บทที่ 245 รีบจากไปเสีย!
บทที่ 245 รีบจากไปเสีย!
เมื่อเผชิญกับสองคนที่ไม่พูดอะไรก็จะร่วมมือกันรุมทำร้ายหลิงเยว่จึงตัดสินใจตอบโต้
หัวหน้าตะขาบมรกตกำลังจะคายน้ำลาย ดีที่หลิงเยว่หยุดได้ทัน ไม่เช่นนั้นคงจะเป็นแอ่งน้ำอีกสองแห่ง…
“เจ้าไปช่วยข้าขวางสามคนนั้นไว้ ระวังอย่าให้เกิดเรื่องรุนแรงเกินไปนะ”
หัวหน้าตะขาบมรกตปล่อยให้บริวารสามตัวจัดการ ส่วนนางก็แบกเตาปิ้งย่างที่ใหญ่กว่าตัวร้อยเท่าหนีออกจากการต่อสู้ของสามคน
“รุ่นพี่ ท่านยังเรียกชื่อข้าเมื่อครู่อยู่เลย!”
ฉีซิวซีผู้ไม่สามารถเอาชนะหลิงเยว่ได้มีสีหน้าเคร่งเครียด ส่วนสือเชี่ยนก็เช่นกัน พวกเขารู้สึกว่าคนตรงหน้านี้รับมือได้ยาก
“ข้าไม่เพียงรู้จักชื่อ แต่ข้ายังรู้จักเจ้าด้วย”
หลิงเยว่กระโดดมายืนข้างหลังสือเชี่ยนแล้วตบเขาทันที “รุ่นพี่สือเชี่ยน”
สือเชี่ยนที่ถูกตบกระเด็นออกไปแล้ว ลงไปนอนแผ่บนพื้นเป็นหลุม เมื่อเขาได้ยินเสียงก็ลุกพรวดขึ้นมาทันที โดยไม่สนใจเลือดกำเดาที่ไหลออกมา เขาจับมือฉีซิวซีที่เตรียมจะเข้ามาอีกครั้งเอาไว้
“เจ้า เจ้า… ศิษย์น้องรอง?”
สือเชี่ยนที่รู้ว่าหลิงเยว่ถูกคนทั้งโลกผู้บำเพ็ญเซียนไล่ล่า แม้กระทั่งชื่อก็ไม่กล้าพูด เพราะกลัวว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่รอบข้างจะได้ยินแล้วเรื่องอาจจะบานปลาย…
นับประสาอะไรกับหัวของหลิงเยว่คนเดียวที่ยังมีค่ากว่าสิ่งของในวิหารเสินโม่ด้วยซ้ำ
“ศิษย์น้องรองไหน?” ฉีซิวซีมองหลิงเยว่กับสือเชี่ยนสลับไปมา เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ยังไม่ค่อยกล้าเชื่อ คนตรงหน้าที่ปลอมตัวเป็นอวี้เจินอาจจะเป็นศิษย์น้องที่พวกเขาเคยรุมทำร้าย
“เป็นข้าเอง” หลิงเยว่ที่ถูกจำได้ก็หยุดมือ พูดด้วยเสียงของตัวเอง
นี่มันเรื่องจริง!
ฉีซิวซีเบิกตากว้าง แล้วดึงหลิงเยว่ไปที่มุมหนึ่งแล้วพูดว่า “ศิษย์น้อง ข้าสงสัยว่าเจ้ากล้าไปไหนมาไหนโดยลำพังไกลถึงเมืองฝู่ซางเช่นนี้ได้อย่างไร?”
บ้าหรือไม่!
“มีเหตุผลที่ข้าจำเป็นต้องมา และให้ข้าเรียกว่าศิษย์พี่อวี้เจินจะได้ไม่เกิดเรื่องร้าย”
สือเชี่ยนเหลือบมองหลิงเยว่ผู้มีท่าทีเย่อหยิ่ง จนอดคิดไม่ได้ว่าหากนางตะโกนว่า หลิงเยว่อยู่ที่นี่สักคำ หลิงเยว่คงจะได้รู้ซึ้งถึงความหมายของคำว่าตายแน่
“มิเรียกก็ได้”
เมื่อหลิงเยว่เห็นแววตาข่มขู่ของสือเชี่ยน นางหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วดึงทั้งสองมานั่งที่หน้าเตาย่าง “มาเถอะ มารับประทานด้วยกัน การที่เราได้พบกันเช่นนี้ คงเป็นเพราะโชคชะตา”
จะให้พวกนางกินอะไร? เหล็กที่รองเตา หรือถ่านไฟกันแน่?
ในขณะที่ทั้งสามกำลังต่อสู้กันอยู่นั้น หัวหน้าตะขาบมรกตก็ได้จัดการกับอาหารที่วางอยู่ด้านบนจนหมดเกลี้ยงแล้ว และบัดนี้มันก็กำลังนอนอยู่ข้างเตาผิงพร้อมกับลูบหน้าท้องของมันด้วยท่าทางอิ่มเอมใจ
“มากินตะขาบย่างกันเถอะ” หลิงเยว่หยิบหัวหน้าตะขาบมรกตขึ้นมาวางไว้ตรงกลางเตาแล้วเร่งไฟให้แรงขึ้น
“เจ้าเปราะบาง เจ้าจะฆ่าข้ารึ!”
หัวหน้าตะขาบมรกตกระโดดหนีออกจากเตา แม้ไฟเหล่านี้จะไม่สามารถทำอันตรายมันได้ แต่ยังคงร้อนอยู่พอสมควร
หลิงเยว่หยิบวัตถุดิบขึ้นมาวางบนเตาอีกครั้ง จากนั้นก็สำรวจใบหน้าฟกช้ำของทั้งสองคนที่นางเพิ่งซ้อมไปเมื่อครู่ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกสะใจ ยามนี้พวกเขาก็มีสภาพเช่นนี้แล้ว!
สือเชี่ยนพูดไม่ออก นางผูกใจเจ็บจริง ๆ เรื่องที่ซ้อมนางนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว อีกอย่างพวกเขาก็ลงมือไปตามคำสั่งของศิษย์พี่อวี้เจิน!
“หอจี้ซื่อส่งคนมามากมาย ศิษย์น้องรีบกลับสำนักเสียเถอะ ก่อนที่ข่าวการเดินทางออกจากเมืองฝู่ซางของเจ้าจะแพร่ออกไป”
แม้สำนักหลานเทียนจะส่งคนมาเป็นจำนวนมากเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับสำนักหอจี้ซื่อแล้วก็ยังมีจำนวนน้อยกว่าอยู่มาก อีกทั้งยังมีค่าหัวที่ล่อตาล่อใจอยู่เบื้องหน้าอีกด้วย ผู้ที่ต้องการหัวของหลิงเยว่เพื่อไปแลกนั้นมีไม่น้อย นับว่าแทบไม่มีโอกาสที่จะชนะเลย
“ไม่กลับ เจ้าทั้งหลายกินอิ่มแล้วรีบไปซะ อย่าไปบอกใครอื่นว่าเจอข้า”
หลิงเยว่ไม่อยากให้พวกศิษย์พี่ต้องมาเดือดร้อน แต่โชคดีที่หอจี้ซื่อรู้ว่าสำนักหลานเทียนมิใช่สำนักที่ยอมคนง่าย ๆ ด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ จึงมีเพียงนางกับอาจารย์ใหญ่เท่านั้นที่ถูกสั่งให้กำจัด
เมื่อเห็นว่าการเกลี้ยกล่อมไร้ผล พี่น้องร่วมสำนักทั้งสองก็หันไปมองเพื่อนร่วมทางสามคนที่ถูกทำให้สลบไปอยู่ด้านหลัง ทั้งสามเป็นคนที่พวกเขาเพิ่งรู้จักเมื่อตอนเดินทางมาที่นี่ จึงยังไม่แน่ใจว่าจะไว้ใจได้เท่ากับเพื่อนร่วมสำนัก ฉะนั้นแล้ว พวกเขาควรทิ้งเพื่อนเหล่านี้ไว้ แล้วไปอยู่เคียงข้างหลิงเยว่หรือไม่?
ฉีซิวซีเพิ่งจะเอ่ยปาก สือเฉียนก็รีบห้ามไว้ นางส่ายหน้าให้เขาอย่างแผ่วเบา “หากให้ศิษย์น้องเดินทางเพียงลำพัง เป้าหมายของนางก็จะแคบลง ในทางกลับกัน หากพวกเราติดตามไปด้วย จะยิ่งทำให้คนอื่นจับตามองมากขึ้น”
นั่นเป็นความจริง หลิงเยว่พยักหน้าเห็นด้วยอย่างเต็มที่
ก่อนจากไป หลิงเยว่หยิบอมยิ้มและสุราปราบมารสองถ้วยออกมา “เจ้าทั้งหลายจงเก็บเหล้านี้ไว้ หากเผอิญพลาดพลั้งถูกมารเข้าสิงก็ให้รีบดื่มเข้าไป”
สุราปราบมาร!
สือเฉียนซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก นางรีบโผเข้ากอดหลิงเยว่
หลังจากส่งหลิงเยว่ไปแล้ว ฉีซิวซีก็ถอนหายใจออกมา นึกไม่ถึงว่าเวลาเพียงแปดเก้าปีจะเปลี่ยนคนได้มากขนาดนี้ ศิษย์น้องผู้นั้นเคยเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่พวกเขาต่างรังแกจนร้องไห้ แต่บัดนี้กลับกลายเป็นคนที่สามารถจัดการพวกเขาได้เพียงลำพัง แถมยังโด่งดังไปทั่วทั้งโลกบำเพ็ญเซียนอีกด้วย ช่างน่าอิจฉาเสียจริง!
“เจ้าเรียกว่าการที่ทั่วหล้าผู้บำเพ็ญเซียนออกไล่ล่าคือโด่งดังหรือ?”
สือเฉียนไม่เข้าใจความคิดของศิษย์น้องผู้นี้เอาเสียเลย แม้แต่หน้าของตนเองยังใช้ไม่ได้ นับประสาอะไรกับชื่อเสียงเกียรติยศไร้สาระเช่นนี้ แต่สำหรับนางแล้ว การไม่ได้รู้ว่าหลิงเยว่ในเวลานี้เป็นอย่างไรบ้างต่างหากที่น่าเสียดายนัก นางโตขึ้นแล้วเป็นแน่แท้ แถมยังต้องงดงามกว่าเดิมเป็นแน่
ชายฉกรรจ์ทั้งสามที่ถูกทำให้สลบรู้สึกมึนงงหลังจากที่ตื่นขึ้นมา พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งใดทำให้ตนสลบไป ก่อนหน้าที่จะสลบไป พวกเขาทั้งสามต่างเตรียมใจไว้แล้วว่าจะไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีก แต่บัดนี้…
“พวกเราไล่นางไปแล้ว”
สือเฉียนโบกกุ้งตัวใหญ่ที่เพิ่งปิ้งเสร็จในมือไปมา “นี่คือของกำนัลจากการสู้รบ”
“นี่อะไร น่าเกลียดชะมัด”
แม้จะพูดเช่นนั้นแต่ก็ยังรับของกำนัลนั้นมากินอยู่ดี
ทั้งห้าคนที่ได้กินอาหารทะเลปิ้งย่างเป็นครั้งแรก ก็ยอมจำนนตั้งแต่คำแรกที่ได้กิน
หลิงเยว่ที่เดินมาไกลแสนไกล นางเลียริมฝีปาก มองไปที่ม่านหมอกมืดมิดราวกับหมึกดำของสนามรบโบราณ เสียงประหลาดแว่วมาแผ่วเบา ชวนให้ผู้คนอดใจที่จะเดินเข้าไปสำรวจไม่ได้
หลิงเยว่คิดเช่นนั้นก็ลงมือทำทันที
ถึงแม้ว่าประตูวิหารเสินโม่จะยังไม่เปิด แต่ตอนนี้ก็สามารถไปสำรวจสภาพพื้นที่ก่อนได้ เมื่อประตูวิหารเปิด นางจะตรงไปที่ร่างจำแลงของอสูรเทพ จัดการควักหัวใจของมันออกมา แล้วจากไปทันที!
แผนนี้สมบูรณ์แบบสุด ๆ!
หลิงเยว่ที่ถูกม่านหมอกกลืนกิน รู้สึกใจเต้นแรงและหวาดผวา หัวหน้าตะขาบมรกตมองอย่างเจ็บปวด ม่านหมอกยังคงเหม็นเหมือนเดิมตามความทรงจำ ทำให้เขาแทบคลั่ง!
เพื่อไม่ให้ตัวเองคลั่ง เขาจึงมุดเข้าไปในผมของหลิงเยว่ กอดฮวนฮวนที่ปลอมตัวเป็นปิ่นปักผมรูปอวี้หลันฮวาแล้วหลับไป
“เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
อีกาสุริยันที่กำลังหลับอยู่สะดุ้งตื่น มนุษย์คนนี้ไม่รู้อะไรเลยหรือว่าตนมีความหมายอย่างไรต่อเผ่าอสูรและม่านหมอก
“รีบหนีไปจากที่นี่!”
นกศักดิ์สิทธิ์ตัวน้อยเตือนหลิงเยว่ ทำให้นางรู้สึกเป็นลางไม่ดีแล้วเตรียมจะวิ่งหนี…
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทัน หลิงเยว่ได้ถูกปิดล้อมไว้แล้ว
เหล่าสัตว์ประหลาดที่เหยียบย่ำม่านหมอกแผดเสียงคำรามก้องกังวาน ฟ้าร้องตอบกลับมาจากระยะไกล พื้นดินสั่นไหวราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังวิ่งอยู่
เหล่าสัตว์ประหลาดทั้งหมดในสนามรบตื่นขึ้นแล้ว พวกมันส่งเสียงร้องแล้ววิ่งตรงมาที่หลิงเยว่
หลิงเยว่ “!!!”
นางใช้วิชาเคลื่อนคล้อยไร้ลักษณ์หลบหลีกการโจมตีของเหล่าปีศาจแล้ววิ่งสุดแรงออกไป
เสียงอันยิ่งใหญ่ในสนามรบปลุกเหล่าผู้บำเพ็ญภายนอกสนามรบให้ตื่นขึ้น พวกเขาทั้งหมดต่างหันไปมองสนามรบที่จู่ ๆ ก็คึกคักขึ้นมา
“ประตูวิหารเสินโม่จะเปิดก่อนเวลาหรือไม่!”
“เป็นไปได้ รีบบอกให้พวกศิษย์น้องเร่งความเร็วเข้า เดี๋ยวจะไม่ทัน!” มีผู้บำเพ็ญคนหนึ่งเร่งเร้าคนข้าง ๆ อย่างร้อนรน สายตาไม่กล้าละจากสนามรบเลยแม้แต่นิด เกรงว่าจะพลาดโอกาสเข้าสู่วิหารเสินโม่
“เร็ว ๆ เตรียมตัวให้พร้อมทุกคน เมื่อวิหารเสินโม่ปรากฏแล้ว ข้าจะบุกเข้าไปในทันที!”