บทที่ 552 เตรียมการ
ฤดูร้อนกำลังจะมาถึง
ในที่สุดเมืองที่วุ่นวายก็กลับมาสงบอีกครั้ง
เจ้าหน้าที่จำนวนมากจากเมืองเพี่ยวโจวและด่านชายแดนใกล้เคียง ต่างก็แห่มาแสดงความยินดีกับเนี่ยเจิ้งอ๋อง และยังพาช่างฝีมือดีจำนวนมากมาช่วยซ่อมแซมเมืองด้วย การทำศึกครั้งนี้ไม่ธรรมดา ใครก็ตามที่ไม่ได้ตาบอดต่างก็รู้ว่านั่นเป็นการรวมใจเป็นหนึ่งของคนทั้งแคว้น
และในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หากผู้ใดกล้าทำให้งานของเนี่ยเจิ้งอ๋องล่าช้า ไม่แยกแยะลำดับความสำคัญจนเสียเรื่องละก็ เช่นนั้นก็ต้องถูกลงโทษ
ดังนั้นช่างฝีมือเหล่านี้จึงรีบเร่งทำงานอย่างเต็มกำลัง คนที่ซ่อมแซมกำแพงเมืองก็ซ่อมไป ส่วนคนที่ซ่อมแซมถนนหลวงก็รีบดำเนินการเช่นกัน
อีกทั้งยังมีราษฎรจำนวนมากที่ไม่มีที่อยู่อาศัยและกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว แต่อย่างไรเสียหาปลาให้กินไม่เท่ากับสอนวิธีหาปลาให้ แทนที่จะแจกอาหารเลี้ยงไปวัน ๆ ไม่สู้จ่ายค่าแรงให้พวกเขาจะดีกว่า ดังนั้นใครไปช่วยซ่อมสะพานและถนนก็จะได้รับเงินค่าจ้างด้วย
ถึงเวลานั้นเมื่อเมืองได้รับการฟื้นฟูแล้ว ก็จะดึงดูดพวกพ่อค้าในเมืองใกล้เคียงให้เข้ามาทำการค้าอีกครั้ง
บัดนี้เมืองโยวอวิ๋นก็ได้รับอักษรลายพระหัตถ์ของไท่ซ่างหวง ที่ทรงให้คนส่งม้าเร็วนำมามอบให้ เผยยวนจึงรีบให้ช่างไปแกะสลัก
จากนั้นก็เลือกวันที่เป็นมงคล นำคำว่า ‘เมืองโยวอวิ๋น’ แกะสลักไว้บนกำแพงเมืองอย่างยิ่งใหญ่
แต่ในราชสำนักก็ใช่ว่าจะราบรื่นไปเสียหมด
บัดนี้เผยยวนสร้างผลงานใหญ่อีกครั้ง ทำให้บางคนก็เริ่มนั่งไม่ติดขึ้นมา
จึงมีการพูดต่อเบื้องพระพักตร์ไท่ซ่างหวงทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ บอกว่าการมอบอำนาจทางทหารทั้งหมดให้เผยยวนนั้น หากว่าเขาเกิดมีใจคิดเป็นอื่นขึ้นมา เช่นนั้นแผ่นดินของตระกูลเซี่ยมิเท่ากับตกอยู่ในอันตรายหรอกหรือ
ขุนนางใหญ่ที่มีความคิดเช่นนี้ก็มีจำนวนไม่น้อย สาเหตุก็คือ ต้องการแย่งความโปรดปรานมา
ทั้งหมดจึงจับตาดูเผยยวน แต่ตอนนี้เผยยวนไม่ได้อยู่ในราชสำนัก ดังนั้นใครบ้างที่ไม่อยากเป็นหานเหล่ยคนต่อไป ที่ได้รับความไว้วางใจจากว่าที่กษัตริย์
แต่คำพูดนี้พวกเขาแค่ไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ เท่านั้น
ไท่ซ่างหวงเองก็รู้ทุกสิ่งดี จึงแนะนำและเอ่ยตักเตือนพวกเขาไปเล็กน้อย ทว่าหลังจากกลับมาถึงวังก็ได้ด่าทอให้องค์หญิงใหญ่ฟังยกใหญ่
ดังนั้นในราชสำนักตอนนี้ไท่ซ่างหวงจึงรับบทเป็นคนดี ส่วนองค์หญิงใหญ่ก็รับบทคนไม่ดีไป นางทรมานขุนนางกลุ่มนี้จนพวกเขาไม่มีเวลาว่างไปสนใจว่าเผยยวนจะสร้างผลงานอะไรอีก เพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกจับผิดแล้วจะโดนตำหนิขึ้นมา
และมีเพียงหวงไท่ซุนเท่านั้นที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง และเขาก็ตั้งใจเรียนอย่างมาก ยามว่างก็มักจะไปทำงานที่ชนบทร่วมกับชาวบ้าน ประกอบกับเป็นลูกบุญธรรมของเผยยวน ดังนั้นชื่อเสียงของเขาในหมู่ราษฎรจึงเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
ทุกคนต่างรอคอยว่าที่ฮ่องเต้ผู้นี้ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และชีวิตตอนนี้ก็ดูมีความหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากที่จีฝูเย่ศึกษาการประกอบปืนพกสำเร็จ เขาก็เปลี่ยนจากหนึ่งให้เป็นสาม สร้างอาวุธอีกสามชิ้นด้วยตัวเองให้จี้จือฮวนดู
ความจริงแล้วสองวันนี้จี้จือฮวนเองก็ยุ่งมาก หลังจากเจิ้งต้าเฉียงออกมาจากหมู่บ้านตระกูลเฉินก็ติดตามนางมาโดยตลอด ต่อมาก็ได้ติดตามช่างฝีมือเก่าแก่ในกองทัพ เขาก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย และนับตั้งแต่แผนที่ของเจียงจือหวยตกอยู่ในมือของเขา เจิ้งต้าเฉียงจึงอยากลองมาตลอดว่าจะสามารถทำแผนผังทรายจำลองออกมาได้หรือไม่
เดิมก็เป็นคนหัวไวและฝีมือดีอยู่แล้ว ทั้งยังมีการแสวงหาความรู้ในด้านศิลปะเพิ่ม ดังนั้นเขาจึงทำออกมาได้ใกล้เคียงมากจริง ๆ
จากนั้นแผนผังทรายจำลองขนาดใหญ่ก็วางอยู่ในกระโจมและกินพื้นที่ด้านในไปเกินครึ่ง บนแผนที่ของเจียงจือหวยต่างมีรายละเอียดระบุไว้ชัดเจน แม้จะไม่เคยไปเห็นที่นั่นด้วยตาตัวเอง แต่เมื่อได้เห็นเมืองจำลองที่ยังไม่ถูกยึดเหล่านั้นก็ราวกับไปที่นั่นมาแล้ว
ฝีมืออันประณีตของเจิ้งต้าเฉียงนี้ ต่อให้อยู่ในยุคปัจจุบันก็นับว่าเป็นมืออาชีพที่มีฝีมือไม่เลวเลย
นอกจากนี้ทุกเมืองเขายังได้มีการจัดวางตำแหน่งการป้องกันตามที่แผนที่ระบุด้วย โดยใช้ตุ๊กตาดินเผาทำเป็นทหารตัวเล็ก ๆ ขนาดเท่าเม็ดถั่ว และมีธงทหารขยับไปมา เป็นหุ่นที่คนเดินทัพทำศึกต้องมีจริง ๆ
ใครจะไม่ชอบกันเล่า เพราะสามารถใช้จำลองการฝึกเดินทัพได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าลงแรงน้อยแต่ได้ผลตอบแทนเป็นทวีคูณ
เดิมทีจีฝูเย่คิดว่าในค่ายของกองทัพทหารเกราะเหล็กมีพระชายาที่เก่งกาจเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการเปิดหูเปิดตามากแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ายังจะมีอัจฉริยะเช่นนี้อีก
เขาเดินวนรอบแผนผังทรายจำลองหนึ่งรอบแล้วเอ่ยขึ้นมา “นี่คือธารน้ำแข็งอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ ตามแผนที่บอกว่ามีธารน้ำแข็งธรรมชาติและภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะระหว่างสองเมืองทางด้านหลัง ฟ้าตอนกลางคืนก็เหมือนกับตอนกลางวัน แทบไม่มีฤดูร้อนเลย”
เจิ้งต้าเฉียงเกาหัว “ข้าไม่เคยไปที่อื่นมาก่อน จึงไม่รู้ว่าทำออกมาเหมือนหรือไม่”
“เหมือน ข้าเคยเห็น เดี๋ยวข้าเสริมให้เจ้าอีกหน่อย” จีฝูเย่หาเก้าอี้มาตัวหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงวิเคราะห์กับเจิ้งต้าเฉียง
เจิ้งต้าเฉียงก็หยิบสมุดเล่มเล็กออกมาจดบันทึก เขาไม่รู้หนังสือ จึงอาศัยการวาดภาพเอา
คนที่มีความคิดสร้างสรรค์สองคนมาเจอกัน แม้จะคุยกันอยู่หลายวันก็ไม่รู้สึกเบื่อ
“จริงสิขอรับอาจารย์ พูดเรื่องธารน้ำแข็งข้ายังมีของดีอีกอย่างให้ท่านดูด้วย” จีฝูเย่ตบโต๊ะหนึ่งที “ซือเยียน รีบไปหยิบรองเท้าที่ใช้เดินบนน้ำแข็งคู่นั้นของข้ามาที”
ซือเยียนก็รีบไปทันที เมื่อกลับเข้ามาอีกครั้งในมือก็ถือกล่องไม้ขนาดเล็กกล่องหนึ่งมาด้วย จี้จือฮวนมองดูในกล่อง ก็พบว่าเป็นรองเท้าหนังวัวที่เสริมเหล็กเอาไว้ที่ฝ่าเท้าคู่หนึ่ง
อีกทั้งยังทำได้คล้ายกับรองเท้าสเกตในยุคปัจจุบันอย่างมาก
จีฝูเย่เอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้ข้าเคยคิดว่าเวลาเดินทัพและต้องต่อสู้บนน้ำแข็งควรทำอย่างไร เพราะหลายคนเคยถามซื้อจากข้า ดังนั้นข้าจึงวางแผนที่จะเอาของสิ่งนี้ไปให้พวกเขาหลังจากทำการค้ากับซือถูรุ่ยเสร็จ แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว หากอาจารย์คิดว่าสิ่งนี้มีประโยชน์ละก็ ข้าจะสนับสนุนท่านโดยไม่มีเงื่อนไขขอรับ”
ขอเพียงนางสละเวลาสักหน่อยยอมสอนเขาทำอาวุธก็พอ
จี้จือฮวนหยิบรองเท้านั่นออกมา พิจารณาอย่างละเอียด ซือเยียนจึงเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ “พระชายาคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
“ดีมาก ความคิดล้ำหน้ามากจริง ๆ” จี้จือฮวนคิดว่านี่เป็นของที่ไม่เลวเลยจริง ๆ
เผยยวนเคยเล่าว่าเมื่อก่อนเวลาต่อสู้ท่ามกลางหิมะ หากอยู่บนทะเลสาบน้ำแข็ง หรือยามที่ต้องขนส่งก้อนน้ำแข็งเหล่านั้น ช่างทำน้ำแข็งก็จะใช้กิ่งไม้และใบไม้เพื่อทำรองเท้ากันลื่นเช่นนี้เหมือนกัน แต่คุณภาพยังห่างชั้นจากรองเท้าที่จีฝูเย่ทำออกมาอย่างมาก
ประการแรก ต้นทุนสูงเกินไป ประการที่สอง ไม่มีใครคิดจะพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม
แต่สุดท้ายจะใช้หรือไม่ใช้ ต้องทดสอบดูก่อนจึงจะตัดสินใจได้
จี้จือฮวนจึงแนะนำจุดที่ต้องปรับปรุงสองสามจุดให้กับจีฝูเย่ โดยอ้างอิงจากรองเท้าสเกตในสมัยปัจจุบัน
จีฝูเย่ดวงตาเป็นประกายและไม่สนใจแผนผังทรายจำลองอีก เขาหยิบรองเท้าขึ้นมาก็ออกไปทันที โดยมีซือเยียนเดินตามหลังไปด้วย “คุณชาย กระโจมของพวกเราอยู่ทางด้านซ้ายเจ้าค่ะ”
“อ่อ”
จีฝูเย่เปลี่ยนทิศทางและถามอีกครั้ง “อาจารย์ขอรับ เรื่องไปหาฮั่วชิงหยางท่านไตร่ตรองดูหรือยังขอรับ หากยังไม่ไปอีกตาแก่นั่นก็จะกลับแล้วนะขอรับ”
“พวกเราจะไป ดังนั้นเจ้าไปเก็บของเถอะ พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแล้ว”
“ได้ขอรับ ข้าจะให้คนไปเตรียมตัว” จีฝูเย่ถือรองเท้าเดินบนน้ำแข็งและจากไปแล้ว
เจิ้งต้าเฉียงก็ต้องแก้ไขแบบจำลองตามที่จีฝูเย่ได้ชี้แนะเมื่อครู่ ทำให้แผนผังทรายจำลองมีความประณีตและละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม
บนลานกว้าง เหล่าทหารกำลังฝึกซ้อมกันอยู่ ตอนนี้เหล่าเชลยก็มีเยอะขึ้นเช่นกัน
เดิมทีนางคิดจะให้คนเหล่านี้ไปทำนาให้หมด แต่พวกเขากลับพบว่าหลงซีทั้งแปดเมืองหลังจากล่มสลายไปตอนนั้น ที่ดินก็ถูกเผาจนหมด ที่นาที่ยังอุดมสมบูรณ์จึงเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ดังนั้นจึงต้องซื้อข้าวจากฮั่วชิงหยาง เพราะที่ดินที่ตัวเองสามารถปลูกกินได้นั้นมีไม่มาก
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ดังนั้นต้องให้ราชสำนักส่งคนมาดู หากไม่สามารถปลูกข้าวได้ เช่นนั้นพื้นที่นี้จะไม่เท่ากับเสียเปล่าหรอกหรือ!
อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้คน จี้จือฮวนจึงคิดว่าการปลูกข้าวสำคัญกว่าการทำสงครามเสียอีก
ราษฎรมีชีวิตที่ดีขึ้น ทุกคนมีข้าวกิน ดังนั้นพวกเขาก็จะเกลียดผู้รุกรานไปด้วย เช่นนี้จึงจะสามารถสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว นี่จึงเป็นการคิดถึงราษฎรอย่างแท้จริง
ชื่อเสียงอย่างอื่นล้วนเป็นเรื่องจอมปลอม
เพราะสิ่งที่จับต้องได้จริง ๆ ก็แค่ข้าวชามหนึ่งเท่านั้น