่ต้องมาบอกว่าใหญ่กว่าเขา เจ้าใหญ่กว่าเขาตรงไหน”
“ข้าใหญ่กว่าเขาทุกอย่าง”
ฉินหลิวซีหัวเราะ เหลือบมองเขาอย่างมีนัยยะพลางเอ่ยเย้ยหยัน “อย่าเอาแต่พูดโอ้อวด สวยแต่รูปจูบไม่หอม แม้แต่หมีตัวเมียก็ดึงดูดไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว”
เฮยซา “?”
ซือถูหน้าเขียว ‘ให้เสี่ยวเย่ว์ผูกมิตรกับนาง คงจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง…กระมัง’
เหอหมิงกลับมีสีหน้าเฉื่อยชา ท่านอาจารย์อาไม่ใช่คนดีอะไรจริงๆ ด้วย หยาบคายมาก แต่ข้ากลับฟังเข้าใจเสียได้!
โชคดีที่ฉินหลิวซีไม่ได้กล่าวอะไรอีก ให้ซือถูไปจัดการธุระของตัวเอง ไว้ค่อยมาคุยกับเขาในภายหลัง ส่วนตัวเองก็เดินตามเหอหมิงไป
ซือถูกำลังจะจากไป คำพูดของเฮยซาที่อยู่ข้างหน้าดังมา “นี่ เมื่อครู่ฟังจากที่เจ้ากล่าว หมายความว่าเขามีบุตรสาวหรือ เช่นนั้นบุตรสาวรูปงามเท่าเขาหรือไม่”
“ต่อให้งามแค่ไหนก็ไม่ใช่คนที่เป็นหมีอย่างเจ้าจะมาเพ้อฝันได้ ไม่ต้องถาม หากถามอีกข้าจะอัดเจ้า”
“ข้าแข็งแรงกำยำหล่อเหลาและทรงพลัง หากเชื่อฟังข้า ข้าจะนำสิ่งที่ดีที่สุดในใต้หล้านี้มอบให้แก่นาง…โอ๊ย อย่าตบหน้า!”
ซือถูปล่อยแขนเสื้อที่ดึงขึ้นลงอย่างเงียบๆ ช่างเถิด เห็นแก่ซีซี จะปล่อยเขาไปสักครั้ง!
[1] จางเทียนซือ ปรมาจาร์ยแห่งลัทธิเต๋า
[2] ฉาน หมายถึงศาสนาพุทธนิกายมหายาน หรือเรียกว่านิกายเซน
[3] ยามเซิน บ่ายสามโมงถึงห้าโมงเย็น
[4] ซานเหอเถา ถั่วพีแคน