ตอนที่ 443 เสียงเข่นฆ่ายามค่ำคืน
กว่าจะได้มาที่ตัวเมืองสักครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย เลี่ยวต้าหนิวและคนอื่นๆ ตกลงกัน คิดว่าต้องไปหาหมอเพื่อซื้อวัตถุดิบยาบางอย่างกลับไป โรคระบาดกำลังจะมาถึง ถึงตอนนั้นแล้วอาจหาซื้อยาไม่ได้
ทั้งขบวนจึงไปที่ร้านขายยาที่ค่อนข้างคุ้นเคยในอำเภอแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้มีคนในหมู่บ้านต้องการเจียดยา ส่วนใหญ่จะมายังโถงช่วยชีวิต ตอนนี้มาถึงแล้วเห็นหลงจู๊ร้านค้ายาซึ่งเป็นหมอของร้านแห่งนี้ กำลังเจียดยาห่อยากับลูกศิษย์อยู่ในร้าน
คนมาเจียดยาที่ร้านไม่มาก เลี่ยวต้าหนิว เหล่าจาง และคนอื่นๆ สบตากันก่อนรีบเดินไปสอบถาม
“ท่านหมอจ้าว พวกข้าอยากเจียดยาหน่อย”
หลงจู๊ได้ยินเสียงแล้วหันกายไปมอง เห็นกลุ่มของเลี่ยวต้าหนิวเข้ามาในร้านขายยาแล้ว
เรื่องที่เหล่าเลี่ยวนำคนหมู่บ้านเหมาทันขุดหลุมฝังศพ ความจริงแล้วมีคนรู้เยอะเหมือนกัน หลงจู๊โถงช่วยชีวิตก็รู้จักคนเหล่านี้เช่นกัน
แม้หลายคนบอกว่าเหล่าเลี่ยวและคนหมู่บ้านเหมาทันโง่นัก แต่ในฐานะหมอคนหนึ่ง ไม่ว่าเป็นด้านคุณธรรมหรือด้านจริยธรรมของอาชีพหมอล้วนรู้สึกว่าคนหมู่บ้านเหมาทันทำดีมาก ปกติแล้วเมื่อคนจากหมู่บ้านนี้มารักษาโรคจึงดูแลเป็นพิเศษ
“อ้อ เป็นเหล่าเลี่ยวเหล่าจางนี่เอง พวกเจ้าเข้าเมืองหรือ ช่วงนี้อยู่ที่หมู่บ้านตนเองดีกว่า นอกอำเภอเริ่มมีโรคระบาดแล้ว ไปไหนมาไหนน้อยหน่อยนะ”
ฟังหมอพูดถึงเรื่องนี้ เหล่าเลี่ยวรีบพูดว่า
“ใช่ๆ พวกข้าถึงคิดเจียดยาเอาไว้หน่อยอย่างไรเล่า ท่านหมอจ้าว ท่านเจียดยาป้องกันโรคระบาดหรือรักษาโรคระบาดให้พวกข้าหน่อยเถอะ”
หมอจ้าวมองไปทางหลงจู๊
“บังเอิญนัก ข้ากำลังเตรียมอยู่พอดี พวกเจ้าต้องการเท่าไหร่ เอาอย่างนี้เป็นอย่างไร เตรียมปริมาณสำหรับยี่สิบคน กินได้สามวัน หากติดโรคระบาดใช้ยาจนหมดก็ค่อยมาหาข้า”
“ได้ๆๆ ท่านเป็นหมอ ทำตามท่านว่าดีที่สุด!”
เลี่ยวต้าหนิวและคนในหมู่บ้านรีบพยักหน้า
ไม่นานนักหลายคนก็ถือยาออกจากร้านขายยาไป จากนั้นตรงออกจากเมือง
เมื่อเลี่ยวต้าหนิว เหล่าจาง และคนอื่นๆ กลับถึงหมู่บ้านเหมาทันก็มองเห็นควันพวยพุ่งจากหลายครัวเรือน ทำงานมานานกว่าค่อนวัน เตรียมอาหารเซ่นไหว้วิญญาณผีในหลุมฝังศพได้พอประมาณแล้ว
พวกเหล่าเลี่ยวกลับมาพอดิบพอดี ท้องฟ้ายังคงสว่างจ้า การเซ่นไหว้ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์หมู่บ้านเหมาทันเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เหล่าชายหญิงใช้หากไม่ใช้ตะกร้าก็ใช้รถเข็น อาหารหลากหลายอย่างถูกส่งไปทางหลุมฝังศพ แน่นอนว่ามีโต๊ะใหญ่และอุปกรณ์เซ่นไหว้พร้อมสรรพ
อาหารทั้งหมดอยู่ในกะละมัง มีทั้งน้ำแกงและอาหารแห้ง ส่วนใหญ่เป็นผัก หากใช้จานก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เท่าไหร่ ใช้กะละมังสะดวกกว่าหน่อย ไม่น่าหกเลอะเทอะง่าย
คนทั้งหมดสี่สิบกว่าคนไปถึงด้านนอกเนินฝังศพอย่างรวดเร็ว หัวหน้าหมู่บ้านและเลี่ยวต้าหนิวยกอาหารที่เตรียมไว้เป็นพิเศษมาสองสามจาน วางไว้ตรงหน้าศาลเจ้าที่ เมื่อวางตะเกียบเรียบร้อยแล้วค่อยเทสุราสองถ้วย
หลังจากเทียนและธูปที่จุดไฟแล้วส่งกลิ่น หัวหน้าหมู่บ้านนำทุกคนคารวะเจ้าที่ด้วยกัน
“ขอท่านเจ้าที่คุ้มครอง ขอท่านเจ้าที่คุ้มครอง!”
เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านถึงค่อยลุกขึ้นยืน
“เอาล่ะ ทุกคนขนโต๊ะบนรถเข็นลงมา วางไว้บนพื้นตรงที่ว่าง แล้วเอาอาหารวางไว้บนโต๊ะ”
“ใช่ๆๆ รีบเตรียมข้าวของ อีกเดี๋ยวท้องฟ้าจะมืดแล้ว”
คนในหมู่บ้านบางคนไม่ค่อยได้มาทางเนินดินฝังศพ เห็นเนินดินมากมายขนาดนี้แล้วกลัวอยู่บ้าง พอฟังว่าอีกเดี๋ยวท้องฟ้าจะมืดแล้ว แม้ตอนนี้ยังไม่ถือว่าเย็นย่ำ แต่ก็เคลื่อนไหวคล่องแคล่วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
กะละมังใส่อาหารมากมายยังคงมีไอร้อนถูกวางบนโต๊ะขนาดแปดคนนั่งสิบตัว ส่วนอีกจำนวนหนึ่งถูกวางไว้บนพื้นโดยรอบที่ค่อนข้างสะอาด ยิ่งมีจอกสุรากาสุราวางไว้ด้วย และมีการจุดธูปเทียนเช่นกัน
ด้วยการนำของหัวหน้าหมู่บ้าน สี่สิบกว่าคนที่มาที่นี่เซ่นไหว้อาหารที่วางไว้เต็มโต๊ะอย่างไม่หยุดหย่อน เหล่าเลี่ยวยิ่งเอ่ยปากเสียงดังอยู่หลายคำ
“ผู้กล้าทั้งหลาย ธงรบและอาวุธกำลังทำอยู่ วันนี้เซ่นไหว้อาหารให้พวกเจ้ากินก่อน หมู่บ้านเหมาทันของพวกข้าไม่ใช่สถานที่ร่ำรวยอะไร มีความสามารถจำกัด อาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่ดีที่สุดที่พวกข้าทำได้แล้ว หากผู้กล้าทุกท่านไม่รังเกียจก็ขอเชิญรับประทาน!”
อุณหภูมิข้างเนินดินฝังศพต่ำกว่าที่อื่นอยู่บ้าง ลมหนาวพัดมาเป็นครั้งคราว ทำให้คนในหมู่บ้านตัวสั่นงันงก
แสงเทียนวูบไหวอย่างรุนแรง ทุกคนพากันถอนออกจากอาณาเขตด้านในของเนินดินฝังศพ มายังด้านนอกของศาลเจ้าที่ คอยการเซ่นไหว้อาหารจบลง ทั่วไปแล้วจุดธูปเทียนที่โต๊ะเซ่นไหว้แล้วไม่จำเป็นต้องรอนานเกินไป แต่วันนั้นพวกเขาคิดรอมากกว่าสองเค่อ
ตกเย็น อาหารของทุกครัวเรือนในหมู่บ้านเหมาทันไม่ต่างอะไรกับตอนฉลองปีใหม่ ทำอาหารมากมายขนาดนี้ ไม่อาจโยนทิ้งให้เสียเปล่าได้ แต่ละบ้านย่อมต้องนำกลับไปกินสักหน่อย
ทว่าตอนกำลังกินข้าวอยู่นั้น คนในหมู่บ้านหลายคนรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้จืดชืดอย่างมาก จืดชืดกว่าอาหารเหลือจากการเซ่นไหว้บรรพบุรุษในบ้านเสียอีก แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เหล่าคนในหมู่บ้านเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง
คืนนั้นเอง พื้นที่ฝังศพวังเวงขึ้นเรื่อยๆ เจ้าที่ปรากฏกายที่หน้าศาล นั่งอยู่บนศาลขนาดเล็กของตนเองแล้วมองเรื่องที่ขึ้นขึ้นในเนินดินฝังศพ
ผีไม่เหมือนกับคน คนต้องกินอาหารทุกวัน ทว่าเรื่องการเซ่นไหว้อาหารนั้น หนึ่งปีไม่จำเป็นต้องทำหลายครั้ง ใบหน้าและความรู้สึกของเหล่าผีในวันนี้แตกต่างกับก่อนหน้านี้มาก
“เวลากระชั้นชิด ข้าไม่อาจฝึกทุกท่านจนกลายเป็นนักรบมากความสามารถได้ แต่พวกเราเป็นผี ไม่เหมือนกับคน ดังนั้นพวกเราให้ความสำคัญกับท่าร่างและฝีเท้ามากกว่า! สรุปได้คำเดียวว่า ‘มั่นคง’ !”
“ทุกท่าน! พวกเราให้คำมั่นต่อหน้าผู้มีพระคุณแล้ว ไม่อาจทำให้ผู้มีพระคุณและคนหมู่บ้านเหมาทันผิดหวังได้!”
ผีทหารสองคนยืนอยู่ข้างกัน แขนประสานกันราวกับเล่นมวยปล้ำ เมื่อทั้งคู่ออกแรงต้องการสะบัดอีกฝ่ายให้กระเด็นไป ทว่าไม่มีใครสั่นคลอนทั้งสิ้น หนึ่งตนในนั้นพูดไม่หยุดปาก
“เวลาไหนก็ล้มไม่ได้! ข้างกายล้วนเป็นเพื่อนทหาร เชื่ออาวุธในมือ เชื่อเพื่อนทหารข้างกาย! ฮ่า…”
ขณะกำลังพูดอยู่ นายทหารตนนี้ตะโกนเสียงดังแล้วสะบัดผีอีกตนข้างกายกระเด็นไป ฝ่ายหลังไม่ปล่อยมือ พามันลอยหวือไปสามจั้งพร้อมกัน จากนั้นตกลงบนเนินดินฝังศพแห่งหนึ่ง
“พี่น้องทั้งหลาย! ทุกคนล้วนรู้แล้วว่าผีอย่างพวกเราก่อนตายมีชีวิตลำบาก ตายแล้วอายุขัยเหลือไม่มาก พวกเราตายมาแล้วครั้งหนึ่ง…ครั้งที่แล้วพวกเราตายอย่างเปล่าประโยชน์ ครั้งนี้แม้ต้องตายก็ต้องตายอย่างกล้าหาญ!”
เจ้าที่นั่งไขว่ห้างพลางมองไปไกล รู้สึกว่านายทหารตนนี้เป็นผีมีความสามารถ ตอนยังมีชีวิตเกรงว่าผ่านความลำบากมาไม่น้อย น่าเสียดายที่เสียชีวิตตอนอายุยังน้อยอยู่
…
สามวันให้หลัง เลี่ยวต้าหนิวและคนในหมู่บ้านจำนวนหนึ่งเข้าไปในอำเภอเมืองอีกครั้ง จ่ายเงินที่เหลือแล้วรับธงรบและอาวุธที่อาจารย์ช่างทำกระดาษทำขึ้น
กลับมาถึงหมู่บ้านแล้วก็ไม่ได้หยุดพัก นำข้าวของตรงไปยังเนินดินฝังศพ วางกองไว้นอกพื้นที่ฝังศพแล้วเผา แต่สิ่งที่เลี่ยวต้าหนิวและคนในหมู่บ้านเหมาทันไม่รู้ก็คือ ตอนเผาอาวุธกระดาษเหล่านี้ เจ้าที่ยืนท่องอะไรบางอย่างอยู่ข้างกองไฟแล้ว ใช้พลังของตนเองเติมเข้าสู่เปลวเพลิงแห่งความปรารถนาของคนหมู่บ้านเหมาทัน
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง มีข่าวที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาดถึงหูของคนในหมู่บ้านเหมาทันมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ได้ยินว่ามีโรคระบาด ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร
วันนี้เลี่ยวต้าหนิวและหัวหน้าหมู่บ้านนั่งยองอยู่บนโถส้วมท้ายหมู่บ้าน หัวข้อสนทนาของทั้งคนเกี่ยวกับโรคระบาดเช่นกัน
“ไยยังไม่มาอีก”
“พูดมั่วอะไรของของเจ้า เจ้าอยากให้มาหรือไร”
“เอ่อ แน่นอนว่าไม่มาดีที่สุด นั่นแน่นอนว่าดีที่สุด…”
เลี่ยวต้าหนิวพูดแล้วพลันรู้สึกเวียนศีรษะ จึงเงยหน้ามองท้องฟ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือตามสัญชาตญาณ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเวียนศีรษะหนักขึ้น ทันใดนั้นเสียงของหัวหน้าหมู่บ้านดังมา
“เหล่าเลี่ยว เจ้ารู้สึกหรือไม่…ว่าท้องฟ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือเหมือนกับจะถล่มลงมา”
“ขะ ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น อีกทั้งเวียนศีรษะ…”
เหล่าเลี่ยวขยี้ตามองอีกครั้ง รู้สึกว่าท้องฟ้าทางนั้นเป็นปกติดี ทว่ามองดูให้ละเอียดนานหน่อยกลับเริ่มเวียนศีรษะ จึงรีบมุ่งความสนใจไปที่การปลดทุกข์
หวิว…หวิว…
ลมหลายระลอกพัดมา ต้นไม้ต้นหญ้าที่อยู่ไม่ไกลจากห้องสุขาสั่นไหว เสียงลมดังขึ้นยิ่งกว่าเดิม
สิ่งที่หัวหน้าหมู่บ้านและเลี่ยวต้าหนิวไม่รู้คือ ตอนนี้เจ้าที่กำลังมองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือด้วยสีหน้าหวาดกลัว แม้ห่างออกไปไกลมาก และเขาไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ความรู้สึกลี้ลับน่ากลัวกลับเข้มข้นนัก
‘มีผู้สูงส่งใช้วิชา!’
วันนี้ยามราตรีมาถึงเร็วเป็นพิเศษ คนในหมู่บ้านเหมาทันกลับบ้านปิดประตูหน้าต่างอย่างดีแต่หัววันเช่นเคย ส่วนข้างนอกหมู่บ้านนั้น เมื่อพระอาทิตย์ตกดินไป ทุกอย่างยังคงเหมือนกับหลายวันก่อนหน้านี้ ผีในเนินดินฝังศพหลายต่อหลายตนถืออาวุธปรากฏตัวที่นอกหมู่บ้าน ต่างฝ่ายต่างฝึกซ้อมและเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้
เสียงลมรุนแรงมาก เหมือนมีคนกำลังร้องไห้ เจ้าที่พลันปรากฏกายที่หน้าหมู่บ้าน ทันทีที่เขามองไปไกล ผีที่เนินดินฝังศพโดยรอบหยุดการกระทำแล้ว
“มาแล้ว!”
เจ้าที่พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ส่วนเหล่าผีตั้งสติตั้งมั่น
“พี่น้องชายหญิงทุกท่าน จับอาวุธในมือไว้ให้แน่น ก่อนตายพวกเรามีชีวิตยากลำบาก ตายแล้วกลับได้รุ่งโรงจน์สักครา ตั้งธงรบ…”
“รับบัญชา!”
“รับบัญชา!”
“รับบัญชา!”
แม้ผีที่ตั้งธงรบเป็นเพียงคนธรรมดาเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้พวกมันตอบรับคำสั่งเสียงดัง จากนั้นกลับไปที่ตำแหน่งของตนเอง
ที่ไกลมีแสงสีเขียวขยายมาแล้ว ถึงขนาดได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและเสียงคำรามที่มีแต่ความชั่วร้าย เป้าหมายของแสงสีเขียวและเสียงเหล่านั้นชัดเจนมาก นั่นก็คือมุ่งหน้ามายังสถานที่ที่มีคนเป็น
“ฮู่…เฮือก…”
“โฮก…”
“อ๊า…อ๊า…”
ข้างนอกหมู่บ้านเหมาทัน ผีหลุมฝังศพกลุ่มใหญ่จัดกระบวนแถว ทหารผู้นำพวกมันตะโกนเสียงดัง
“ยิงธนู!”
ลูกธนูในมือผียิงธนูฉายแสงวาววาบ ทันใดนั้น
สวบๆๆๆๆ…
ลูกธนูหลายสิบลูกบินไปในระยะไกล ผีทหารไม่จำเป็นต้องตั้งใจเล็ก ลูกธนูก็ถูกผีโรคระบาดเองแล้ว
หลังจากนั้นประมาณสิบกว่าลมหายใจ เสียงตะโกนที่ดังยิ่งกว่าดังขึ้นข้างนอกหมู่บ้าน
“ฆ่า!”
“บุก!”
…
ในหมู่บ้านเหมาทัน ไม่ว่าเลี่ยวต้าหนิวหรือหัวหน้าหมู่บ้าน หรือแม้แต่คนในหมู่บ้านมากมายล้วนฝันว่าได้ยินเสียงเข่นฆ่าที่น่าเวทนา เสียงดังจากข้างนอกหมู่บ้าน ราวกับทุกคนในหมู่บ้านนอนอยู่บนสนามรบอย่างไรอย่างนั้น
บางคนตื่นเพราะฝันร้าย แต่หลังจากตื่นแล้วก็ยังคงได้ยินเสียงฆ่าฟันกันรางๆ แม้จะไม่ได้ดังมากเหมือนกับในฝันก็ตาม…
กลางท้องฟ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือ เมฆหมอกสายหนึ่งลอยมาพร้อมแสงธรรมเตะตา แสงส่องส่องสว่างจ้าตาทว่างดงาม
จี้หยวนและฉางอี้ตั้งใจเผยแสงธรรม เพื่อบอกปีศาจมารที่อาจพบเจอว่าพวกข้าอยู่ที่นี่ นับว่าเป็นวิธีแหวกหญ้าให้งูตื่น ไล่ออกไปได้ก็ดี หรือหนีไปเองก็ช่าง สุดท้ายแล้วไม่หวังให้ปีศาจมารอยู่ที่โลกมนุษย์
“หืม?”
จี้หยวนใช้ตาทิพย์มองไป เหมือนกับเห็นปราณความตายเพิ่มขึ้นแล้วครอบครองสถานที่แห่งหนึ่ง ปราณความตายที่ว่าขมุกขมัวเช่นนั้น ฉางอี้ก็มองเห็นอย่างชัดเจน
“ท่านจี้ เห็นทีมีเรื่องแปลกจริงๆ”
“ไปเถอะ!”
เมฆหมอกข้างล่างทอแสงวาบ ความเร็วในการเหาะเหินเพิ่มขึ้นทันที มุ่งหน้าไปยังที่ไกล