รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 983 ลูกศิษย์ทั้งหลายออกโรงพร้อมเพรียง เป้าหมายคือหลี่จิ่วเต้า!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

บทที่ 983 ลูกศิษย์ทั้งหลายออกโรงพร้อมเพรียง เป้าหมายคือหลี่จิ่วเต้า!

บทที่ 983 ลูกศิษย์ทั้งหลายออกโรงพร้อมเพรียง เป้าหมายคือหลี่จิ่วเต้า!

“ข้าจะปฏิบัติตัวอย่างระแวดระวัง ไม่เคลื่อนไหวร่างจริง เคลื่อนไหวเพียงร่างจำแลงเท่านั้น”

พี่ใหญ่แห่งสามมหากาฬแห่งปรโลกเอ่ย “นี่เป็นร่างจำแลงที่ข้าตั้งใจสร้างขึ้น เป็น ‘เอกเทศ’ ไม่มีการเชื่อมต่อกับร่างต้นอย่างข้า ต่อให้เกิดเรื่องก็มิต้องกลัว”

“เช่นนี้ย่อมได้!”

“ได้เลย!”

อีกสองมหากาฬพยักหน้า เช่นนี้นับว่าปลอดภัยกว่าการออกโรงด้วยร่างจริงมากนัก

จากนั้น พี่ใหญ่แห่งสามมหากาฬปรโลกเคลื่อนไหว ปล่อยร่างจำแลงพิเศษของตนออกไปเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรที่หลี่จิ่วเต้าพำนัก ออกตามหาหลี่จิ่วเต้า

พวกเขาคอยจับตาดูหลี่จิ่วเต้ามาตลอด และคิดเช่นกันว่าหลี่จิ่วเต้าได้รับการเตรียมการบางอย่างที่ท่านอาจารย์ทิ้งไว้ให้

พวกเขาต้องการเจาะลึกผ่านหลี่จิ่วเต้าเพื่อให้ได้ข้อมูลมามากกว่านี้

ส่วนการต่อสู้ระหว่างสมาชิกปรโลกและสมาชิกปริภูมิเวลานั้น พวกเขาไม่ได้สั่งให้หยุดยั้งแต่อย่างใด ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อเพื่อยื้อฝ่ายปริภูมิเวลา ให้พวกเขาทุ่มเทกายใจทั้งหมดในศึกนี้ ไม่ไปจัดการหลี่จิ่วเต้า ส่วนพวกเขาจะกำราบหลี่จิ่วเต้าโดยฉวยโอกาสทีเผลอ

ด้วยเหตุนี้ สามมหากาฬแห่งปรโลกจึงไม่ได้สั่งหยุดการต่อสู้นี้

พวกเขาไม่ได้ส่งสมาชิกปรโลกออกไปจัดการหลี่จิ่วเต้า หากแต่ใช้ร่างจำแลงนี้

หลี่จิ่วเต้าเป็นตัวการสำคัญ ฝ่ายปริภูมิเวลาตระหนักถึงข้อนี้ดี

หากถอนกำลังเวลานี้ ไม่ต่อสู้กันอีก ฝ่ายปริภูมิเวลาย่อมรู้ว่าพวกเขาเตรียมลงมือกับหลี่จิ่วเต้า

เช่นนี้ยิ่งส่งผลให้พวกเขาจัดการหลี่จิ่วเต้าได้ยากขึ้น

ถึงอย่างไร ฝ่ายปริภูมิเวลาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาเท่าไหร่

ธารปริภูมิเวลา

ซ่า!

ผู้เบิกทางและศพเจ้าของกระโปรงสีขาวแห่งความตายปรากฏตัวในแดนบูชายัญอันธการ พวกเขารับรู้ถึงภัยคุกคาม ตระหนักได้ว่าเหลือเวลาไม่มากแล้ว

สถานการณ์ของพวกเขาเฉกเช่นสามมหากาฬแห่งปรโลก อยู่ในฐานะลูกศิษย์ของผู้เบิกทางเช่นกัน เป็นกลุ่มที่ติดตามอยู่ข้างกายผู้เบิกทางตั้งแต่แรก

เช่นกัน พวกเขาก็กลัวเหล่า ‘โรค’ ที่ผู้เบิกทางทิ้งไว้ จึงเอาแต่ซ่อนตัวซุกกำลังอยู่ตลอด มิกล้าโผล่หัว

บัดนี้ พวกเขาตระหนักเช่นกันว่าไม่อาจซ่อนตัวซุกกำลังเช่นนี้ต่อไปได้อีก

“ข้าคาดการณ์ถึงสถานการณ์เช่นนี้แต่แรก จึงได้บ่มเพาะร่างจำแลงที่ปราศจากบ่วงกรรมใด ๆ ขึ้นมาร่างหนึ่งในธารยาวนี้”

จ้าวแห่งปริภูมิเวลาตนหนึ่งกล่าว “ข้าตัดสินใจส่งร่างจำแลงนี้ไปจัดการหลี่จิ่วเต้า สืบให้ทราบความจริง!”

“ได้!”

“ตอนนี้พวกเรายังไม่สะดวกออกหน้า ส่งร่างจำแลงนี้ออกไปแทนเรานับว่าเหมาะสมที่สุด”

จ้าวแห่งปริภูมิเวลาอีกสองตนพยักหน้ากล่าว

จากนั้นร่างจำแลงซึ่งไม่มีบ่วงกรรมใด ๆ ติดตัวก็ถูกส่งออกไปผ่านธารปริภูมิเวลา

ส่วนการต่อสู้ระหว่างสมาชิกปริภูมิเวลากับสมาชิกปรโลกนั้น พวกเขาไม่ได้สั่งหยุดเช่นกัน เพราะมีความคิดเฉกเช่นสามมหากาฬแห่งปรโลก คิดตบตาฝ่ายปรโลก

ณ โลกหลังฉาก

ต้นไม้สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่งตั้งตระหง่านยิ่งใหญ่ กิ่งก้านคลี่แผ่งอกงาม ไม่รู้ว่าเจริญเติบโตอยู่ที่นี่มาตั้งนานเท่าไรแล้ว

บนกิ่งไม้ของมันมีสัตว์ปีกทำรังอยู่จำนวนมาก

สำหรับสัตว์ปีกเหล่านี้ พวกมันต่างชื่นชอบต้นไม้ใหญ่นี้มาก เล่นสนุกอยู่ที่นี่บ่อย ๆ

ต้นไม้ใหญ่นี้คล้ายกับว่าไม่มีจิตวิญญาณกำเนิด ไม่ว่าสัตว์ปีกพร่ำจิกไม้เรื่อยเปื่อยอย่างไรก็ไร้ปฏิกิริยาตอบโต้ และเมื่อมองไปบนกิ่งไม้ ยังมีร่องรอยถูกสัตว์ปีกนับคณาจิกไปทั่ว บ่งบอกว่านี่มิใช่เรื่องที่เกิดขึ้นน้อยครั้ง

“เฮ้อ…”

ทว่าในตอนนั้นเอง ต้นไม้ใหญ่ที่ดูเหมือนมิมีจิตวิญญาณกำเนิดกลับส่งเสียงถอนหายใจ สัตว์ปีกซึ่งเกาะอยู่บนนั้นพากันบินว่อนด้วยความตกใจ

“หายนะใกล้มาเยือนเต็มที…คงต้องออกไปดิ้นรนข้างนอกเสียแล้ว”

เสียงของมันเปี่ยมไปด้วยความขื่นขมเหนื่อยล้า เคยคิดซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไปตลอด เป็นเพียงต้นไม้ทั่วไปต้นหนึ่ง

ทว่าอะไรจะเกิดย่อมเกิด หลบไม่ได้ หนีไม่พ้น

ใช่แล้ว มันไม่ใช่ต้นไม้ใหญ่ทั่วไป หากแต่เป็นต้นไม้ที่ผู้เบิกทางโปรดด้วยตนเองเป็นต้นแรก…ต้นหม่อนโบราณ

และมันก็เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของผู้เบิกทางท่านนั้นเช่นกัน

มันรอดชีวิตมาได้โดยไม่เกิดเรื่อง ภายหลังลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่เรื่อยมา อำพรางตนเป็นต้นไม้ธรรมดา ไม่เคยขยับเขยื้อนอีก

บัดนี้มันสัมผัสได้ถึงภยันตราย รู้ดีว่าทำเช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว จำต้องมีการเคลื่อนไหว

มิฉะนั้น สิ่งที่รอมันอยู่มีเพียงความตายเท่านั้น

มันก็ต้องช่วงชิงการเตรียมการส่วนหนึ่งที่ท่านอาจารย์เตรียมไว้เพื่อรักษาชีวิต

“ไปเถิด ได้เวลาเริ่มภารกิจของเจ้า…”

มันหันมองต้นไม้ใหญ่ข้างกายพร้อมเอ่ย

นี่เป็น ‘ตัวมันเอง’ ที่มันสร้างขึ้น ใช้สำหรับสถานการณ์เช่นนี้โดยเฉพาะ มีหน้าที่ปฏิบัติการอันตรายแทนมัน

ร่างจริงของมันไม่กล้าออกเคลื่อนไหวเช่นกัน ด้วยกลัวว่าจะเกิดเรื่อง

“เป้าหมายคือหลี่จิ่วเต้า เขาคือจุดเปลี่ยน คือช่องว่างให้เจาะ!”

ลมหายใจต่อมา ต้นไม้ใหญ่ข้างกายมันหายไป ไม่ได้อยู่ที่นี่อีก

ภายในจักรวาลโกลาหลผืนหนึ่ง

ผู้เฒ่าหน้าตาเปี่ยมเมตตาผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขา หลับตาบำเพ็ญเพียร

ทันใดนั้น เขาก็ลืมตาขึ้น ส่วนลึกของแววตาทอประกายความหวาดหวั่นเหลือแสน

“มาแล้ว มาแล้ว ในที่สุดก็มาแล้ว…”

เขายิ้มโศกศัลย์ หน้าตาอาดูร ช่วงเวลามืดมนที่สุดมาถึงแล้ว เขาตัวสั่นอย่างหยุดไม่อยู่ เพราะเกรงกลัวเป็นพิเศษ

เขาเลิกชุดนักพรตหลวมโคร่งเก่าซีดขึ้น เผยให้เห็นร่างกายข้างในซึ่งเต็มไปด้วยรอยกัดจนมิอาจทนมอง ไม่เหลือส่วนดีสักจุด แม้แต่กระดูกยังอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ ถูกแทะอย่างน่าอนาถ

“น่าสะพรึงเหลือเกิน!”

เขาหวนนึกถึงความทรงจำไม่ดีในอดีต ร่างกายยิ่งสั่นเทาเข้าไปใหญ่

นักพรตกู่!

เขาเคยมีชื่อเสียงแซ่ซ้อง ทิ้งตำนานไว้มากมายนับไม่ถ้วน บัดนี้ยังมีเรื่องเล่าขานถึงเขาในใต้หล้าอยู่นานัปการ เขาคือกลุ่มคนที่ติดตามอยู่ข้างกายผู้เบิกทางท่านนั้นตั้งแต่แรกเริ่ม และเป็นลูกศิษย์ของผู้เบิกทาง

ท่านอาจารย์คือผู้ถ่ายทอดพลังวิถี ส่วนเขาคือผู้เผยแผ่พลังวิถีให้เฟื่องฟูใหญ่ยิ่ง ถือเป็นผู้เผยแผ่วิถี ชี้แนะสิ่งมีชีวิตมาแล้วนับล้าน

ทว่าเขาเองก็ค่อนข้างอเนจอนาถเช่นกัน

สามมหากาฬแห่งปรโลก จ้าวแห่งปริภูมิเวลาทั้งสาม รวมถึงต้นหม่อนโบราณล้วนไม่เคยประมือกับ ‘โรค’ เหล่านั้น ทำให้มีชีวิตรอดในสภาพสมบูรณ์

ทว่าเขานั้นไม่เหมือนกัน

เขาได้พบเจอกับ ‘โรค’ จำนวนหนึ่ง จึงประจักษ์ถึงความน่ากลัวของ ‘โรค’ เหล่านี้ เจียนตายอยู่หลายครั้งกว่าจะหนีรอดจากเงื้อมมือของ ‘โรค’ เหล่านี้ได้

รอยกัดแทะอันน่าพรั่นพรึงทั้งหลายล้วนเป็นฝีมือของ ‘โรค’ เหล่านั้น แข็งแกร่งเช่นเขายังไม่อาจลบเลือนร่องรอยการถูกกัดแทะเหล่านี้ได้เลย

“ข้าไม่อยากตาย ข้าอยากมีชีวิตอยู่! ท่านอาจารย์ ขอโทษด้วย ข้าต้องแย่งชิงสิ่งที่ท่านเตรียมการไว้ส่วนหนึ่งเพื่อเอาตัวรอด”

เขาคุกเข่ากับพื้น โขกศีรษะไปยังทิศทางหนึ่ง น้ำตาอุ่นร้อนรินไหลลงมา บ่งบอกถึงความสำนึกผิดที่เขามีต่อท่านอาจารย์

ปึง! ปึง! ปึง!

เขาโขกศีรษะเสียงดังอยู่หลายคราแล้วจึงลุกขึ้นยืน เช็ดน้ำตาให้แห้ง

จากนั้นนักพรตกู่ก็ยกมือเรียกหุ่นเชิดร่างหนึ่งออกมา ซึ่งเป็นหุ่นเชิดที่เขาสร้างขึ้นเป็นพิเศษ ต่อให้เกิดเรื่องก็มิอาจย้อนรอยสาวมาถึงเขา

“หลี่จิ่วเต้า ขออภัยด้วย เจ้าอาจมีความเกี่ยวข้องกับท่านอาจารย์ ทว่าบัดนี้ ข้าจำต้องลงมือกับเจ้า เพราะมันไม่เหลือหนทางใดอีกแล้ว”

การจัดเตรียมต่าง ๆ ของท่านอาจารย์ยังไม่ปรากฏ มีเพียงหลี่จิ่วเต้าเท่านั้นที่เผยร่องรอย เขาจึงหมายหัวอีกฝ่ายเช่นกัน

จากนั้นเขาก็ส่งหุ่นเชิดร่างนี้ออกไป

หุ่นเชิดนี้มีหน้าที่ลงมือแทนเขา สืบหาข้อมูลที่เขาต้องการ

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท