ตอนที่ 1,116 เจ้าเห็นอะไรในนั้น
เดี๋ยวก่อนนะ แล้วนี่เขาจะกลัวทำไมเนี่ย?
ช่างไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
บรรยากาศก็แค่แปลกประหลาดเท่านั้น
ไม่มีเหตุผลอะไรที่หลินเป่ยเฉินต้องหวาดกลัว
ให้ตายสิ
สงสัยคงต้องตั้งสติสักหน่อยแล้ว
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าอากวงโดยไม่รู้ตัว
มุสิกยักษ์ยังคงยกขวดน้ำเต้าบรรจุสุรากรอกใส่ปาก เส้นขนบนร่างกายชี้ชันราวกับตัวเม่น
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็นึกอะไรได้บางอย่าง
ผิดแล้ว
นี่คือการโจมตีทางพลังจิตใช่หรือไม่?
สถานที่แห่งนี้มีพลังคุกคามจิตใจผู้คน?
เด็กหนุ่มพยายามบังคับตนเองให้หันกลับไปมองทางชายชราผู้นั่งขัดสมาธิอยู่บนด้ามจับกระบี่ยักษ์ในบ่อลาวา
ฉู่ซิงเยี่ยเปลือยกายล่อนจ้อน ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์เลยสักชิ้น แต่ด้วยความที่เส้นผมของเขายาวรุงรัง มันจึงปิดบังตลอดทั่วทั้งร่างกาย ดวงตาของชายชราแดงก่ำ ดูดุร้ายและน่ากลัว
เมื่อสบตามองชายชราผู้นี้ หัวใจของหลินเป่ยเฉินก็สั่นกระตุกด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง
ต้องใช่แน่ ๆ
นี่คือการโจมตีด้วยพลังจิตของฉู่ซิงเยี่ย
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเวียนหัวตาลาย ตกอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น สองเท้ายืนอย่างไม่มั่นคง ได้ยินเสียงในหูดังขึ้นว่า “มานี่สิ มาหาข้า เจ้าเด็กน้อย มาหาข้า มานี่สิ มาอยู่กับข้า…”
หลินเป่ยเฉินกำลังจะยกเท้าก้าวออกไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว
“จี๊ด”
อากวงกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ
มันรีบกอดรัดผู้เป็นเจ้านายของตนเองสุดความสามารถ
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้สติกลับคืนมา
แย่แล้วสิ
เขารีบสะบัดศีรษะ
เกือบโดนเล่นงานแล้วไหมล่ะ
เอ๋?
ว่าแต่ทำไมอากวงถึงไม่เป็นอะไรเลย?
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความแปลกใจ ก่อนจมูกจะได้กลิ่นสุราจากร่างเจ้าหนูอสูรหางกุด
สุรา?
ความคิดบางอย่างแวบขึ้นมาในหัวสมองของหลินเป่ยเฉิน
หรือจะเป็นเพราะว่าสุราที่ซื้อหามาจากโทรศัพท์มือถือ จะเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างให้พลังจิตแข็งแกร่งมากขึ้น?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็ไม่รอช้ารีบนำขวดน้ำเต้าบรรจุสุราอู่เหลียงเยี่ยออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ เมื่อเปิดฝาจุกออก เขาก็รีบกรอกสุราใส่ปากตนเองทันที
“จี๊ด?”
อากวงเฝ้ามองด้วยความตกตะลึง
แต่สิ่งที่มันมองก็คือน้ำเต้าบรรจุสุราอู่เหลียงเยี่ย
กลิ่นสุราที่โชยออกมาหอมเตะจมูก
อากวงก้มมองขวดน้ำเต้าบรรจุสุราดาวแดงในมือของตนเอง จากนั้นจึงหันกลับไปมองขวดน้ำเต้าบรรจุสุราอู่เหลียงเยี่ยในมือของหลินเป่ยเฉิน และมันก็เพิ่งตระหนักว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่วิเศษมากกว่าสุราดาวแดงอยู่อีกด้วย
ดวงตากลมโตของมันเบิกโพลงด้วยความปรารถนา
‘ตราบใดที่ข้ารับใช้นายท่านด้วยความซื่อสัตย์ สักวันนายท่านก็ต้องมอบสุราในน้ำเต้าขวดนั้นให้แก่ข้าอย่างแน่นอน!’
อากวงบอกกับตนเองอยู่ในใจ
ในเวลาเดียวกันนี้
เมื่อกระแสความร้อนไหลผ่านลำคอและหลอดอาหาร
ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด เมื่อหลินเป่ยเฉินดื่มสุราลงไป สติของเขาก็กลับมาแจ่มใสอีกครั้ง ไม่ได้มีอาการสะลึมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่นมึนงงและหวาดกลัวอีกแล้ว
ร่างกายของเขาเหมือนได้รับการปรับสมดุลใหม่
เอ๋?
หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
สุราวิเศษนี้สามารถต้านทานการโจมตีด้วยพลังจิตได้จริง ๆ
หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองไปยังชายชราที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนด้ามจับกระบี่ยักษ์อีกครั้ง คราวนี้ พลังจิตของฝ่ายตรงข้ามแทบทำอะไรเขาไม่ได้อีกแล้ว
หรือว่าฤทธิ์ของสุราจะทำให้ประสาทการรับรู้ของเขาเกิดการตอบสนองเชื่องช้าลง และนั่นก็ทำให้ผลกระทบทางพลังจิตลดน้อยลงตามไปด้วย?
“เด็กน้อย มานี่สิ…”
“มาหาข้า มาอยู่กับข้า”
“เร็วเข้า มาหาข้าสิ ข้าจะมอบพลังทั้งหมดให้กับเจ้า…”
“ข้าจะให้ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ”
เสียงที่เย็นเยียบนั้นดังขึ้นในหูของหลินเป่ยเฉิน
แต่ครั้งนี้เด็กหนุ่มสามารถควบคุมตนเองได้แล้ว เขาไม่ได้พยายามก้าวเท้าออกไปข้างหน้าอีกต่อไป
“เอาไงดีวะ?”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกตัดสินใจไม่ถูกขึ้นมาทันที
เห็นได้ชัดว่าท่านเจ้าเมืองคนเก่าผู้นี้ไม่ใช่คนดีแน่ ๆ
เป็นไปได้สูงว่าน่าจะถูกวิญญาณปีศาจเข้าสิง
แต่นั่นแหละที่เป็นปัญหา
หลินเป่ยเฉินไม่ทราบว่าตนเองสมควรสังหารฉู่ซิงเยี่ยเพื่อขจัดปัญหา หรือกลับไปรายงานเรื่องนี้ต่ออาจารย์ติงมากกว่ากัน?
และเมื่อมีเวลาได้ไต่ตรองอย่างถี่ถ้วน เหตุการณ์แปลกประหลาดซึ่งเกิดขึ้นในเมืองไป๋หยุนในรอบหลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะเป็นการหายตัวไปของบรรดาเจ้าสำนัก การตายอย่างเป็นปริศนาของมือกระบี่ชื่อดังประจำเมือง ฯลฯ ล้วนแต่ต้องเกี่ยวข้องกับชายชราผู้นี้แน่นอน
แต่คำถามสำคัญก็คือ หากท่านเจ้าเมืองคนเก่าอย่างฉู่ซิงเยี่ยถูกวิญญาณปีศาจเข้าสิง แล้วหลานชายของเขาอย่างฉู่อวิ๋นซุนที่เป็นเจ้าเมืองคนใหม่ล่ะ?
หรือว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉู่อวิ๋นซุนต้องพยายามอย่างหนักที่จะจองจำฉู่ซิงเยี่ยให้อยู่ที่นี่?
อย่าบอกนะว่าฉู่อวิ๋นซุนเป็นคนดี?
แต่จะอธิบายอย่างไรเรื่องพลังและความแข็งแกร่งที่แปลกประหลาดของฉู่อวิ๋นซุนเล่า?
ให้ตายเถอะ
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าเมืองไป๋หยุนมีความลับอยู่มากมายเกินไปแล้ว
เด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อย แต่ก็พยายามจะพูดคุยสื่อสารกับฉู่ซิงเยี่ยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว
ทุกครั้งที่เขาพยายามพูดคุย สายโซ่ทั้งสิบหกเส้นก็จะสั่นไหวด้วยความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และเสียงสะท้อนของสายโซ่ก็ดังเคร้งก้องกังวานสั่นประสาทผู้คนยิ่งนัก
หลินเป่ยเฉินยังคงพยายามพูดคุยต่อไปสลับกับยกขวดน้ำเต้าสุราขึ้นดื่มเป็นระยะ
เขาค้นพบว่ามีคลื่นพลังกระจายตัวออกมาจากสายโซ่สีดำทมิฬเหล่านั้นยามที่พวกมันเคลื่อนไหวอยู่เสมอ
หากเดาไม่ผิด สายโซ่เหล่านี้จะคอยทำหน้าที่ดูดซับพลังในตัวของฉู่ซิงเยี่ยและนำพลังเหล่านั้นไปกระจายสู่กำแพงหินที่อยู่โดยรอบบ่อลาวา
นี่เป็นภาพที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นชายชราผู้ที่นั่งอยู่บนด้ามจับกระบี่ยักษ์ หรือจะเป็นกำแพงหินที่ปิดกั้นบริเวณโดยรอบ สายโซ่ขนาดใหญ่ทั้งสิบหกเส้น หรือแม้กระทั่งบ่อลาวาที่อยู่ด้านล่าง
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกันหมด
นี่คือสถานที่ที่แปลกประหลาดมากเกินไป
หลินเป่ยเฉินนำกระบี่เงินของตนเองออกมา
แม้กระบี่เล่มนี้จะไม่ได้มีน้ำหนักเท่ากับกระบี่เพลิงโลกันตร์ แต่มันก็ได้ชื่อว่าเป็นกระบี่เล่มสุดท้ายในวิชาชีพนักหลอมกระบี่ของผู้อาวุโสเฉิน ดังนั้นวัตถุดิบที่ถูกนำมาหลอมรวมเป็นกระบี่เล่มนี้จึงเป็นสุดยอดวัตถุดิบคุณภาพสูงทั้งสิ้น
ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะสามารถตัดสายโซ่พวกนี้ได้หรือไม่?
ใช่แล้ว
เขาต้องตัดสายโซ่พวกนี้ทิ้งไป
แค่เหวี่ยงกระบี่ฟันลงไปอย่างแรงทีเดียวเท่านั้น
ไม่ต้องลังเลอีกแล้ว
เพียงกระทำอย่างรวดเร็ว
เพียงแค่ตัดสายโซ่เหล่านี้ทิ้งไป
ปริศนาทั้งหมดก็จะได้รับการไขกระจ่าง
หลินเป่ยเฉินแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ปรารถนาที่จะใช้กระบี่ฟันสายโซ่ให้ขาดสะบั้น
และโดยที่ไม่ทันรู้ตัว เขาก็เงื้อกระบี่ขึ้นสูงแล้ว
แต่ในทันใดนั้น อากวงก็รีบใช้กรงเล็บแหลมคมของมันข่วนก้นของหลินเป่ยเฉินเพื่อเป็นการเรียกสติ
หลินเป่ยเฉินกลับมาได้สติอีกครั้ง
เอาอีกแล้ว!
เกือบไปแล้วไง!
ขนาดมั่นใจว่าไม่เป็นอะไรแล้วนะเนี่ย!
สุดท้ายก็เกือบพลาดท่าจนได้
ความคิดที่อยากจะฟันสายโซ่เหล่านั้นทิ้งไป ย่อมเป็นการควบคุมจิตใจของฉู่ซิงเยี่ย
หลินเป่ยเฉินรีบขยับเท้าก้าวถอยหลังออกมาโดยเร็ว
หลายเดือนที่ผ่านมา เขาลืมเลือนเรื่องการฝึกพลังจิตไปโดยปริยาย แม้ว่าแอปพลิเคชันพลังจิตขั้นพื้นฐานในโทรศัพท์มือถือจะยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าไม่ได้ใช้พลังจิตเป็นประจำ ความสามารถก็จะเสื่อมถอยลง และหากในอนาคตข้างหน้าจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ชำนาญด้านการใช้พลังจิต หลินเป่ยเฉินก็มองเห็นชะตากรรมของตนเองเลยว่าเขาจะต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่นอน
“อยู่ไม่ได้แล้วโว้ย”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจหันหลังกลับทันที
ภารกิจของเขาคือมาสืบสวนหาความจริงที่ซ่อนเร้นอยู่ในสุสานกระบี่
ไม่ใช่ให้นำพาชีวิตของตนเองมาตกอยู่ในอันตราย
และข้อมูลที่ได้มาในขณะนี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
“กลับกันเถอะ”
หลินเป่ยเฉินจูงมืออากวงรีบเดินกลับไปตามเฉลียงทางเดินอันมืดมิด
“กลับมานะ กลับมา กลับมาก่อน…”
“เด็กน้อย อย่าเพิ่งไป ได้โปรดกลับมา”
เสียงที่เย็นเยียบของชายชรายังคงดังกังวานอยู่ในหัวของหลินเป่ยเฉิน
ยิ่งเด็กหนุ่มเดินออกมาไกลมากเท่าไหร่ เสียงนั้นก็ยิ่งฟังดูคลุ้มคลั่งมากเท่านั้น
หนึ่งคนหนึ่งมุสิกเดินขึ้นมาจากสุสานใต้ดิน และเมื่อกลับมาถึงบริเวณป้ายศิลาขนาดใหญ่บนพื้นดิน เสียงในหัวของหลินเป่ยเฉินก็หายไปแล้ว
“น่ากลัวชะมัด”
หลินเป่ยเฉินเก็บกระบี่เงินของตนเอง
ในอนาคต คงต้องหาวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังจิตเสียแล้ว
หากอยากอายุยืนมากกว่านี้ และเป็นมือกระบี่ที่ไร้เทียมทาน เขาก็ต้องมีความสามารถรอบด้าน
มิเช่นนั้น จุดอ่อนแม้จะมีเพียงจุดเดียว ก็สามารถนำพาไปสู่ความตายได้เช่นกัน
“กลับออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินยังไม่ทันเดินพ้นป่าหิน เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าของเด็กหนุ่มก็แปรเปลี่ยนไปทันที
ภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง เงาร่างของคนผู้หนึ่งกำลังยืนจ้องมองเขาอยู่ในความเงียบ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่สิบวา
ใบหน้าที่สวยงามแต่เย็นชา บ่งบอกถึงความมั่นใจในตนเอง แววตาที่ดุร้ายยิ่งกว่าสัตว์ป่า…
หากไม่ใช่ลู่กวนไห่แล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก?
อุณหภูมิในอากาศกลับมาเย็นเฉียบอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น และดัดเสียงของตนเองขณะถามว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
เป็นไปไม่ได้หรอกที่นางจะรู้
ขณะนี้ เขาสวมใส่ชุดพรางตัว บนใบหน้าก็ยังมีผืนผ้าสีดำปิดบังหลงเหลือเพียงลูกตาคู่เดียวเท่านั้น
โฮะโฮะโฮะ เขานี่มันฉลาดจริง ๆ
เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องกลัวอีกแล้วว่าผู้ใดจะล่วงรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา
ขั้นตอนต่อไป แค่หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนเสียง ก็ไม่มีใครจดจำเขาได้อีกแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม…
“ข้ารู้”
ลู่กวนไห่ตอบเสียงเรียบ “เจ้าคือหลินเป่ยเฉิน”
นี่มันอะไรกันครับเนี่ย!
หลินเป่ยเฉินยืนเบิกตาโพลงอยู่ตรงนั้น
ทำไมนางถึงรู้ล่ะ?
ลู่กวนไห่ตอบเหมือนอ่านใจเขาได้ “เมื่อสักครู่ ตอนที่เจ้าออกมาจากสุสานกระบี่ ข้าเห็นกระบี่เงินในมือเจ้า”
กระบี่เงินที่หลินเป่ยเฉินถืออยู่ในมือ ณ ขณะนั้น คือกระบี่เงินจากการหลอมของผู้อาวุโสเฉิน ไม่มีทางที่ผู้ใดจะปลอมแปลงได้เด็ดขาด
และมันยังเป็นของคู่กายหลินเป่ยเฉินอีกด้วย
เด็กหนุ่มตบต้นขาตนเองฉาดใหญ่
เห็นไหมล่ะ
ยังคงมีจุดอ่อนจนได้
อุตส่าห์นึกว่าตนเองป้องกันได้หมดทุกทางแล้วเชียว
หลินเป่ยเฉินดึงผ้าปิดหน้าของตนเองลงมา ก่อนจัดแต่งทรงผมที่ยุ่งเหยิง และส่งยิ้มให้แก่อดีตคนรักเก่าของอาจารย์ด้วยความใสซื่อ “ช่างบังเอิญเสียจริงขอรับ พอดีว่าค่ำคืนนี้ยาวนานมากเกินไป… ข้าน้อยนอนไม่หลับ แต่คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าอาจารย์อาลู่ก็นอนไม่หลับเช่นกัน”
“ช่างบังเอิญ”
ลู่กวนไห่พูดพึมพำ ไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะตะโกนเรียกผู้คุ้มกันสุสานออกมาแต่อย่างใด
“เจ้าเข้าไปในนั้น พบเห็นสิ่งใดบ้าง?” นางถาม ดวงตาไม่ปรากฏความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์แม้แต่น้อย