ตอนที่ 410 โอกาสอันดี
ตอนที่ข่าวแพร่ไปถึงมีหอสุรา หงโต้วกำลังนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ในห้องโถงใหญ่
เมล็ดแตงที่ผัดจนหอมอร่อย ทิ้งเปลือกเมล็ดแตงลงบนพื้นที่กวาดสะอาดจนไร้ฝุ่น ไม่ต้องพูดเลยว่ารู้สึกเป็นอิสระมากเพียงใด
“พี่ใหญ่หงโต้ว ท่านจะคายเปลือกเมล็ดแตงลงในนี้ไม่ได้หรือ“ สือเยี่ยนย้ายตะกร้าสานไม้ไผ่ใบเล็กหนึ่งใบมา
หงโต้วกลอกตาใส่สือเยี่ยนแล้วสนทนากับโค่วเอ๋อร์ขึ้นมา
“เจ้าว่าซูเย่าคนนั้นตรงนี้มีปัญหาหรือไม่” หงโต้วชี้ไปที่ศีรษะ “ตอนที่คุณหนูของพวกเราถูกใจเขา เขาไม่ยินยอม สุดท้ายดันไปถูกใจท่านหญิงน้อยคนนั้นแทน”
สือเยี่ยนที่ยืนอยู่อีกด้านก็กลอกตาเช่นกัน
หากไม่ได้กินอาหารที่คุณหนูลั่วทำและแสดงความเห็นด้วยจิตใจเที่ยงธรรม บัณฑิตจอหงวนท่านนั้นก็ไม่ได้เลือกผิดนะ
คุณหนูลั่วที่เลี้ยงดูนายบำเรอกับท่านหญิงน้อยที่สุภาพเรียบร้อย เป็นคนก็ล้วนรู้ว่าต้องเลือกอย่างไร
แน่นอนว่า สถานการณ์ที่แท้จริงไม่ได้เป็นแบบนี้ ทำได้แค่เอ่ยว่าปุถุชนคนธรรมดาเหล่านี้ไม่ได้ค้นพบข้อดีของคุณหนูลั่ว
โค่วเอ๋อร์คายเปลือกเมล็ดแตงออกมาแล้วเม้มปาก “บอกแต่แรกแล้วว่าเขาใช้ไม่ได้ ว่าแล้วเชียวว่าพูดได้ถูกต้อง”
เว่ยหานก้าวเท้าเข้ามา ได้ยินวาจาของโค่วเอ๋อร์พอดี
ใครใช้ไม่ได้หรือ
สือเยี่ยนตาไว เห็นเว่ยหานก็ก้าวเข้าไปต้อนรับทันที “นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว”
เว่ยหานกวาดตามองโค่วเอ๋อร์แวบหนึ่ง พลางถามสือเยี่ยนนิ่งๆ “คุณหนูลั่วล่ะ?”
“คุณหนูลั่วอยู่ด้านหลังขอรับ”
เว่ยหานพยักหน้าน้อยๆ เอ่ยกับโค่วเอ๋อร์ว่า “รบกวนไปบอกคุณหนูลั่วหน่อยว่า ข้ากลับมาแล้ว”
“ท่านอ๋องรอสักครู่เจ้าค่ะ” โค่วเอ๋อร์เดินบิดกายเข้าไปด้านหลัง
เว่ยหานนั่งลงในที่ใกล้ๆ พลางถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นในระยะเวลาที่ข้าไม่อยู่เมืองหลวงหรือไม่”
ก่อนออกจากเมืองหลวง เขากำชับสือเยี่ยนไว้ว่า หากเกิดเรื่องอะไรกับคุณหนูลั่วก็ให้ส่งจดหมายมาถึงเขา แต่ทว่ากระทั่งกระดาษสักใบก็ไม่ได้รับ
“ก็ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรขอรับ…” สือเยี่ยนเป็นคนฉลาด รู้สึกได้ถึงแววตาที่เปลี่ยนเป็นเย็นชาของนายท่านจึงรีบตอบว่า “เรื่องเล็กน้อยที่เกี่ยวกับคุณหนูลั่วนั้นมีอยู่สองเรื่องขอรับ”
“พูด”
“ก่อนหน้านี้ไม่นาน ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อลักพาตัวฟู่เสวี่ยไป…”
เว่ยหานฟังเงียบๆ จนจบ เขาหลุบตาลง จิบชาไปคำหนึ่ง “อีกเรื่องล่ะ”
หงโต้วแย่งตอบ “ซูเย่าหมั้นหมายกับท่านหญิงน้อยแห่งจวนผิงหนานอ๋องเจ้าค่ะ”
เว่ยหานมองสือเยี่ยนอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง
ซูเย่าหมั้นหมายกับเว่ยเหวิน เกี่ยวข้องอะไรกับคุณหนูลั่วด้วย?
สือเยี่ยนที่รู้สึกได้ถึงอันตราย เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ข้าน้อยพูดผิดไปขอรับ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณหนูลั่วมีเรื่องนั้นเรื่องเดียว”
ตอนนี้โค่วเอ๋อร์เลิกม่านออกมา “ท่านอ๋อง คุณหนูของพวกเราเชิญท่านไปที่ลานบ้านเจ้าค่ะ”
เว่ยหานวางจอกชา ลุกขึ้นเดินไปข้างใน
ต้นลูกพลับกลางลานกว้างผลิดอกใบ ผลดิบห้อยอยู่บนกิ่งก้าน
เด็กสาวรอเงียบๆ ข้างต้นลูกพลับ แสงอาทิตย์ส่องผ่านกิ่งก้านลงบนตัวนาง เคลือบอาภรณ์สีขาวของนางให้มีสีทองอ่อนๆ
เว่ยหานอดเร่งฝีเท้าไม่ได้
ลั่วเซิงชี้ไปทางม้านั่งหินตรงข้ามโต๊ะหิน “ท่านอ๋องนั่งเถอะเจ้าค่ะ”
เว่ยหานนั่งลง มองลั่วเซิงอย่างละเอียดแวบหนึ่ง
สีหน้าสงบนิ่ง แววตาอบอุ่น ท่าทางไม่เหมือนโมโหเขา
เขาออกไปข้างนอกนานขนาดนั้น คุณหนูลั่วอาจจะลืมไปแล้ว…
เว่ยหานแอบโล่งใจ ขณะยื่นของขวัญไปให้ “นำของพื้นเมืองมาฝากคุณหนูลั่วเล็กน้อย”
ชายหนุ่มเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางตะลอน ของขวัญที่ตั้งใจห่อ กลายเป็นความแตกต่างที่แจ่มชัดขึ้นมาชั่วขณะ
ลั่วเซิงซึ่งอยู่ในเสี้ยววินาทีแห่งการดิ้นรนต่อสู้ระหว่างยกเลิกการแถมอาหารกับแสร้งทำเป็นลืม รับของขวัญมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ขอบคุณท่านอ๋องมาก”
ช่างเถอะ หากหลังจากนี้ยังกล้าลูบศีรษะนางอีก ค่อยยกเลิกการแถมอาหารให้ก็ยังไม่สาย
ทว่าตอนนี้ ย่อมมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องหารือ
“ท่านอ๋องตามข้ามา”
สองคนลุกขึ้น เดินเข้าไปในเรือน
แสงอาทิตยต้นเดือนหกนั้นแรงเล็กน้อย เด็กหนุ่มที่ผ่าฟืนอยู่ข้างกำแพงมองมาทางนี้แวบหนึ่ง ถึงกับรู้สึกเคยชินจนเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ
เด็กหนุ่มสะบัดเหงื่อ ผ่าฟืนต่อไป
เสียงผ่าฟืนน่าเบื่อลอยเข้ามาในเรือน เว่ยหานกลับรู้สึกรื่นหูยิ่ง
ว่าแล้วเชียวว่า ที่ไหนก็ล้วนไม่สู้กลับมาที่นี่
เว่ยหานรินชาให้ลั่วเซิงและรินให้ตัวเองจอกหนึ่งเช่นกัน
ยามน้ำชาเข้าปาก หลังรสชาติขมปร่าคือความหวานเบาบาง
ชานั้นเป็นชาดี
เขาหยิบขนมสะระแหน่หนึ่งชิ้นในจานขึ้นมากิน
ขนมสะระแหน่เย็นชุ่มชื่นคอ อร่อยมาก
ลั่วเซิงนิ่งเงียบ
ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดคิดไปเองหรือไม่ ไคหยางอ๋องคล้ายจะมีท่าทางสนิทสนมกว่าตอนก่อนออกไปเสียอีก
การค้นพบนี้ทำให้นางเกิดความคิดบุ่มบ่ามที่จะยกเลิกการแถมอาหารให้อีกครั้ง
การที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้น ทำให้บุรุษคนนี้ได้คืบจะเอาศอกอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ สินะ?
ตอนที่นิ่งเงียบ เว่ยหานก็กินขนมสะระแหน่ชิ้นที่สองแล้ว
“ท่านอ๋องยังกินไม่อิ่มหรือ”
ลั่วเซิงขยับริมฝีปากแล้วลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นท่านอ๋องกินไปก่อน ข้าจะไปหยิบของสิ่งหนึ่ง”
เว่ยหานมองส่งเงาร่างสายนั้นเข้าไปห้องด้านในและไม่ได้กินขนมสะระแหน่อีก
อย่างไรเสีย เขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบกินขนมหวาน
ไม่นานนัก ลั่วเซิงก็เดินออกมา พร้อมกับยื่นสมุดรายชื่อไปให้ “ได้มาจากจูอู่”
เว่ยหานรับสมุดรายชื่อมาอ่าน สีหน้าพลันเย็นชา องค์รัชทายาทมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้อย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ
ลั่วเซิงมองดูปฏิกิริยาตอบสนองของเว่ยหานเงียบๆ
เว่ยหานปิดสมุดรายชื่อ ฟื้นกลับสู่ความสงบนิ่ง “คุณหนูลั่วมีความคิดอย่างไรต่อองค์รัชทายาท”
ลั่วเซิงเอ่ยเสียงเย็น “เขาเป็นตัวการเบื้องหลังในการทำให้บิดาข้าเข้าคุก ข้าย่อมไม่อยากเห็นเขาได้ใช้ชีวิตสุขสบาย”
“เช่นนั้นข้าจะเก็บสมุดรายชื่อไว้ก่อน ค่อยหาโอกาสมอบให้ฮ่องเต้”
“ท่านอ๋องไม่ได้วางแผนจะมอบให้เดี๋ยวนี้หรือ”
เว่ยหานส่ายหน้า “ในเมื่อต้องการจัดการกับองค์รัชทายาท เมื่อลงมือแล้วก็ไม่อาจให้เขามีโอกาสในการพลิกตัวฟื้นกลับมาได้อีก การมอบสมุดรายชื่อนี้ขึ้นไป ย่อมสามารถทำให้ฝ่าบาทพิโรธได้ แต่กลับไม่มากพอ”
ยังไม่มากพอที่จะให้ฝ่าบาทเดือดดาลจนถึงขั้นตัดสินใจถอดถอนตำแหน่งองค์รัชทายาทได้
แบบนี้ล่ะก็ มิสู้อดทนรอโอกาสอันดีดีกว่า
ลั่วเซิงยิ้ม “ข้าก็คิดว่ารออีกหน่อยจะดีกว่า”
รอดูว่าทางเซียวกุ้ยเฟยจะมีข่าวดีส่งมาหรือไม่
เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปถึงเดือนเจ็ด ต้นไม้ถึงช่วงเบ่งบานที่สุด เสียงร้องจั๊กจั่นทำให้คนรำคาญเล็กน้อย
ภายในวังอวี้หวา ขันทีน้อยหลายคนปีนขึ้นไปบนต้นไม้สูงจับจั๊กจั่น
ระยะนี้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงไม่ค่อยสบายพระวรกาย ไม่อาจให้จั๊กจั่นเหล่านี้รบกวนเหนียงเหนียงได้อีก
ตอนนี้เซียวกุ้ยเฟยยังไม่ได้นอน
“เหนียงเหนียง หมอหลวงมาตรวจชีพจรเพคะ”
“ให้เข้ามา”
ไม่นานนักหมอหลวงก็เดินเข้ามาเบาๆ พลางตรวจชีพจรให้เซียวกุ้ยเฟยด้วยสีหน้าท่าทางเคารพนบนอบและระมัดระวัง
การตรวจสุขภาพครั้งนี้เนิ่นนานไม่สิ้นสุด
เซียวกุ้ยเฟยกวาดตามองหมอหลวงแวบหนึ่ง มุ่นคิ้วเล็กน้อย
ความสามารถของหมอหลวงที่จับชีพจรให้กับผู้สูงศักดิ์ในวังหลวงบ่อยๆ เหล่านั้นฝึกฝนจนสีหน้าไม่เปลี่ยน แม้ว่าภูเขาไท่ซานจะพังทลายลงมานานแล้ว ทำไมหมอหลวงหยางถึงได้ผิดปกติเช่นนี้
“หมอหลวงหยาง ข้าเป็นอะไรกันแน่” รออยู่สักพักหนึ่งก็ไม่เห็นหมอหลวงจะพูดอะไร เซียวกุ้ยเฟยจึงถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่
หากเป็นยามปกติ นางคงดูแคลนการบันดาลโทสะใส่คนนอกวังอวี้หวาง่ายๆ แต่หลายวันมานี้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้หงุดหงิดอารมณ์ร้อนเล็กน้อย
“เหนียงเหนียงรอสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเปลี่ยนไปยังมืออีกข้างหนึ่ง
เซียวกุ้ยเฟยเห็นเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผากหมอหลวง ในใจก็หนักอึ้ง
ในปีที่ผ่านๆ มา เมื่อถึงช่วงหน้าร้อน แม้ว่านางจะไม่มีชีวิตชีวาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รุนแรงขนาดนี้ หรือว่าจะป่วยหนักอะไร
มีเสี้ยววินาทีหนึ่งที่เซียวกุ้ยเฟยคิดไปยังทิศทางหนึ่ง ทว่ากลับถูกปัดทิ้งอย่างรวดเร็ว
เพราะว่าคาดหวังมากเกินไป ในทางตรงข้ามจึงไม่กล้าคิดถึง
มักจะรู้สึกว่า การแสดงออกถึงความคาดหวังนั้น จะผิดหวังง่ายดายกว่า
ตั้งครรภ์หรือ นั่นเป็นสิ่งที่ไม่อาจคิดโดยเด็ดขาด