บทที่ 244 ความรู้สึกของการเป็นคนไร้ค่าช่างยอดเยี่ยมนัก
บทที่ 244 ความรู้สึกของการเป็นคนไร้ค่าช่างยอดเยี่ยมนัก
หลิงเยว่ไม่ได้เปล่งเสียงใด ๆ เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่ม แต่กลับจ้องมองเขาเงียบ ๆ
เด็กหนุ่มรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อถูกมอง จึงยิ้มอย่างซื่อ ๆ “จริง ๆ แล้วข้าแค่เรียกไปเรื่อยเปื่อย หลังของท่านพี่นั้นจดจำได้ง่าย ข้าไม่คิดว่า… จะเป็นท่านจริง ๆ”
เรียกไปเรื่อยเปื่อยงั้นรึ?
หึ ๆ หลิงเยว่ เรียกยานบินขึ้นมา กระโดดขึ้นไปแล้วหายวับไปในพริบตา
เด็กหนุ่ม “?”
ท่านพี่อวี้จากไปได้อย่างไร ทั้งที่นัดหมายกันไว้แล้วว่าจะให้รอที่เมืองเฉียนซี!
หลิงเยว่เพิ่งชะลอความเร็วลงเมื่อมองไม่เห็นเมืองเฉียนซี โลกใบนี้ช่างเล็กเสียจริง ที่แท้ก็มาเจอกับศิษย์น้องของอวี้เจินเสียได้
ระหว่างทางไปสนามรบโบราณแห่งเฉียนซี หลิงเยว่ก็ได้พบกับผู้คนมากมายยิ่งขึ้น จุดหมายปลายทางของพวกเขาดูจะเหมือนกับนาง
“นี่! แม่นางผู้เลอโฉม เจ้าจะไปที่สนามรบโบราณเช่นกันใช่หรือไม่ มาเข้ากลุ่มกับพี่ชายคนนี้สิ อยู่คนเดียวไม่ปลอดภัยหรอก”
ผู้บำเพ็ญที่บินผ่านข้าง ๆ ส่งสายตาเจ้าชู้มาให้หลิงเยว่
“สาวน้อย เจ้ามาเถอะ พวกเราไม่ใช่คนเลว” ผู้บำเพ็ญหน้าโหดข้าง ๆ พยายามยิ้ม แต่กลับยิ่งน่ากลัว ถ้าหากจิตใจของหลิงเยว่ไม่แข็งแกร่งพอ นางคงกรีดร้องออกมาเป็นแน่
สุภาษิตกล่าวไว้ว่าหน้าตาเป็นเครื่องสะท้อนจิตใจ คนสองคนหน้าตาโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ ดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่คนดี
หลิงเยว่ไม่ได้สนใจพวกเขา นางเร่งความเร็วเพื่อแสดงเจตนารมณ์ของนาง ทันทีที่นางเร่งความเร็ว เครื่องบินข้าง ๆ ก็ไล่ตามมาเช่นกัน
“แม่นางอย่าเพิ่งรีบหนีสิ พวกพี่ชายเชิญเจ้าเข้ากลุ่มก็เพื่อประโยชน์ของเจ้า เข้าไปในวิหารเสินโม่คนเดียวไม่ได้นะ ต้องไปอย่างน้อยสามคน เจ้าไม่รู้รึ?”
หลิงเยว่ไม่รู้ และแม้ว่านางจะรู้ นางก็จะไม่รวมกลุ่มกับพวกจิตใจไม่ดีเหล่านั้น นางมีสมาชิกสามคนอยู่แล้ว หนึ่งตัว หนึ่งดอก รวมเป็นสามก็ไม่ผิด
ถ้าต้องการคนเป็นร้อย นางยังมีลูกหลานเหลนเยอะแยะเพียงพอที่จะมารวมกลุ่มแล้ว
ผู้บำเพ็ญทั้งสี่ที่โดนหลิงเยว่เมิน ก็ไม่หมดกำลังใจ ยังคงช่วยกันเกลี้ยกล่อมหลิงเยว่อยู่ข้าง ๆ
การเกลี้ยกล่อมไม่ได้ผลกับนาง กลับได้ข้อมูลเกี่ยวกับสนามรบโบราณจากคำพูดของพวกเขามากมาย
เดิมทีสนามรบโบราณมิได้มีแค่ที่เฉียนซี ยังมีที่ดินแดนทางตอนใต้ ตอนเหนือ และตะวันออกอีกด้วย แต่ละแห่งจะเปิดเป็นครั้งคราวทุก ๆ ร้อยปี ครั้งนี้เวียนมาถึงเฉียนซีแล้ว
นอกสนามรบโบราณมีปีศาจอยู่หนาแน่น หากพลาดปล่อยให้เข้าสิงร่างกายจะกลายเป็นอสูรมารโดยสิ้นเชิง คิดได้แต่เรื่องฆ่าฟัน ไม่นับเป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว
ถึงแม้จะอันตรายขนาดนี้ ก็ยังมีผู้บำเพ็ญมานับไม่ถ้วน เนื่องจากในสนามรบมีทั้งสมบัติวิเศษ ศาสตราวุธของผู้บำเพ็ญที่ตายมากมายมหาศาล แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญคือภายในวิหารเสินโม่มีถ้ำมรดกของผู้บำเพ็ญระดับสูงมากมายที่ล้มตายไปแล้ว
ขอแค่ได้สืบทอดสักอัน ก็ถือเป็นโชคใหญ่หลวงนัก!
หลิงเยว่ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ สนใจเพียงร่างแยกของจอมปีศาจเท่านั้น
พาหนะบินในอากาศมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เมืองที่บินผ่านก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คน หลิงเยว่คิดว่าตัวเองได้ข่าวสารจากระบบเป็นกลุ่มแรก แต่ไม่คิดว่าข่าวนี้คนในโลกระดับผู้บำเพ็ญเซียนแทบจะรู้กันทั่ว!
ไม่แปลกใจเลยว่าตอนจะออกเดินทาง ท่านอาจารย์ถึงได้ฝากฝังเรื่องความปลอดภัยไว้ และยังมอบลูกแก้วเม็ดเล็กที่ป้องกันมารร้ายเข้าสู่ร่างกายให้ด้วย เดิมทีท่านคงเดาว่านางจะมาที่เฉียนซี
บริเวณโดยรอบสนามรบโบราณเฉียนซีถูกปีศาจยึดครองจนหมดสิ้น ยานบินยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ขัดข้องทันที
“สาวงาม รีบเก็บยานบินเสีย แล้วลงมาเถอะ!”
ผู้บำเพ็ญทั้งสี่ที่ตามหลิงเยว่อยู่ตลอดเวลาถึงกับมีชีวิตชีวาขึ้นมา พวกเขารอคอยช่วงเวลานี้มานานแล้ว
เมื่อสลัดผู้เกาะติดทั้งสี่ไม่ออก หลิงเยว่กลับอยากรู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร จึงเก็บยานบินอย่างใจเย็น
แต่ใครจะคิดว่าทันทีที่ลงมา กลับพบกับมีดเล่มโตที่พุ่งเข้ามา มีดเล่มโตเปล่งประกายไฟลุกโชน พุ่งตรงมาที่ศีรษะของนาง
หลิงเยว่รีบถอยหลัง ชายฉกรรจ์ที่อยู่ข้างหลังรออยู่แล้ว ยกกำปั้นขึ้นมาทุบ
กำปั้นยังมิได้กระทบ หัวหน้าตะขาบมรกตสีปีกก็พ่นน้ำลายใส่ เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น แต่กลับเงียบงันไปทันที คนเป็น ๆ ก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นแอ่งน้ำสีน้ำตาลไปในพริบตา
“จะสู้ต่อหรือไม่?”
ผู้บำเพ็ญสามคนที่เหลือ เห็นดังนั้นก็ไม่กล้าสู้แล้ว รีบแตกกระเจิงหนีไปคนละทิศละทาง
ฉากนี้ยังทำให้ผู้บำเพ็ญที่แอบซ่อนตัวในมุมมืด ที่คิดจะฉกฉวยโอกาส สั่นสะท้านไปทั้งตัว เห็นได้ชัดว่าผู้ที่กล้ามาที่สนามรบโบราณเพียงลำพัง ล้วนเป็นพวกเหี้ยมโหด ไม่อาจแย่งชิงได้ ไม่อาจแย่งชิงได้จริง ๆ
“ช่างไร้ประโยชน์นัก!”
หัวหน้าตะขาบมรกตสี่ปีกที่เพิ่งเตรียมจะยืดเส้นยืดสายพลันเบ้ปากอย่างเซ็ง ๆ ทั้งสี่ล้วนอยู่ในขอบเขตจินตานขั้นปลาย ไม่เพียงพอให้ข้ากินแม้เศษฟัน!
หลิงเยว่ยิ้มอย่างเบิกบาน มีหัวหน้าตะขาบมรกตอยู่ด้วย นางดูเหมือนไม่จำเป็นต้องลงมือทำเอง การเป็นคนไร้ประโยขน์ช่างรู้สึกดีจริง ๆ!
“ข้าหิวแล้ว ปิ้งอะไรอุ่น ๆ มากินเถิด”
เมื่อไม่มีคู่ต่อสู้แล้ว หัวหน้าตะขาบมรกตจึงเลือกที่จะใส่ใจเรื่องกิน เดินทางมาอย่างรวดเร็วเกือบสี่เดือน ล้วนกินเสบียงสำรองทั้งสิ้น เสบียงของมันใกล้จะหมดสิ้นแล้ว!
หลิงเยว่นำเตาปิ้งออกมา จุดไฟ วางอาหารทะเลนานาชนิด แล้วทำน้ำจิ้ม รอสุกแล้วจิ้มกินก็อร่อย
กลิ่นอาหารทะเลและกลิ่นประหลาดจากสนามรบโบราณผสมผสานกัน ทำให้กลิ่นแปลกประหลาดยิ่งขึ้น ทั้งเหม็นทั้งหอม…
หมู่ผู้บำเพ็ญห้าคนที่ยิ่งเข้าใกล้พื้นที่ที่หลิงเยว่อยู่ กลิ่นหอมของอาหารยิ่งชัดเจน
ผู้บำเพ็ญที่อยู่หน้าสุดดมกลิ่นแปลกประหลาด “ได้กลิ่นหรือไม่?”
“ได้กลิ่นแล้ว กลิ่นปิ้งอาหาร”
รอบ ๆ มีผู้คนมากมายแอบซ่อนอยู่ รอคอยการเปิดประตูของวิหารเสินโม่ บางคนระหว่างรอก็รู้สึกเบื่อจึงปิ้งย่างอาหารกิน มีอะไรแปลกหรือ?
“การปิ้งย่างอาหารไม่แปลก แต่ประหลาดตรงที่… มีคนปิ้งย่างมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตายกันหรือ?”
เมื่อได้ยินเสียงดัง หลิงเยว่จึงหันกลับไปมองแต่ก็ไม่เห็นผู้ใด นางจึงไม่สนใจนัก แล้วหันกลับมาปอกเปลือกกุ้งต่อ
หัวหน้าตะขาบมรกตมองหลิงเยว่ที่เรื่องมากด้วยความรังเกียจ เปลือกกุ้งที่ย่างจนกรอบเช่นนี้ หากรับประทานพร้อมกับเนื้อแน่น ๆ ด้านใน ย่อมได้รสชาติอันวิเศษนัก แต่นางกลับนำมาปอกเปลือกเสียได้!
หัวกุ้งก็ไม่กิน!
เสียของนัก!
หัวหน้าตะขาบมรกตงับกุ้งตัวใหญ่กว่าตัวมันคำเดียวโดยไม่สนใจทั้งห้าผู้มาใหม่ ซึ่งล้วนเป็นกุ้งตัวเล็ก ๆ ที่มันสามารถกลืนกินได้ด้วยน้ำลายคำเดียว!
“ท่านพี่สาวผู้นี้ ช่างมีความสุขเสียจริง”
น้ำเสียงนี้ช่างคุ้นหูนัก… หลิงเยว่จึงหันกลับไปมอง
“ท่านพี่… อวี้เจิน?!”
“ฉีซิวซี?!”
หลิงเยว่ตกใจจนเนื้อกุ้งในปากแทบจะกลืนไม่ลง
ยอดเขาบ่มเพาะกายาสุขสำราญ ผู้ฝึกสามแก่นปราณได้ในเวลาเดียวกัน ผู้มีรูปโฉมสุภาพอ่อนโยนราวกับหยกขาวไร้มลทิน แต่ยามลงมือกลับโหดเหี้ยมยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อร่วมมือกับน้องสาวอันเป็นที่รักรุมซ้อมนาง เมื่อได้เห็นฉีซิวซี หลิงเยว่พลันรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในกาย
“ท่านพี่เจิน ท่านเรียนรู้วิธีการย่างของกินมาตั้งแต่เมื่อใด?”
ฉีซิวซีคิดอยู่เสมอว่าบุคคลตรงหน้ามิใช่อวี้เจินตัวจริง ทว่าแววตาและรูปโฉมกลับตรงกันทุกประการ
“ก็แค่จะย่างของมากิน มีอะไรยากนัก?” หลิงเย่วตอบ
“ข้าเพิ่งติดต่อกับศิษย์พี่อวี้เจินไป นางยังไม่ถึงเฉียนซี”
ฉะนั้นอวี้เจินตรงหน้าผู้นี้ ย่อมไม่ใช่อวี้เจินตัวจริง!
สือเชี่ยนก้าวออกมาจากความมืด สีหน้าเย็นชา ไม่พูดพร่ำทำเพลง ชักอาวุธออกมาชี้ไปที่หลิงเยว่ “บอกมา เจ้าแอบอ้างเป็นอวี้เจินมีจุดประสงค์ใด!”
ฉีซิวซีได้ยินดังนั้น จะยอมได้อย่างไร เขาจึงยกกำปั้นขึ้นชกหลิงเยว่ทันที