ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 409 สมดั่งปรารถนา

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 409 สมดั่งปรารถนา

คุณหนูหวังสาม หรือก็คือหวังซื่อในตอนนี้ได้สติขึ้นมา สาวใช้ซึ่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงก็ตะโกนออกมาด้วยความปีติยินดี “พระชายาซื่อจื่อฟื้นแล้ว!”

ในไม่ช้า สาวใช้และบ่าวเฒ่าหลายคนก็เร่งฝีเท้าเข้ามาล้อมถามไถ่ทุกข์สุขหวังซื่อ

หวังซื่อจ้องตะขอเงินหลังคามุ้งเขม็งด้วยสีหน้าเหม่อลอยไร้ความรู้สึก

อารมณ์ของนางยังหยุดอยู่ที่ก่อนจะหมดสติไป

ซื่อจื่อ…เลี้ยงดูชายบำเรอหรือ

ก่อนแต่งงานก็เลี้ยงดูไว้แล้วหรือ

หวังซื่อเข้าใจถ่องแท้ขึ้นมาหลายส่วน

มิน่าล่ะ ในคืนวันแต่งงานซื่อจื่อศีรษะถึงหมอนก็หลับ มิน่าล่ะหลายวันมานี้ล้วนไม่เคยแตะต้องนาง คิดเพียงแต่จะให้นางนอนบนพื้น

ที่แท้ซื่อจื่อเป็นพวกชอบบุรุษคนหนึ่ง!

สาวใช้หน้าตาดีคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วย่อเข่าเล็กน้อย “พระชายาซื่อจื่อ พระชายาเชิญท่านไปพบเจ้าค่ะ”

หวังซื่อยังไม่ได้สติคืนกลับมาก็ถูกเหล่าสาวใช้ประคองขึ้นมาจัดระเบียบอาภรณ์ทรงผมแล้วพยุงไปยังเรือนหลัก

พระชายาผิงหนานอ๋องเองก็ได้สติแล้วเช่นกัน นางกำลังเอนกายอยู่บนตั่งกุ้ยเฟยด้วยท่าทางหดหู่ มองดูแล้วเหมือนจะชราลงไปอีกหลายปี

“พระชายา พระชายาซื่อจื่อมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”

พระชายาผิงหนานอ๋องพยักหน้า

ครู่หนึ่งหลังจากนั้น หวังซื่อก็เดินเข้ามา ย่อเข่าทำความเคารพ “เสด็จแม่”

พระชายาผิงหนานอ๋องจ้องหวังซื่อแวบหนึ่งแล้วเอ่ยกับเว่ยเหวินว่า “เหวินเอ๋อร์ เจ้าออกไปก่อน”

เว่ยเหวินที่เฝ้าอยู่ข้างๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป โดยไม่พูดอะไร

เมื่อให้ข้ารับใช้ถอยออกไปแล้ว พระชายาผิงหนานอ๋องก็ค่อยๆ เอ่ยปาก “หวังซื่อ ซื่อจื่อ…ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรกันแน่”

หวังซื่อพลันหน้าแดงก่ำ ความอัปยศอดสูผุดขึ้นในใจ

“มาถึงตอนนี้แล้ว เจ้าอย่าได้ปิดบังข้าอีก”

หวังซื่อเหลือบตาขึ้นมา นัยน์ตาคลอไปด้วยน้ำตา “ซื่อจื่อ เขา เขาไม่เคยแตะต้องสะใภ้…”

พระชายาผิงหนานอ๋องจิกที่วางแขนอย่างแรง สีหน้ายิ่งซีดขาว “เจ้าสารเลวนี่!”

ผู้ที่ชมชอบบุรุษมีมานับแต่โบราณ แต่กระทั่งไม่แตะต้องภรรยาใหม่เหมือนบุตรชายคนรองนั้น ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ

เจ้าลูกทรพีคนนี้ต้องการให้จวนผิงหนานอ๋องขาดทายาทหรือ

นึกถึงสุขภาพย่ำแย่ของผิงหนานอ๋อง ท่าทีเฉยชาของบุตรชายคนโต และความชื่นชอบเหลวไหลของบุตรชายคนรอง กลิ่นคาวหวานของเลือดก็ทะลักขึ้นมาที่ลำคอพระชายาผิงหนานอ๋อง

เรื่องผิงหนานอ๋องซื่อจื่อแย่งชิงบุรุษของคุณหนูลั่วแพร่กระจายไปทั่วถนนสายหลักและตรอกซอยในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว

ในนี้ผู้ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดก็คือ บ้านฝ่ายมารดาของพระชายาซื่อจื่อ…จวนรองเจ้ากรมหวัง

ตอนนี้รองเจ้ากรมหวังที่รู้สึกยินดีปรีดาหลังจากตกอยู่ในสภาพลำบากมานานติดต่อกันหลายวันถูกทำให้สะเทือนใจเสียจนแตกสลาย อดไม่ได้ที่จะตำหนิฮูหยินผู้เฒ่าหวังไปหลายประโยค

“ข้าบอกแล้วให้เลือกการแต่งงานในระดับเดียวกัน แต่เจ้าดันไม่ฟัง ตอนนี้เป็นเช่นไร ทุกคนล้วนหัวเราะตระกูลเราที่เลือกผูกสัมพันธ์กับตระกูลที่มีอิทธิพลอำนาจ สุดท้ายก็ตกลงมาในสภาพบอบช้ำ ย่ำแย่ไปทั้งกาย…”

ไม่รอให้รองเจ้ากรมหวังตำหนิจบ ฮูหยินผู้เฒ่าหวังก็ส่งเสียงถุยขึ้นมา “ตอนนี้ท่านมาแสดงความเห็นในเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ตอนนั้นไม่ได้สุขสมหวังดั่งใจปรารถนาหรือ ทั้งยังบอกอีกว่า การล่าสัตว์ในครั้งหน้า ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะแย่งหมูป่ามาไม่ได้อีก”

รองเจ้ากรมหวังดวงหน้าชราเห่อร้อน ถลึงตามองภรรยาเฒ่าแวบหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป

ฮูหยินผู้เฒ่าหวังโมโหคุกรุ่นอยู่ในใจ รอนายหญิงใหญ่มาอรุณสวัสดิ์ยามเช้าก็ไม่ยอมพบ

นายหญิงใหญ่ฝืนกลับไปที่เรือนท่ามกลางสายตาแปลกๆ ของเหล่าข้ารับใช้ โมโหจนปาจอกชาทิ้ง

นางนั่งลงบนตั่งกุ้ยเฟยด้วยท่าทางขวัญหนีดีฝ่อราวกับได้ยินว่าบรรดาข้ารับใช้วิพากษ์วิจารณ์อะไรบ้าง

“จุ๊ๆ คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิตจริงๆ นายหญิงใหญ่ทุ่มเทแย่งการแต่งงานที่ดีของคุณหนูใหญ่ให้คุณหนูสามสุดความสามารถ ผลคือแต่งให้กับคนที่รักเพียงผู้ชายเท่านั้น…”

“นั่นสินะ แม้ว่าคุณหนูสามเป็นชายาซื่อจื่อจะมีเกียรติ แต่หากไม่เป็นที่รักของซื่อจื่อ ในภายภาคหน้า กระทั่งบุตรก็ไม่ได้ให้กำเนิดแล้วจะไปมีประโยชน์อะไร”

นายหญิงใหญ่ผุดตัวลุกขึ้นยืนแล้วนั่งลงไปใหม่

บุตรสาวพบเจอเรื่องประเภทนี้ เดิมตระกูลมารดาสมควรไปขอคำอธิบายถึงที่ แต่อีกฝ่ายดันเป็นถึงจวนอ๋อง

นายหญิงใหญ่นึกถึงความอยุติธรรมของบุตรสาวอันเป็นที่รักก็สงสาร และนึกถึงตัวเองที่กลายเป็นเรื่องขบขันให้คนสนทนายามว่างหลังอาหารแล้วก็เจ็บปวด เพลิงโทสะอัดอั้นอยู่ในใจ นับว่าได้สัมผัสถึงความรู้สึกอยู่ไม่สู้ตายแล้ว

ส่วนคุณหนูใหญ่หวังกับคุณหนูรองหวังนั้นกลับเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง

ภายในห้องส่วนตัวของคุณหนูใหญ่หวัง คุณหนูรองหวังปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว ถึงได้พุ่งไปบนร่างพี่สาว “พี่ใหญ่ ท่านได้ยินรึยัง ตอนนั้นการแต่งงานนี้ถูกน้องสามแย่งไป ช่างโชคดีเป็นอย่างยิ่ง!”

คุณหนูใหญ่หวังมองสีหน้านึกกลัวในภายหลังของน้องสาวแล้วก็ยิ้มอ่อนโยน “นั่นสิ ช่างโชคดียิ่ง”

ความสุขในดวงตาของคุณหนูรองหวังแทบจะเอ่อล้นออกมา “พี่ใหญ่ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว น้องสามประสบกับเรื่องที่ทำให้จิตใจว้าวุ่นเช่นนี้ ข้าสมควรเห็นอกเห็นใจ แต่ไม่รู้ว่าทำไมในใจถึงรู้สึกเพียงสะใจ…”

นางคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนร้ายกาจแบบนั้น แต่ตอนนี้อยากจะฮัมเพลงอย่างอดไม่ไหว

คุณหนูใหญ่หวังอมยิ้มมองคุณหนูรองหวัง มองเสียจนคุณหนูรองหวังไม่รู้ว่าควรจะละอายใจสักหน่อยหรือไม่ ก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ความจริงแล้ว ข้าก็รู้สึกดีใจเช่นกัน”

นางไม่ใช่แม่พระ หลายปีมานี้ถูกแม่เลี้ยงทรมาน ถูกน้องสามประชดประชัน วันนี้สองคนนี้โชคร้ายแล้ว ต้องเห็นอกเห็นใจและปลอบโยนหรือ

เมื่อได้ยินวาจาของพี่สาว คุณหนูรองหวังก็แสบจมูกขึ้นมาอย่างน่าประหลาดจึงคล้องแขนคุณหนูใหญ่หวัง “พี่ใหญ่ หลังจากนี้พวกเราจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ ใช่ไหม”

คุณหนูใหญ่หวังพยักหน้าแน่วแน่ “แน่นอน”

เรื่องการแต่งงานของน้องสามกลายเป็นเรื่องน่าขบขัน ท่านย่าย่อมระมัดระวังเรื่องการแต่งงานของพวกนางสองพี่น้อง อย่างอื่นไม่ขอ หวังเพียงหาสามีที่มีศีลธรรมอันดีงาม เชื่อถือได้ ความเป็นไปได้ยังคงสูงมาก

“พี่ใหญ่ ไม่สู้เย็นวันนี้พวกเราไปร่ำสุรากันที่มีหอสุรากันเถอะ”

จังหวะและโอกาสอันเป็นสุขทำให้จิตใจเบิกบาน สมควรจะฉลองสักหน่อย

คุณหนูใหญ่หวังตบมือน้องสาว “ไว้วันหลังเถอะ ไปตอนนี้จะต้องถูกคนวิพากษ์วิจารณ์แน่”

ข่าวคราวส่งไปถึงวังบูรพาในตอนเย็น

“เหลวไหลจริงๆ!” เว่ยเชียงบันดาลโทสะต่อหน้านางกำนัล แต่ในใจกลับไม่ได้มีคลื่นความรู้สึกเท่าใดนัก กระทั่งมีความรู้สึกโล่งใจด้วย

เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นระยะนี้ทำให้เขารู้สึกถึงความไม่พอใจที่เสด็จพ่อมีต่อเขาได้เลือนราง ตอนนี้ยิ่งจวนผิงหนานอ๋องไม่ได้ความ ในทางตรงกันข้ามนั้นกลับสามารถลดแรงกดดันให้เขาได้

หากจวนผิงหนานอ๋องเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ มีผู้มีความสามารถปรากฎตัวขึ้นมาไม่ขาดสาย เกรงว่าเสด็จพ่อคงหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม

ต้องยอมรับว่า เว่ยเชียงคาดเดาความคิดของจักพรรดิหย่งอันถูกต้อง

หลังจากโจวซานรายงานเรื่องเหลวไหลของผิงหนานอ๋องซื่อจื่อต่อจักพรรดิหย่งอัน จักพรรดิหย่งอันก็สั่งคนไปกล่าวแสดงความเสียใจและส่งของบำรุงให้พระชายาผิงหนานอ๋อง ใช้น้ำเสียงในฐานะเสด็จลุงให้ขันทีไปถ่ายทอดคำติเตือนต่อเว่ยเฟิง

เมื่อเป็นแบบนี้ ความคิดที่ขุนนางและชนชั้นสูงมีต่อจวนผิงหนานอ๋องจึงลึกซึ้งและซับซ้อน

ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อเป็นคนไม่เอาไหน แต่ว่ามีองค์รัชทายาทนี่!

ขอแค่องค์รัชทายาทราบรื่นดี จวนผิงหนานอ๋องก็ไม่มีทางพ่ายแพ้

รอเรื่องครึกครื้นสับสนอลหม่านนี้สงบลง ซูเย่า บัณฑิตจอหงวนคนใหม่กลายเป็นอาลักษณ์ในราชบัณฑิตยสภาฮั่นหลินก็ถูกหัวหน้าเรียกไปดื่มชาที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่ง และได้รู้ข่าวที่จวนผิงหนานอ๋องมีความประสงค์จะเลือกเขาเป็นอี๋ปิน ที่เรียกว่าอี๋ปิน ก็คือสามีของท่านหญิงนั่นเอง

ซูเย่านิ่งเงียบไปชั่วขณะ

หัวหน้าเอ่ยเกลี้ยกล่อมเป็นนัย “จวนผิงหนานอ๋องมีท่านหญิงน้อยคนเดียว รูปโฉมและกิริยามารยาทโดดเด่น ได้รับความรักจากท่านอ๋องและพระชายามาก ในภายภาคหน้า จวนอ๋องจะต้องให้ความสำคัญกับลูกเขยเพียงหนึ่งเดียวอย่างยิ่งแน่นอน…อาลักษณ์ซูไม่ลองตั้งใจพิจารณาดูสักหน่อย”

บุตรชายไม่เอาไหนก็ต้องให้การสนับสนุนลูกเขยอย่างสุดความสามารถ

ซูเย่าเอ่ยยิ้มๆ “เรื่องสำคัญเฉกเช่นการแต่งงานจำเป็นต้องให้บิดามารดาเป็นผู้ตัดสินใจขอรับ”

“ได้ยินมาว่าบิดาของเจ้าใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้วสินะ?”

“ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ได้รับจดหมาย น่าจะมาถึงภายในสามวันห้าวันนี้ขอรับ”

หัวหน้าหัวเราะขึ้นมา “เช่นนั้นก็สามารถหารือสักหน่อยได้พอดีเลย อาลักษณ์ซู ต้องรู้จักมองการณ์ไกลนะ”

หลังจากนั้นหนึ่งเดือนกว่าก็มีข่าวการหมั้นหมายระหว่างซูเย่า บัณฑิตจอหงวนซูเย่ากับท่านหญิงน้อยแห่งจวนผิงหนานอ๋องออกมา

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท