ตอนที่ 1,106 โดนดูถูกอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
เหยียนหรู่อี้ตั้งใจให้เขาชมเชยใช่หรือไม่?
เฮอะ อย่าคิดนะว่าหลินเป่ยเฉินคนนี้รู้ไม่ทัน
หลินเป่ยเฉินจึงส่ายศีรษะตอบกลับไปว่า “ไม่ได้ดูขอรับ”
เหยียนหรู่อี้ชะงักไปเล็กน้อย
นี่คือคำตอบที่แตกต่างจากสิ่งที่นางคิด
“คุณชายไม่ได้ดูเลยหรือ?”
เหยียนหรู่อี้ขมวดคิ้ว
“เอ่อ…คือว่า”
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งหลับตาลงขณะตอบว่า “ไม่ได้ดูขอรับ เพราะว่าพี่เหยียนมีออร่ามากเกินไป กว่าที่ข้าน้อยจะตั้งสติได้ การต่อสู้ก็จบลงเสียแล้ว”
“มีออร่ามากเกินไป?”
ใบหน้าอันทรงเสน่ห์ของเหยียนหรู่อี้ชะม้ายชายตามองเด็กหนุ่ม
“หมายความว่าพี่เหยียนมีเสน่ห์และมีสง่าราศีมากเกินไปขอรับ”
หลินเป่ยเฉินอธิบายด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
เหยียนหรู่อี้เผลอยิ้มออกมาด้วยความพอใจ จากนั้นจึงกล่าวชมเชยเขาว่า “ข้าก็หวังให้เจ้ามีออร่าเช่นนี้เหมือนกัน”
หลินเป่ยเฉินลืมตาขึ้นมา
นี่นางกำลังจะบอกว่าเขาไม่มีออร่าอย่างนั้นหรือ?
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงคู่ต่อสู้คนใหม่จากสำนักกระบี่ทรงกลดตะโกนท้าทายออกมาว่า
“แม่นางเหยียน เหตุไฉนชนะแล้วท่านถึงคิดหลบหนี?”
เฟิงอู่เหิน หนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักกระบี่ทรงกลดยืนถือกระบี่แสยะยิ้มกล่าวว่า “หรือเพราะว่าท่านขี้ขลาดตาขาวมากเกินไป?”
“ข้าจะเลาะฟันเจ้าออกมาเอง”
เฉียนเหมยลุกขึ้นยืนพับแขนเสื้อ
หลินเป่ยเฉินรีบส่ายศีรษะห้ามปราม “เดี๋ยวข้าไปจัดการเอง”
เฉียนเหมยไม่ได้มีร่างกายแข็งแรงเป็นทุนเดิมอย่างเซียวปิง ที่นางแข็งแกร่งอยู่ในระดับนี้ได้ก็เพราะได้รับการแชร์สัญญาณไวไฟจากหลินเป่ยเฉิน ซึ่งแน่นอนว่าหากเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีระดับพลังต่ำกว่าตนเองคงไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าเกิดเฉียนเหมยพบคู่ต่อสู้ที่มีระดับพลังสูงล้ำกว่าตนเอง อย่างนั้นนางก็จะตกอยู่ในอันตรายแล้ว
แต่เหตุผลสำคัญก็คือก่อนหน้านี้เซียวปิงกับเม่ยหลินขโมยบทบาทตัวเด่นไปจากหลินเป่ยเฉินมามากพอแล้ว หลินเป่ยเฉินจึงจำเป็นต้องทวงตำแหน่งของตนเองกลับคืนมา
ไม่ว่าผู้ใดก็มาขวางทางไม่ได้เด็ดขาด
เขากำลังจะออกไปแสดงความแข็งแกร่งให้ทุกคนได้ตกตะลึง
หลินเป่ยเฉินนำกระบี่เงินออกมาถือในมือ สะกิดปลายเท้าพุ่งตัวออกไปข้างหน้าและทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนสังเวียนประลองด้วยความนุ่มนวล
เด็กหนุ่มโคจรพลังปราณธาตุทองคำออกมาห่อหุ้มร่างกาย
ทำให้เขาดูดีมีสง่าราศีมากทีเดียว
บัดนี้ สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจับจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน
แม้ว่านับตั้งแต่ที่เริ่มการประลองเป็นต้นมา หลินเป่ยเฉินก็ยังไม่เคยแสดงฝีมือเลยสักครั้ง แต่ทุกคนก็ไม่ลืมว่าก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคือผู้สังหารขั้นเซียน 14 คนในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน อีกทั้งยังเป็นผู้กวาดล้างกลุ่มอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กอีกด้วย
และผู้อาวุโสของพวกอมนุษย์ผมขาวที่มีพลังขั้นเซียนระดับหก ก็ต้องเสียชีวิตในเงื้อมมือของหลินเป่ยเฉินเช่นกัน
นี่คือความเป็นจริงที่ทุกคนรับทราบเป็นอย่างดี
ดังนั้นจึงมียอดฝีมือจำนวนไม่น้อยอยากรับชมว่ามือกระบี่ดาวรุ่งของจักรวรรดิเป่ยไห่ผู้นี้จะมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับใดกันแน่
เพราะสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ร้อยคำข่าวลือ ย่อมไม่เท่ากับเห็นด้วยตาของตนเองเพียงคู่เดียว
บนสังเวียนประลองในขณะนี้ หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเอ่ยวาจาทักทายกันพอหอมปากหอมคอ การต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้น
เฟิงอู่เหินคือยอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งเป็นอันดับสองของสำนักกระบี่ทรงกลด
ไม่ว่าจะเป็นวิชากระบี่ม่วงพิฆาต หรือวิชากระบี่ประกายทรงกลด ต่างก็เป็นวิชาที่ขึ้นชื่อโด่งดังไปทั่วทุกดินแดน
“วันนี้ข้าจะสอนให้เจ้าได้รู้ว่าวิชากระบี่ที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นใด”
เฟิงอู่เหินโคจรพลังลมปราณและเริ่มใช้กระบวนท่าจากวิชากระบี่ม่วงพิฆาตออกมา
“จอมเสเพลที่รู้จักแต่เพียงลูบคลำสตรีเช่นเจ้าสมควรตายไปซะ” สีหน้าของชายชราบอกชัดถึงความเหยียดหยามที่มีต่อเด็กหนุ่ม
“ผายลมมารดาท่านเถอะ”
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความเดือดดาล
เขาเป็นเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่สุดในแผ่นดินตงเต้า ไม่ใช่เขาที่ลูบคลำสตรี แต่เป็นสตรีต่างหากที่ลูบคลำเขา
ตาเฒ่าคนนี้น่ารำคาญเกินไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินยกกระบี่เงินในมือขึ้นตวัดเมื่ออีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหา
สวบ!
ได้ยินเสียงกระบี่ทิ่มแทงผู้คนดังขึ้นเพียงแผ่วเบา
แล้วร่างของคู่ต่อสู้ทั้งสองคนก็แยกออกจากกัน
ปรากฏว่าเฟิงอู่เหินถูกกระบี่ของหลินเป่ยเฉินสังหารเสียชีวิตในกระบวนท่าเดียว
และกระบี่คู่กายของผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองของสำนักกระบี่ทรงกรดก็มีอันต้องแตกกระจายเป็นสี่ส่วน
หลังบรรยากาศตกอยู่ในความเงียบเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เสียงร้องอุทานด้วยความตกใจก็ดังขึ้นจากกลุ่มที่นั่งของทุกสำนัก
นี่คือสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน
การต่อสู้จบลงรวดเร็วมากเกินไป
บางคนยังไม่ทันได้ตั้งใจดูเสียด้วยซ้ำ
“นี่เขาใช้วิชากระบี่ใดออกมา?”
“การโจมตีก็ไม่ได้ดูซับซ้อนอะไร… แล้วทำไมเฟิงอู่เหินถึงป้องกันไม่ได้?”
“นั่นคือกระบี่ที่ผู้อาวุโสเฉินหลอมขึ้นมาใช่หรือไม่?”
“หรือว่าจะเป็นเพราะกระบี่เล่มนั้น?”
บรรดายอดมือกระบี่พูดคุยกันอย่างตื่นเต้น
กระบี่ในมือของหลินเป่ยเฉินดูเหมือนจะไม่ได้มีพลังลมปราณแอบแฝง ความพิเศษเดียวของมันคือการตวัดทิ่มแทงได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีความคมกริบที่น่าหวาดกลัวอีกด้วย
หัวหน้าคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง เช่นเดียวกับจีอู๋ชวงและลู่ซินที่ยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ทางด้านหลัง ต่างก็มีดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัว
สองชายฉกรรจ์ได้แต่โล่งใจว่าตอนที่พวกตนอยู่ในเมืองเป่ยไห่นั้น หลินเป่ยเฉินไม่ได้กระทำต่อตนเองอย่างโหดร้ายเกินไปนัก
มิเช่นนั้นแล้ว… ต่อให้พวกเขาสองคนร่วมมือกันก็ไม่มีทางต่อกรกับหลินเป่ยเฉินได้เด็ดขาด
ณ กลุ่มที่นั่งของตัวแทนจากเมืองไป๋หยุน
เสี่ยวหรานผู้เป็นเจ้าสำนักกระบี่เมฆาพลิ้วมีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง แววตาของเขาบอกชัดถึงความประหลาดใจที่แท้จริง
แต่อย่างไรก็ตาม หลินเป่ยเฉินก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์ของเมืองไป๋หยุนผู้หนึ่ง ยิ่งเขามีฝีมือแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีต่ออนาคตของเมืองไป๋หยุนมากเท่านั้น
เสี่ยวหรานจึงหันมามองหน้าติงซานฉือที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ด้านข้าง
แต่เขากลับเห็นชายชราบ่นพึมพำออกมาด้วยความไม่พอใจว่า “เจ้าลูกศิษย์คนนี้นับว่าหมดหวังแล้วจริง ๆ ข้าสั่งสอนกี่ครั้งแล้วนะว่าก่อนชักกระบี่ให้โคจรพลังลมปราณใส่ลงไปก่อนเล็กน้อย ความเร็วกระบี่จะได้มีเพิ่มพูนมากกว่านี้… เฮ้อ นับว่ามีพรสวรรค์แต่โง่เขลามากเกินไป ต่อให้สั่งสอนแทบตายก็ไม่ดีขึ้นเสียที สงสัยกลับไปหลังจากนี้ ต้องลงโทษอย่างหนักเสียแล้ว”
เสี่ยวหรานถึงกับพูดอะไรไม่ออก
“ฮ่า ๆๆ”
ทันใดนั้น ท่านเจ้าเมืองฉู่อวิ๋นซุนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ส่วนลู่กวนไห่ยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ ราวกับว่าทุกเรื่องราวไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
ห่างไกลออกไป ในกลุ่มที่นั่งของสำนักคฤหาสน์กำยาน ได้ยินเสียงของหูเหม่ยเอ๋อร์กรีดร้องออกมาว่า “กรี๊ดดดด พี่เป่ยเฉินหล่อที่สุดเลยเจ้าค่ะ”
หลินเป่ยเฉินที่กำลังจะยืนเก๊กหล่อถึงกับสะดุดไปเล็กน้อย
อาการผิดปกติทางสมองถือเป็นโรคติดต่อด้วยหรือนี่
หูเหม่ยเอ๋อร์น่าจะอยู่ในกลุ่มผู้ป่วยอาการหลงผิดเพราะคลั่งไคล้เขามากเกินไป
วูบ!
ทันใดนั้น เงาร่างของชายฉกรรจ์อาภรณ์ม่วงผู้หนึ่งทิ้งตัวลงมาอยู่บนสังเวียนประลอง
นี่คือเซวียนเฟยเฉิง ยอดฝีมือที่ได้รับการยกย่องว่ามีความแข็งแกร่งเป็นอันดับหนึ่งในสำนักกระบี่ทรงกรด มีความแข็งแกร่งมากยิ่งกว่าเซวียนหมิงผู้เป็นเจ้าสำนักเสียอีก
“เจ้าตัวบัดซบ ตายเสียเถอะ”
เซวียนเฟยเฉิงคำรามด้วยจิตอาฆาตและสะบัดมือทิ่มแทงกระบี่โจมตีโดยไม่รอช้า
หลินเป่ยเฉินรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาอีกครั้ง
ผู้คนจากสำนักกระบี่ทรงกลดช่างไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
คนก่อนหน้านี้ก็หาว่าเขาเป็นจอมเสเพลดีแต่ลูบคลำสตรี พอเปลี่ยนมาเป็นคนนี้ ยังไม่ทันพูดจากันสักคำ ก็ชักกระบี่คิดฆ่าฟันกันเสียแล้ว
ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกต่อไป
“กำแพงวายุ”
หลินเป่ยเฉินควงกระบี่สร้างกำแพงแห่งสายลมขึ้นมากางกั้นอยู่เบื้องหน้า
จากนั้นเขาก็ตวัดกระบี่แนวเฉียงโจมตีฝ่ายตรงข้ามด้วยกระบวนท่ากระบี่เงาครอบคลุม
เงากระบี่เหล่านั้นคืบคลานไปถึงเบื้องหน้าของเซวียนเฟยเฉิง และผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของสำนักกระบี่ทรงกลดก็ต้องถึงแก่ความตายในกระบวนท่าเดียว
โครม!
ซากศพล้มลงบนพื้นหิน
โลหิตไหลทะลักออกมา
บาดแผลที่เกิดขึ้นจากกระบี่เงินของผู้อาวุโสเฉินคือสิ่งที่ไม่สามารถรักษาได้
ผู้มีพลังขั้นเซียนที่ตายด้วยคมกระบี่เล่มนี้ จึงไม่อาจฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีก
ในอาณาเขตที่นั่งของสำนักกระบี่ทรงกลดจึงเกิดความวุ่นวายขึ้นโดยทันที
พวกเขารู้สึกคล้ายกับว่านี่เป็นเรื่องตลกฉากหนึ่ง
ทั้ง ๆ ที่นี่เป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
ตัวแทนของพวกเขาทั้งสองคนต้องถึงแก่ความตายในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ
ไม่ว่าจะเป็นเฟิงอู่เหินหรือเซวียนเฟิงเฉิงล้วนแต่ต้องตกตายในกระบวนท่าเดียว
ต้องไม่ลืมว่าทั้งสองคนนั้นคือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเป็น ‘อันดับหนึ่ง’ และ ‘อันดับสอง’ ของสำนัก
แล้วคนอื่น ๆ ที่เหลืออยู่จะไปต่อสู้ได้อย่างไร?
ต่อให้ในหัวใจของพวกเขาจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้นเกลียดชัง แต่ก็ไม่มีลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ทรงกลดคนไหนกล้าลงสู่สังเวียนประลองอีกแล้ว
“การประลองรอบที่สอง สำนักคฤหาสน์กำยานเป็นผู้ชนะ”
ถังกงเยวียน ผู้ดูแลเจดีย์เซียนเหยียบเมฆแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ประกาศชื่อผู้ชนะ
“จบแล้วหรือ?”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าการต่อสู้ของตนเองไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจเท่ากับการต่อสู้ของเม่ยหลิน และไม่น่าสนใจเท่ากับการต่อสู้ของเซียวปิงเลยสักนิด
กระบวนท่าที่เขาใช้ออกไป ล้วนแต่เป็นกระบวนท่าขั้นพื้นฐานทั้งสิ้น
แต่ผู้มีพลังขั้นเซียนระดับหกถึงสองคนกลับเสียชีวิตไปอย่างง่ายดาย
บัดซบ
นี่ยังสร้างความโดดเด่นได้ไม่มากพอตามที่หลินเป่ยเฉินคาดหวังเอาไว้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าของบรรดาผู้คนที่อยู่บนอัฒจันทร์รอบสังเวียน หลินเป่ยเฉินก็พบเพียงความผิดหวังในแววตาของคนเหล่านั้น เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้อย่างที่พวกเขาอยากจะเห็น
หลินเป่ยเฉินจึงเหินร่างกลับมายังอาณาเขตที่นั่งของตนเองด้วยความขุ่นเคืองใจ
“พี่เป่ยเฉินมีออร่าที่สุดเลยเจ้าค่ะ”
หูเหม่ยเอ๋อร์รีบส่งเสียงให้กำลังใจ
คำที่นางกล่าวออกมานั้น เป็นคำที่เด็กสาวแอบได้ยินหลินเป่ยเฉินพูดกับอาจารย์ของตนเอง
มันเป็นคำใหม่ที่หูเหม่ยเอ๋อร์ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ดังนั้นหูเหม่ยเอ๋อร์จึงมั่นใจว่าหลินเป่ยเฉินต้องดีใจแน่ ๆ หากได้ยินนางกล่าวคำนี้
มันจะต้องทำให้เขาคิดว่าหูเหม่ยเอ๋อร์คือเด็กสาวที่เฝ้าสังเกตทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวตลอดเวลา
อีกทั้งนางยังสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
เด็กสาวยิ้มแฉ่งรอรับคำชมเชย
แต่หลินเป่ยเฉินกลับเพียงมองนางด้วยหางตาและกล่าวว่า “เหม่ยเอ๋อร์ เจ้าช่างทำตัวได้เหมือนพวกแฟนคลับสมองกลวงยิ่งนัก”
“แฟนคลับสมองกลวงหรือเจ้าคะ?”
หูเหม่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้วด้วยความมึนงง “คืออะไรเจ้าคะ? เกี่ยวข้องกับโรคสมองเสื่อมหรือไม่?”
“แน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้อง ที่บ้านเกิดของข้านั้น การด่าว่าใครเป็นบุคคลสมองเสื่อมถือเป็นคำชมเชย และแฟนคลับสมองกลวงก็คือคำที่เอาไว้เรียกกลุ่มคนที่ชื่นชมบุคคลสมองเสื่อมเหล่านั้น”
หลินเป่ยเฉินนั่งลงและถามว่า “เจ้าเริ่มทำตัวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”
หูเหม่ยเอ๋อร์ตอบกลับไปด้วยความกระตือรือร้นว่า “ตั้งแต่ที่ข้าน้อยได้พบหน้าพี่เป่ยเฉินเจ้าค่ะ ข้าน้อยยินดีที่ได้เป็นแฟนคลับสมองกลวงอย่างยิ่ง”
หลินเป่ยเฉินได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ
ขอบใจมากที่ยอมรับว่าเขาเป็นบุคคลสมองเสื่อม
หลินเป่ยเฉินไม่รู้จะพูดคำใดอีกแล้ว