รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 984 ไปหาหลี่จิ่วเต้า ติดตามอยู่ข้างกายเขา!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

บทที่ 984 ไปหาหลี่จิ่วเต้า ติดตามอยู่ข้างกายเขา!

บทที่ 984 ไปหาหลี่จิ่วเต้า ติดตามอยู่ข้างกายเขา!

ในจักรวาลโกลาหลอีกผืน

ท่ามกลางแดนวิมานอันเงียบสงบห่างไกลจากโลกหล้า

สตรีกลางคนผู้หนึ่งกำลังสอนสั่งหญิงสาวนางหนึ่งฝึกฝนอย่างใจเย็น

สตรีกลางคนดูมีอายุมากแล้ว แต่ก็ยังมองออกราง ๆ ว่ามีรูปโฉมสะคราญตาเมื่อครั้งยังเยาว์วัย และคงความสง่าไว้ดังเดิม

“การฝึกฝนนั้นไร้ที่สิ้นสุด เส้นทางฝึกตนไม่มีวันขาดสะบั้น เจ้าต้องเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ ต่อให้เบื้องหน้าหมดสิ้นหนทาง เจ้าก็ห้ามถอดใจ ต้องมุ่งหน้าต่อไป…”

สตรีกลางคนเอ่ยกับหญิงสาวอย่างเปี่ยมเมตตา “เจ้าดูสิ การฝึกฝนของเจ้ามีข้อผิดพลาดอีกแล้ว เจ้าทะนงในตนเองง่ายเกินไป อาจเพราะแต่ไหนแต่ไรตัวเจ้าไม่เคยพานพบอุปสรรค ทว่าอาจารย์ต้องบอกเจ้าว่า เช่นนี้แล้ว…”

วาจาชี้แนะหญิงสาวของนางยังเอื้อนเอ่ยไม่จบก็ชะงักงัน นิ่งค้างอยู่ที่เดิม สายตาเหม่อลอย

หญิงสาวนางนี้งดงามไร้ผู้ใดเปรียบ ไม่ว่ารูปร่างหรือโฉมหน้าล้วนสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ผิวพรรณผุดผ่องดุจหิมะ ทอประกายแวววับ ดวงตาใสกระจ่างดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ยามได้สบตาก็มิอาจถอนตัวได้อีก

เดิมนางกำลังตั้งใจฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ กลับพบว่าเสียงของอาจารย์นางเงียบไปอย่างฉับพลัน

“ท่านอาจารย์?”

นางทอดมองอาจารย์ของตนด้วยสีหน้าฉงน

สตรีกลางคนมิได้ตอบกลับหญิงสาว ยังคงนิ่งค้างอยู่ที่เดิมด้วยสายตาเหม่อลอย

“ท่านอาจารย์เป็นอันใดไป”

หญิงสาวตะลึง ร้องเรียกสตรีกลางคนไม่หยุด สองมือโบกไหวไปมาเบื้องหน้าสตรีกลางคน กระนั้นสตรีกลางคนก็มิได้โต้ตอบนาง

จนกระทั่งผ่านไประยะหนึ่ง สตรีกลางคนถึงเริ่มไหวติง

นางถอนหายใจเสียงยาว หันมองหญิงสาวด้วยสายตาแปลกไป แววตาเจือไว้ด้วยความเจ็บใจ อาลัยอาวรณ์ สงสาร และอารมณ์อื่น ๆ อีกมาก

“ท่านอาจารย์อย่าทำให้ข้าตกใจ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ท่านบอกหลวนเอ๋อร์ที!”

หญิงสาวนามเฟิ่งหลวนรู้สึกกลัวยิ่งขึ้นหลังเห็นสายตาสตรีกลางคน

สตรีกลางคนมิได้เอ่ยวาจา เพียงแต่จ้องมองเฟิ่งหลวนเนิ่นนาน จนท้ายที่สุดก็เบี่ยงสายตากลับ

ใบหน้าของนางเย็นยะเยือกขึ้นมา ความเหน็บหนาวแผ่ซ่านอยู่รอบตัว เปลี่ยนไปจากปกติอย่างสิ้นเชิง

“วาสนาอาจารย์ศิษย์ของเราสิ้นสุดแล้ว นับแต่นี้ไป เจ้ามิใช่ลูกศิษย์ของข้าอีก และข้ามิใช่อาจารย์ของเจ้าอีก”

สตรีกลางคนเอ่ยเสียงเย็น

เฟิ่งหลวนสะท้านทั้งร่าง ไม่อาจยอมรับได้ไหว

นางเอ่ยเสียงร่ำไห้ “เพราะเหตุใดกันท่านอาจารย์ ท่านหยอกหลวนเอ๋อร์เล่นใช่หรือไม่ หลวนเอ๋อร์รู้ว่าท่านอาจารย์หยอกหลวนเอ๋อร์เล่นอยู่! อืม ท่านอาจารย์ต้องหยอกหลวนเอ๋อร์เล่นแน่นอน!”

“อย่าได้ร้องไห้โวยวาย เจ้ากับข้าถูกลิขิตให้แยกจากกันแล้ว!”

สตรีกลางคนหักใจเอ่ย

“หากเจ้ายังจดจำความดีของข้าได้บ้างก็จงเชื่อฟังคำข้า หลังไปจากที่นี่จงไปหาหลี่จิ่วเต้า ติดตามอยู่ข้างกายเขา”

หลังพูดจบ ร่างของนางก็หายไปจากที่เดิม

เฟิ่งหลวนอยากคว้าอาจารย์ของนางไว้ แต่กลับได้เพียงความว่างเปล่า ล้มหัวคะมำกับพื้น

“เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดกัน”

นางนั่งลงกับพื้น ร่ำไห้ไม่หยุด

ครอบครัวเพียงคนเดียวของตนเองจากไปง่าย ๆ เช่นนี้จะไม่ให้นางเสียใจได้อย่างไร

นางเป็นเด็กกำพร้า ได้สตรีกลางคนเก็บไปชุบเลี้ยงแต่เด็ก ใช้ชีวิตกับสตรีกลางคนตามลำพังจนถึงบัดนี้

ในใจของนาง สตรีกลางคนมิใช่เพียงอาจารย์ หากแต่ยังเป็นมารดาของนาง!

ทว่าบัดนี้ มารดาของนางไม่อยู่อีกแล้ว…

“ฮืออ…”

นางร่ำไห้โศกา อาภรณ์เปียกชุ่มด้วยน้ำตา

ผ่านไปเนิ่นนานนางถึงหยุดร้องแล้วลุกขึ้นจากพื้น เช็ดน้ำตาออก

“หลี่จิ่วเต้า ข้าต้องไปหาหลี่จิ่วเต้า!”

นางนึกถึงวาจาที่อาจารย์กล่าวต่อนาง แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดอาจารย์ถึงให้นางไปหาหลี่จิ่วเต้า แต่นางรู้ว่าอาจารย์ไม่มีทางทำร้ายนางแน่นอน

จากนั้นร่างของนางก็อันตรธานไปจากที่นี่

ทันทีที่นางหายไป ร่างของสตรีกลางคนก็ปรากฏตัวที่นี่

“หลวนเอ๋อร์…”

หยาดน้ำไหลรินลงจากดวงตาของนางเช่นกัน นางเองก็ยากจะทำใจที่ต้องแยกจากกับเฟิ่งหลวน แต่นางรู้ดีว่านางจำเป็นต้องแยกจากกับเฟิ่งหลวน

“หวังว่าเจ้าจะผ่านหายนะนี้ไปได้เมื่ออยู่ข้างกายหลี่จิ่วเต้า”

นางพึมพำกับตนเอง

ใช่แล้ว นางคือลูกศิษย์ของผู้เบิกทางท่านนั้นเหมือนกัน ทำให้รับรู้ถึงภยันตราย

ทว่านางมีวิธีรับมือต่างจากสามมหากาฬแห่งปรโลก จ้าวแห่งปรภูมิเวลาทั้งสาม ต้นหม่อนโบราณ และพวกนักพรตกู่

นางมิได้คิดแย่งชิงการเตรียมการที่อาจารย์ทิ้งไว้เพื่อเอาตัวรอด

นี่เพราะนางเคารพการเตรียมการและแผนการของท่านอาจารย์

ไม่ต้องการทำลายการเตรียมการและแผนการของท่านอาจารย์เพื่อรักษาชีวิตตนเอง

นางตัดสินใจรับศึก ต่อสู้กับ ‘โรค’ เหล่านั้นให้ถึงที่สุด!

นี่ก็เป็นสาเหตุที่นางใช้วาจาตัดเยื่อใยเช่นนั้นกับเฟิ่งหลวน นางไม่กล้าอธิบายให้เฟิ่งหลวนฟัง กลัวว่าท้ายสุดแล้วจะทำใจจากเฟิ่งหลวนมิได้จนหักใจออกรับศึกไม่ลง

“หากการเตรียมการและแผนการของท่านอาจารย์ได้ผล หลวนเอ๋อร์ได้อยู่ข้างกายหลี่จิ่วเต้าคงไม่เป็นอันใด…”

นางพึมพำเสียงเบากับตนเอง

แม้ว่านางมิเคยออกจากแดนวิมานแห่งนี้ กระนั้นนางก็สนใจเหตุการณ์ข้างนอกอยู่เสมอ

นางรู้ว่าหลี่จิ่วเต้าอาจได้รับการเตรียมการจำนวนหนึ่งของท่านอาจารย์ไปแล้ว

นี่ก็เป็นเหตุผลที่นางสั่งให้เฟิ่งหลวนไปหาหลี่จิ่วเต้า

หากต้องการผ่านหายนะนี้ไปอย่างปลอดภัย ความหวังเดียวคือการเตรียมการที่ท่านอาจารย์ทิ้งไว้

“ไปละ”

สุดท้ายนางสงบจิตใจ ก้าวสู่เส้นทางออกรบ

หลังนางจากไป แดนวิมานแห่งนี้ก็พลันระเบิดแหลกลาญ หายไปอย่างสิ้นเชิง

อาณาจักรหลีหยวน

อาณาจักรที่หลี่จิ่วเต้าพำนักในตอนนี้

พวกเขายังมิได้ไปจากอาณาจักรนี้ อยู่ในนี้เช่นเดิม

อาณาจักรนี้ตั้งอยู่ใต้ขุนเขามหึมาแห่งหนึ่ง

“มี ‘โรค’ ใหม่เกิดขึ้นจริงด้วย ข้าสัมผัสได้ นี่เป็น ‘โรค’ ที่สยดสยองที่สุด!”

เสียงคำรามดังมาจากใต้ดิน สะเทือนเลือนลั่น สิ่งมีชีวิตในรัศมีหมื่นลี้ตระหนกจนวิ่งหนีจ้าละหวั่น ไม่มีผู้ใดกล้ารั้งอยู่ที่นี่ต่อ

“ข้ากระเสือกกระสนไปเพื่ออันใด มีประโยชน์ด้วยหรือ กระเสือกกระสนไปสุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ?!”

เสียงหนึ่งดังมาจากใต้ดินอีกครั้ง เปี่ยมไปด้วยน้ำเสียงปฏิเสธ

เจ้าของเสียงเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ยามนี้หน้าตาเหยเกบิดเบี้ยว ราวกับสวมหน้ากากแห่งความทุกข์ทรมาน อวัยวะบนใบหน้าบิดม้วนจนดูมิได้ ดิ้นรนไปมาอย่างรุนแรง

สุดท้ายทุกอย่างหยุดชะงัก สีหน้าของเขามิได้เหยเกเจ็บปวดอีก กลับสู่ความสงบ

เพียงแต่ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความมุ่งร้าย ความอันตรายมหาศาลหลั่งไหลออกมา

เขาส่งเสียงหัวเราะอึมครึม ลงท้ายก็เลิกกระเสือกกระสน เลือกที่จะจำนน

เดิมเขาแทบต้านไม่ไหว ถึงขีดจำกัดของตนแล้ว ต่อมาเขาสัมผัสถึงเหตุการณ์ด้านแดนบูชายัญอันธการ

คราวนี้เขาต้านไม่ไหวแล้วอย่างแท้จริง คืนสู่สภาพ ‘โรค’ กำเริบ

ใช่แล้ว เขาคือ ‘โรค’ ชนิดหนึ่งที่เกิดกับผู้เบิกทาง ที่ดำรงอยู่ก็เพื่อทำลายทุกอย่างให้สิ้นซาก

ทว่าต่อมา อาจเพราะผู้เบิกทางท่านนั้นทำใจมิลง ปล่อยให้ ‘โรค’ ทั้งหลายอุบัติจิตสำนึกของตนเอง คอยควบคุมความรู้สึกที่ต้องการทำลายทุกสิ่ง

แต่ไหนแต่ไรเขาคอยซ่อนตัวอยู่ที่นี่เพื่อควบคุมความรู้สึกที่ต้องการทำลายทุกสิ่ง

บัดนี้ สุ้มเสียงจากด้านแดนบูชายัญอันธการเป็นผลให้เขาหมดสิ้นความต้องการต้านทาน ยอมจมดิ่งถลำลึกด้วยตนเอง ถูกความต้องการทำลายทุกสิ่งกลืนกิน

สิ่งสำคัญที่สุดคือแต่เดิมจิตสำนึกของเขาไม่แข็งอยู่แล้ว ถึงได้ถลำลึกลงไปง่ายดาย

“ก่อนนี้เคยเกิดปรากฏการณ์ประหลาดที่นี่ มหาวิถีส่งเสียงกู่ร้องพร้อมเพรียง ม่านแสงอาบไล้ลงจากนภา ต้องมีผู้ยิ่งใหญ่สักคนมาเยือนสถานที่นี้เป็นแน่”

เขาหัวเราะเสียงพิศวง “ฮ่า ๆ เช่นนั้นเริ่มจากอาณาจักรนี้แล้วกัน!”

ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นเป็นที่สนใจของเขา เขาจึงตัดสินใจเริ่มจากผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้น

เสียงดังตู้ม ขุนเขาด้านบนระเบิด เขาพุ่งทลายธรณีขึ้นมา พลังปราณสยดสยองแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งอาณาจักร บดบังดวงอาทิตย์บนฟากฟ้า เปลี่ยนอาณาจักรนี้ให้มืดมน

“ตัวสั่นไปเถิด หวาดผวาไปเถิด เตรียมตัวต้อนรับความตายของพวกเจ้าได้เลย!”

เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะนั้นทั้งชวนหวาดหวั่นทั้งพิศวง

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท