ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1441 ตั้งใจโอ้อวด

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1441 ตั้งใจโอ้อวด

บทที่ 1441 ตั้งใจโอ้อวด

ตอนนี้หัวสมองของกู้เสี่ยวหวานเต็มไปด้วยความสงสัย มองหน้าหญิงสาวสองคนจากตระกูลฟางและซูหมิ่น จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่หากข้ามองไม่ผิด หญิงสาวสองจากตระกูลฟางดูเหมือนจะหวาดกลัวจวิ้นจู่มาก ถ้าใช้สถานะและอำนาจกดขี่ข่มเหงคนอื่นก็ไม่อาจเรียกว่าพี่สาวที่ดีได้ ถึงต่อหน้าเจ้าจะยอม หากแต่ในใจไม่รู้ว่าพวกนางหวาดกลัวมากแค่ไหน ถ้าจะเป็นพี่สาวน้องสาวกันได้ต้องลืมสถานะเหล่านั้นไปเสีย”

“เจ้าอย่ามาพูดไร้สาระ เจ้าห้ามฟังคำยั่วยุของคนนอกเด็ดขาด” ฟางจู๋อวิ๋นหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเคืองหลังจากได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน

เกิดอะไรขึ้นกับบุคคลนี้ ทำไมถึงรู้สิ่งที่นางกำลังคิดอยู่เช่นนี้

หลังจากฟังคำพูดของกู้เสี่ยวหวานแล้ว ซูหมิ่นก็เห็นท่าทางร้อนรนของฟางจู๋อวิ๋น เช่นนี้นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าฟางจู๋อวิ๋นกำลังหมายถึงอะไร

กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าทั้งสองคนกำลังคิดอะไรอยู่ และหลังจากพูดออกไป พี่น้องของตระกูลฟางก็ตกอยู่ในอันตราย

ซูหมิ่นไม่สนใจว่าพี่น้องสองคนของตระกูลฝางจะคิดอย่างไร พวกนางเป็นเพียงสุนัขรับใช้ข้างกายที่มีหน้าที่ลอบกัดคนอื่น

อยากให้นางเป็นพี่สาวน้องสาวจริง ๆ อย่างนั้นหรือ

ฝันไปเสียเถอะ

แต่เสี้ยนจู่อันผิงคนนี้มีท่าทางนิ่งเฉย หากแต่ฝีปากของนาง…

ยอมรับว่าสุดยอดไปเลย

กู้เสี่ยวหวานไม่พลาดสายตาดูถูกและความโกรธที่ฉายชัดบนใบหน้าของซูหมิ่น กู้เสี่ยวหวานจะไม่เข้าใจว่าซูหมิ่นคิดอะไรอยู่ได้อย่างไร

“เสี้ยนจู่อันผิงคงจะพูดเล่นสินะ ทั้งสองคนจงรักภักดีต่อข้าขนาดนั้น ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร” ซูหมิ่นเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นแฝงความเย็นชา นางก้าวไปข้างหน้าและช่วยพยุงทั้งสองคนขึ้นอีกครั้ง “อย่ากังวลไปเลย ใครจริงใจกับจวิ้นจู่คนนี้และใครที่หลอกลวง ข้าสามารถมองเห็นได้ชัดเจน”

คำพูดของซูหมิ่นไม่ได้ทำให้พี่น้องสองคนของตระกูลฟางรู้สึกดีขึ้นมากนัก ตรงกันข้ามพวกนางกลับรู้สึกเย็นวาบทั่วแผ่นหลัง

ซูหมิ่นประคองสองพี่น้องจากตระกูลฟางให้ยืนขึ้น จากนั้นหันไปหาถานอวี้ซูแล้วพูดว่า “อวี้ซู เข้าไปข้างในกันเถอะ อย่าปล่อยให้แขกรอนาน”

รอยยิ้มนั้นช่างอ่อนหวานราวกับว่าไม่มีความตึงเครียดในตอนนี้

พวกนางเดินตามซูหมิ่นไป และทุกย่างก้าวนั้นงดงามยิ่งนัก

กู้เสี่ยวหวานประหลาดใจมากกับความงดงามดังกล่าว

จวนหมิงอ๋องนี้ช่างฟุ่มเฟือยเกินไป

เมื่อผ่านทางเดินก็เห็นว่าตลอดทางเดินถูกแกะสลักด้วยลวดลาย นก ปลา และแมลงที่ดูเหมือนมีชีวิตจริง และพื้นปูด้วยหยกขาวไปตลอดทางราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด

หินประดับและสายน้ำที่ไหลในสวนแต่ละแห่งนั้นแตกต่างกัน และทั้งหมดได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม ด้วยเส้นทางที่เดินไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ใช้เวลาเดินอยู่นานก็ยังไม่ถึงสักที

เมื่อพวกนางมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ถานอวี้ซูก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “หมิงตูจวิ้นจู่ ต้องเดินไปอีกนานแค่ไหน เมื่อก่อนจัดงานเลี้ยงที่นี่ไม่ใช่หรือ”

“ใช่แล้วเคยจัดที่นี่ ปีนี้ข้าจะเปลี่ยนสถานที่ อยู่ข้างหน้าอีกไม่ไกล แค่เดินผ่านไปอีกไม่กี่สวนก็จะถึง แล้ว” ซูหมิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม

ถานอวี้ซูหัวเราะเบา ๆ และมองไปทางซ้ายและขวา “หมิงตูจวิ้นจู่กำลังเชิญชวนให้เราเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพที่สวยงามของจวนหมิงอ๋องอย่างนั้นหรือ ทัศนียภาพนี้สวยงามกว่าภายในวังเสียอีก”

ซูหมิ่นตอบด้วยรอยยิ้ม “เพราะฮ่องเต้โปรดปรานที่นี่”

ถานอวี้ซูและกู้เสี่ยวหวานเดินเคียงข้างกัน หลังจากฟังคำพูดของซูหมิ่น นางก็ยิ้มและเอียงศีรษะเพื่อมองไปที่กู้เสี่ยวหวาน พลางเห็นรอยยิ้มขบขันในดวงตากันและกัน

ฟางหลานซินและฟางจู๋อวิ๋นติดตามพวกเขาตลอดเวลา พวกนางจะพลาดท่าทางระหว่างทั้งสองคนไปได้อย่างไร พวกนางจ้องมองกันและกัน และลดสายตาลงทันทีโดยวางแผนที่จะรายงานต่อหมิงตูจวิ้นจู่ในภายหลัง

ดูเหมือนว่าจะเป็นไปตามที่ถานอวี้ซูกล่าว กลุ่มคนเดินทางผ่านจวนหมิงอ๋องแล้วหยุดที่ลานบ้าน

รอบ ๆ บริเวณเต็มไปด้วยดอกไม้ที่บานสะพรั่งราวกับเป็นฤดูใบไม้ผลิ

ในขณะนี้ ไม่มีดอกบัวที่สลักอยู่บนหยกขาว แต่ในหยกขาวกลับฝังหินทรงกลมคล้ายไข่มุก เช่นเดียวกับถนนที่ปูด้วยหินกรวดนำไปสู่ลานบ้านโดยตรง

ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะและเสียงร้องเพลงของผู้หญิงดังมาจากลาน ดูเหมือนว่านี่คือสถานที่ที่ซูหมิ่นใช้จัดงานเลี้ยง

“เอาล่ะ เรามาถึงแล้ว อวี้ซู เสี่ยวหวาน ทุกคนกำลังรอเราอยู่ข้างใน เข้าไปข้างในกันเถอะ” หลังจากพูดจบ นางก็เหลือบไปมองใบหน้าของกู้เสี่ยวหวาน แต่กลับมองไไม่เห็นความกังวลหรือความกระวนกระวายบนใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานเลยสักนิด

ซูหมิ่นเป็นผู้นำทาง โดยที่ถานอวี้ซูดึงกู้เสี่ยวหวานให้เดินตามไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไร เสียงข้างในก็ยิ่งดังมากขึ้นเท่านั้น

ไม่รู้ว่าข้างในเล่นอะไรกันจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครึกครื้นเช่นนี้

หลังจากได้ยินดังนั้น ซูหมิ่นก็หันกลับมาพูดด้วยรอยยิ้ม “ดูสิ เราจำเป็นต้องมีการรวมตัวกันมากกว่านี้จริง ๆ เห็นไหมว่าพวกเราพี่น้องมักจะอยู่ในห้องส่วนตัว เราจะมีโอกาสหัวเราะได้อย่างไร”

มีความพึงพอใจในดวงตาของนาง

“บ้านของท่านจวิ้นจู่มีเต็มไปด้วยความสนุกสนาน มันทำให้เราอยากจะมาทุกวัน” ฟางจู๋อวิ๋นชมเชยหลังจากได้ยินสิ่งนี้

ฟางหลานซินยิ้มและพูดว่า “เจ้านี่ช่างมีปากหวานเหลือเกิน มาที่นี่ทุกวันเพื่อดูว่าจวิ้นจู่ไม่ได้ทิ้งเจ้า”

“จวิ้นจู่เป็นคนมีเกียรติ ใจดีและใจกว้าง ดังนั้นนางจะไม่ดูถูกข้า” ฟางจู๋อวิ๋นมองไปที่หมิงตูจวิ้นจู่ด้วยใบหน้าที่ประจบสอพลอ ด้วยรูปลักษณ์ที่มีเสน่ห์ดูเหมือนว่านางจะคุ้นเคยกับหมิงตูจวิ้นจู่เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม นางเห็นความสั่นไหวในดวงตาของนางอยู่ราง ๆ เมื่อนางไม่เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของซูหมิ่น ฟางจู๋อวิ๋นยังคงประหม่าเล็กน้อย ดวงตาของนางหลุบลงเล็กน้อยเพราะกลัวว่าคำพูดของนางจะทำให้ซูหมิ่นไม่มีความสุข

เมื่อซูหมิ่นได้ยินสิ่งนี้ก็หัวเราะ “จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร ถ้าพวกเจ้ามาหา ทำไมข้าจะไม่ดีใจล่ะ เจ้าว่าอย่างไรอวี้ซู เจ้าและข้าต่างก็ไม่มีพี่สาวคนอื่นในครอบครัว ข้าดีกว่าเจ้าเล็กน้อยตรงที่ข้ามีพี่ชาย เราอยู่บ้านคนเดียวทั้งวัน ถ้ามีเหล่าพี่น้องที่ดีอยู่เคียงข้างแบบนี้ ชีวิตต้องสดใสกว่าอยู่บ้านคนเดียวมากเลยใช่ไหม”

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท