ตอนที่ 228 กลางสายฝน
“อย่างไรอี้เอ๋อร์ก็เป็นถึงองค์ชาย เหตุใดถูกกักตัวไว้ที่สำนักราชวัง”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงคาดเดาได้ว่าพระสนมซูเฟยไปฟ้อง ก็ระงับโทสะในพระทัยลง อธิบายด้วยสุรเสียงสงบนิ่ง “เขาไปการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติติ้งเป่ย แต่ก่อความผิดมหันต์”
“ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ลำบากลำบนเช่นนั้น จะก่อความผิดอันใดได้ อี้เอ๋อร์ยังได้รับร่มหมื่นราษฎร์กลับมามิใช่หรือ”
เดิมฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่คิดเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ไทเฮาฟัง แต่เห็นท่าทีไทเฮาไม่ยอมเลิกรา ก็ได้แต่ตรัสว่า “เจ้าตัวบัดซบทุจริตเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย ยังต้องสงสัยกวาดล้างสังหารชาวบ้าน”
ไทเฮาเป็นนิ่งอึ้งพูดไม่ออกไปทันที
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ถือโอกาสกล่อม “ยามนี้แล้ว เสด็จแม่รีบกลับตำหนักไปพักผ่อนเถอะ”
ไทเฮาระงับอารมณ์ตนเองก่อนเอ่ยว่า “ฮ่องเต้ ข้าไม่เข้าใจบางเรื่อง”
“เสด็จแม่ไม่เข้าใจตรงไหน”
“ราชวงศ์ต้าซย่าไม่ใช่ของพวกเราหรือ อี้เอ๋อร์ลำบากลำบนเดินทางไป ได้เงินมาสักก้อนหนึ่ง ก็มิใช่เงินทองของพวกเราเองหรือ”
เงินของเราเอง เหตุใดยังเรียกว่าทุจริตเงินทอง?
น้ำเสียงไทเฮารู้สึกสมเหตุสมผลยิ่ง ทำให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สะอึกตรัสอันใดไม่ออก
หากเป็นผู้อื่นกล่าวเช่นนี้ เขาก็คงไม่ลังเลนำตัวไปโบยตายที่หน้าประตูอู่เหมินแล้ว ทำอย่างไรได้ คนที่กล่าวเช่นนี้เป็นมารดาแก่เฒ่าที่ไม่รู้หนังสือและอายุเกือบเจ็ดสิบของเขา
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้แต่กล่อมด้วยหลักการง่ายที่สุด “ตัวอย่างเช่น หากเสด็จแม่ดูแลตระกูล ตระกูลเรามีโรงนาถูกเผา เสด็จแม่นำเงินจากบัญชีกลางไปซ่อมใหม่ ปรากฏคนที่ไปจัดการโกงกินเงินค่าสร้างโรงนาใหม่ ไม่ได้สร้าง คนงานโรงนาเหน็บหนาวตายหิวตาย พื้นดินก็แห้งแล้ง แม้คนไปจัดการเรื่องนี้เป็นคนในตระกูลเรา หรือว่าไม่ควรลงโทษ หรือหากวันหน้าทุกคนเลียนแบบเช่นนี้ ตระกูลเรามิต้องล้มหรือ…”
ไทเฮาคล้ายถูกกล่อม ได้แต่เอ่ยอย่างลังเลว่า “เช่นนี้ก็จริง แต่กักตัวไว้ที่สำนักราชวังรุนแรงเกินแล้วกระมัง”
“ก็มิได้ลงทัณฑ์สอบ เพียงแค่ไร้อิสระชั่วคราว รุนแรงอย่างไรกัน”
“เช่นนั้นก็ได้” ไทเฮาก่อนจากไปยังรู้สึกไม่วางใจ กำชับอีกว่า “ฮ่องเต้ก็อย่าได้ทรงกริ้วมากเกินไป ระหว่างบิดากับบุตรไหนเลยจะมีความแค้นข้ามคืน”
“ข้าทราบแล้ว”
พอส่งไทเฮากลับไปแล้ว สีพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็เคร่งเครียด รับสั่งเรียกขันทีไปถ่ายทอดราชโองการที่ตำหนักฮั่นตั้นกง
ตำหนักฮั่นตั้นกง พระสนมซูเฟยเดินไปมาอย่างร้อนใจ
ไทเฮาทำให้ฮ่องเต้เปลี่ยนพระทัยได้หรือไม่
“พระสนมตำหนัก คนจากเฉียนชิงกงมาพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมซูเฟยรีบก้าวออกไปทันที
คนที่มาก็คือขันทีติดตามอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด
พระดำรัสฮ่องเต้ พระสนมซูเฟยอบรมบุตรบกพร่อง ตั้งแต่นี้ไปให้อยู่แต่ในตำหนักฮั่นตั้นกงพิจารณาตนเอง…” ขันทีประกาศราชโองการรับสั่งจบก็รีบออกไปทันทีคล้ายว่าตำหนักฮั่นตั้นกงเป็นสัตว์ดุร้ายน้ำบ่าไหลหลาก
พระสนมซูเฟยนิ่งอึ้งไปเป็นนาน กวาดแก้วน้ำชาบนโต๊ะลงพื้น
บรรดาผู้คนในตำหนักต่างเงียบกริบ มีเพียงบ่าวหญิงสูงวัยกล้าเข้ามาเอ่ยปลอบพระทัย “ในเวลาเช่นนี้พระสนมก็ต้องยิ่งนิ่งสุขุมนะเพคะ”
“ข้าเพียงแค่คิดไม่ถึง…”
คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะแล้งพระทัยได้ถึงเพียงนี้
คำพูดต่อจากนั้น พระสนมซูเฟยไม่ได้เอ่ยออกมา กุมมือบ่าวหญิงสูงวัยพึมพำว่า “ตำหนักเฉียนชิงกงส่งคนมาเร็วเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าไทเฮากลับไปในเวลาไม่นาน ไทเฮาเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ได้ใช่หรือไม่”
บ่าวหญิงสูงวัยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฮ่องเต้ทรงกตัญญูต่อไทเฮาที่สุด ไทเฮากลับมาเร็วเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ทรงรับฟังคำพูดของไทเฮา พระสนมทำพระทัยให้สบาย รอให้ฮ่องเต้ทรงหายกริ้ว ชิ่งอ๋องก็จะไม่เป็นอันใดแล้ว”
“ขอให้เป็นเช่นนี้…” พระสนมซูเฟยรู้สึกว่าไม่ได้ง่ายดายเพียงนี้ แต่ก็อดฝากความหวังไว้ที่ไทเฮาไม่ได้
ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว พระจันทร์ลอยเด่นเดียวดายกลางท้องนภา ตำหนักฮั่นตั้นกงปกติสว่างไสว แต่ยามนี้เข้าสู่ค่ำคืนเงียบสงัด
วันต่อมาฝนตกโปรยปราย ซินโย่วถือร่มกระดาษอาบน้ำมันออกจากจวนรองเจ้ากรม
เมื่อวานหลิวโจวส่งจดหมายมาบอกเล่าเรื่องราวที่คุณหนูจูขวางเกี้ยวร้องทุกข์ ยังเอ่ยถึงเรื่องที่วันนี้เฮ่อชิงเซียวจะเดินทางไปติ้งเป่ย
ท่ามกลางกระแสคลื่นลมเช่นนี้ นางไม่สะดวกไปพบกับใต้เท้าเฮ่อเพื่อคุยรายละเอียด แต่ก็อดออกไปเดินบนท้องถนนไม่ได้ ไปดูสักหน่อยว่ามีอันใดเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่
คนบนท้องถนนยังคงไปมาขวักไขว่ดังเดิม ความจริงก็ไม่ได้มีอันใดเปลี่ยนแปลงไป เมืองหลวงคล้ายว่าอยู่ท่ามกลางความรุ่งเรืองเช่นนี้ตลอดกาล
ซินโย่วหุบร่มลง เดินเข้าไปในร้านน้ำชาที่เหมือนไม่ได้เลือกเฉพาะเจาะจง
ความจริงก็ไม่นับว่าเดินเข้าไปอย่างไม่ได้เลือกเฉพาะเจาะจง แต่นางเลือกร้านน้ำชาละแวกศาลซุ่นเทียน พอซินโย่วนั่งลงดื่มน้ำชา ก็ได้ยินคนที่มาฆ่าเวลากันที่ร้านน้ำชาเริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเมื่อวาน
“เมื่อวาน คุณหนูผู้นั้นถูกจับกุมตัวเข้าคุกหลวงกระมัง”
“เจ้าว่าจริงหรือที่คณะผู้แทนพระองค์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติไม่เพียงแต่ทุจริต ยังสังหารชาวบ้าน?”
“ย่อมต้องเท็จ ข้ามีญาติอยู่ผิงเฉิง หลายวันก่อนมีจดหมายมาบอกว่าทางการแจกข้าวสาร…”
พอได้ยินว่ามีคนมีญาติอยู่เมืองผิงเฉิง คนไม่น้อยก็พากันซักถามอย่างละเอียดยิ่งขึ้น
“กล่าวเช่นนี้ คุณหนูผู้นั้นพูดจาเหลวไหลน่ะสิ! นางหวังสิ่งใด ไม่กลัวถูกประหารหรือ”
“อาจเพราะสมองมีปัญหา”
ซินโย่วขี้เกียจฟังต่อ จ่ายเงินแล้วก็เดินออกมา
ท่ามกลางสายฝนพรำ มองไปไร้ขอบเขต เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้มาดื่มน้ำชาด้านหลังก็เริ่มได้ยินไม่ชัด
“คุณหนูอย่าไปฟังคนพวกนั้น พวกเขาล้วนไร้สมอง” เสี่ยวเหลียนปลอบใจ
ซินโย่วยิ้มกล่าวว่า “เป็นเช่นนี้จริงๆ”
คนในเมืองหลวงยังนับว่ารู้ความมากแล้ว ชาวบ้านห่างไกลถึงกับไม่รู้ปีรัชศกที่เท่าไร ผู้ใดเป็นฮ่องเต้ พวกชิ่งอ๋องเองก็รู้เรื่องนี้ดี จึงได้กล้ากระทำเรื่องชั่วร้าย ปิดบังหลอกสายตาชาวบ้าน
ด้านหน้ามีม้าขบวนหนึ่งมุ่งขึ้นเหนือ
“คุณหนู ใต้เท้าเฮ่อ!” เสี่ยวเหลียนรีบดึงแขนเสื้อซินโย่วไว้
ซินโย่วมองไปยังร่างสูงสง่าผ่าเผยบนหลังม้าทีหนึ่ง
ยามนี้เฮ่อชิงเซียวหันมาพอดี
บนท้องถนนมีคนมากมายยกแขนเสื้อขึ้นกันฝนพร้อมกับวิ่งไปมากันอย่างรีบร้อน คนที่กางร่มย่อมดูนิ่งสุขุมกว่ามาก ร่มกางอยู่ท่ามกลางสายฝนพรำ
เฮ่อชิงเซียวนั่งอยู่บนหลังม้า มองเห็นสาวน้อยกางร่มอยู่
ลูกน้องมองตามสายตาเฮ่อชิงเซียวไปก็จำซินโย่วได้ กระซิบเตือนว่า “ใต้เท้า คุณหนูโค่ว ต้องการให้ข้าน้อยไปถ่ายทอดอันใดหรือไม่”
“ไม่จำเป็น” เฮ่อชิงเซียวหันกลับไปทันที
ขบวนม้าค่อยๆ หายลับไปจากสายตา
“คุณหนู ใต้เท้าเฮ่อคล้ายว่าเห็นท่านแล้ว”
“อืม กลับจวนรองเจ้ากรม”
ทั้งสองคนเดินออกไปด้วยกัน ตอนขากลับ เสี่ยวเหลียนเรียกรถม้าคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างทาง
ยามนี้จวนรองเจ้ากรมกำลังต้อนรับแขกที่น่าปวดหัวผู้หนึ่ง
“ข้าต้องการพบคุณหนูโค่ว” ไต้เจ๋อเอ่ยขึ้น ทำเอานายหญิงผู้เฒ่าที่คิดถึงความเป็นไปได้มากมายได้ฟังแล้วก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที
โลงศพกู้ชางป๋อยังไม่นำไปฝัง ชิ่งอ๋องถูกกักตัวอยู่ในสำนักราชวัง ซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อที่ยังไว้ทุกข์อยู่มาที่นี่ทำไมกัน
เดิมหากอยู่ในระหว่างไว้ทุกข์ก็ไม่ควรไปเยือนจวนผู้อื่น แต่นายหญิงผู้เฒ่ารู้ว่าซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อผู้นี้เหลวไหล หากมีเรื่องกันนอกจวนขึ้นมา ก็จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากแล้ว ระยะนี้จวนรองเจ้ากรมคิดเก็บตัวให้อยู่นอกวงรัศมีเรื่องราวจริงเท็จเหล่านี้
“พบผู้ใดนะ” นายหญิงผู้เฒ่าถามให้แน่ใจอีกครั้ง
“ข้าต้องการพบคุณหนูโค่ว” ไต้เจ๋อสีหน้าเฉยชา แต่พอเอ่ยถึงคุณหนูโค่ว แววตาก็ส่องประกายวาว
สีหน้านายหญิงผู้เฒ่าย่ำแย่ลงอย่างไม่อาจระงับ
นางคิดว่าความเป็นไปได้ที่มากที่สุดที่คุณชายเสเพลมาเยือนก็คือกังวลว่าจวนรองเจ้ากรมจะยกเลิกการแต่งงาน ปรากฏเขาใช้สถานะพี่เขยมาขอพบหลานสาวอีกคนหรือ
“ซื่อจื่อกลับไปเถอะ หญิงสาวตระกูลเราไม่สะดวกพบชายนอกจวน”
แม้ว่าการตายของบิดาจะทำให้ไต้เจ๋อสุขุมขึ้นไม่น้อย แต่คนเราทำตามใจตนเองไร้กฎเกณฑ์แต่เล็กจนโต จะเปลี่ยนในทันทีได้อย่างไร
ไต้เจ๋อได้ยินว่าไม่ให้พบ ก็ลุกขึ้นมาทันที “นายหญิงผู้เฒ่ากล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ข้าไม่นับว่าเป็นชายนอกจวน ข้าเป็นพี่เขยของนาง!”
ตอนซินโย่วก้าวเข้ามาในเรือนหรูอี้ถังก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกของไต้เจ๋อพอดี