ตอนที่ 229 ข่าวลือแปลกประหลาด
ไต้เจ๋อเห็นซินโย่วในทันที
“คุณหนูโค่ว ข้ามีเรื่องต้องการพบเจ้า”
ซินโย่วเดินเข้ามาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “คุณชายไต้ มาหาข้ามีธุระอันใดหรือ”
“ข้า…” ไต้เจ๋อมองนายหญิงผู้เฒ่าทีหนึ่ง ไม่ได้มีท่าทางเหิมเกริมดังเมื่อครู่อีก “ขอสถานที่คุยสักหน่อยได้หรือไม่”
ซินโย่วย่อกายคำนับนายหญิงผู้เฒ่า “ท่านยาย ข้าพาคุณชายไต้ไปคุยที่โถงข้างสักครู่”
นายหญิงผู้เฒ่าสีหน้าเคร่งเครียด ฝืนเอ่ยว่า “ไปเถอะ”
ดูจากอาการเอาเรื่องของซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อเมื่อครู่ หากนางขวางไว้ จะไม่มีเรื่องจนผู้คนรู้กันทั่วหรือ
ในห้องโถงข้าง ซินโย่วแสดงท่าทีให้เสี่ยวเหลียนออกไปเฝ้าประตูไว้ ก่อนจะมองไปทางไต้เจ๋อ
ก็แค่สิบกว่าวัน คุณชายเสเพลเหิมเกริมสามหาวหายวับไปแล้ว ชายหนุ่มตรงหน้าตอนนี้อิดโรยอย่างมาก
แต่ดวงตาเขากลับส่องประกาย จ้องมองซินโย่วไม่กะพริบ “การตายของท่านพ่อข้าเกี่ยวข้องกับชิ่งอ๋องจริงดังคาด คุณหนูโค่วกล่าวได้ถูกต้อง!”
พี่ชายถูกส่งไปกักตัวในสำนักราชวังแล้ว แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ ท่านพ่อพลอยติดร่างแหไปด้วย!
“คุณชายไต้มาหาข้า…”
ไต้เจ๋อแววตากระตือรือร้น “คุณหนูโค่ว เจ้าดูให้ข้าหน่อย ข้าจะเกิดเรื่องหรือไม่ ข้าเกิดเรื่องไม่ได้ ท่านแม่ข้าได้ยินว่าชิ่งอ๋องถูกกักตัวในสำนักราชวังก็กระอักโลหิตไปแล้ว หากข้าเกิดเรื่องอีก นางต้องทนรับไม่ได้อย่างแน่นอน…”
กล่าวถึงสุดท้าย ชายหนุ่มก็น้ำตาไหลริน
ซินโย่วเม้มปากแน่นเป็นนานก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าดูนรลักษณ์ มองเห็นเพียงระยะเวลาอันใกล้ หากไกลกว่านี้มองไม่ออก”
“ความหมายของเจ้าก็คือในระยะเวลาอันใกล้นี้ข้าจะไม่เป็นอันใดอย่างนั้นหรือ”
ซินโย่วพยักหน้าเล็กน้อย
“ขอบคุณ” ไต้เจ๋อเผยรอยยิ้ม แต่ก็จางลงรวดเร็ว กระชากถุงเงินออกมายัดใส่มือซินโย่ว
ซินโย่วจะรับเงินนี้ได้อย่างไร “คุณชายไต้รีบกลับเถอะ ท่านกำลังไว้ทุกข์ ไปไหนมาไหนจะทำให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์”
ทั้งสองไปพบนายหญิงผู้เฒ่าอีกครั้ง ไต้เจ๋อท่าทีดำรงตนตามธรรมเนียมมากขึ้น “วันนี้มารบกวนแล้ว ขอนายหญิงผู้เฒ่าอย่าได้ตำหนิ”
นายหญิงผู้เฒ่าไหนเลยจะกล้ากล่าวอันใด ไล่เขาไปให้เร็วที่สุดย่อมเป็นการดีที่สุด
พอไต้เจ๋อกลับไป นายหญิงผู้เฒ่าให้บ่าวรับใช้ออกไป มองซินโย่วด้วยสีหน้าจริงจัง “ชิงชิง เจ้ากับซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อ เกิดอันใดขึ้น”
ซินโย่วสีหน้าเปิดเผย “เขามีเรื่องขอร้องข้า”
ปฏิกิริยาแรกของนายหญิงผู้เฒ่าก็คือไม่เชื่อ “เขาจะมาขอร้องคุณหนูเช่นเจ้าหรือ”
“แล้วท่านยายคิดอย่างไรเจ้าคะ” ซินโย่วกระดกมุมปาก “หรือว่าเทียบกับการมาขอร้องข้าแล้ว ท่านยายเชื่อว่าซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อมีใจต่อข้ามากกว่าหรือ”
นายหญิงผู้เฒ่าสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง “ชิงชิง! นี่คือคำพูดที่ออกจากปากของหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนหรือ”
ซินโย่วสีหน้าไม่ยี่หระ “คิดในใจได้ เหตุใดไม่อาจเอ่ยออกมา”
“ยายไม่ได้คิดเช่นนี้ แต่กลัวผู้อื่นนินทาเหลวไหล ทำลายชื่อเสียงของเจ้า”
“เพียงแต่คนจวนรองเจ้ากรมไม่พูด คนนอกก็จะไม่รู้ว่าซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อมาหาข้าที่นี่”
นายหญิงผู้เฒ่าโมโหแทบล้มทั้งยืน
หากแพร่ออกไป ก็เป็นความผิดของจวนรองเจ้ากรมอีก
“ท่านยายอย่าได้กังวลในเรื่องที่ไม่ควรกังวล เทียบกับกู้ชางป๋อที่ถูกโบยตาย ชิ่งอ๋องถูกกักตัวในสำนักราชวัง เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยดังเม็ดงา” ซินโย่วหัวเราะปลอบใจ
นายหญิงผู้เฒ่าหายใจติดขัด แต่ก็รู้สึกได้ถึง ‘การปลอบใจ’
สงบอารมณ์ลงได้ครู่หนึ่ง นายหญิงผู้เฒ่าก็สังเกตการแต่งกายของซินโย่ว “เจ้าไปข้างนอกมาหรือ”
“อืม ออกไปเดินเล่นนิดหน่อยเจ้าค่ะ”
นายหญิงผู้เฒ่าคิดวาจาอบรม แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิด
พอซินโย่วออกไปแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าให้ผู้ดูแลไปอบรมคนเฝ้าประตู
ได้สั่งการคนในจวนไปแล้วว่า ไม่ให้ผู้ไม่ได้รับอนุญาตออกจากจวน เหตุใดคุณหนูนอกออกไปเงียบกริบเช่นนี้ได้
คนเฝ้าประตูยอมรับผิดแต่โดยดี ส่งข่าวไปยังเรือนหว่านฉิง
ซินโย่วรับรู้ได้ถึง ‘ข้อดี’ ของการซื้อตัวคนในจวนรองเจ้ากรมอย่างไม่ตั้งใจอีกครั้ง
จากนั้นหลายวันต่อมา บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงต่างกลัวแม้กระทั่งเสียงลมเสียงนกร้อง[1] คอยแอบสืบความเคลื่อนไหวในราชสำนักอยู่เป็นระยะ
ในเมืองพลันมีข่าวลือว่าที่ไม่พบร่องรอยท่านซงหลิง เพราะท่านซงหลิงไม่คิดเขียนนิยายให้ร้านหนังสือชิงซงแล้ว คุณหนูโค่วเจ้าของร้านร้านหนังสือชิงซงแอบจับตัวท่านซงหลิงกักขังไว้ นอกจากเขียนนิยายแล้วห้ามออกไปที่ใดที่สิ้น
ตอนเสี่ยวเหลียนเล่าข่าวลือนี้ ทั้งโมโหทั้งขำ “เหลวไหลเกินไปแล้ว ช่างแต่งเรื่องออกมาได้”
ซินโย่วกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายเช่นนี้
ควรกล่าวว่า ตั้งแต่อยู่ๆ มีข่าวลือว่าท่านซงหลิงเกี่ยวพันกับฮองเฮาที่หายสาบสูญไปหลายปี ก็เริ่มมีบางอย่างผิดปกติ
ถึงตอนนี้ แทบจะแน่ใจได้แล้วว่าข่าวลือเหล่านี้กระพือออกมาอย่างมีแผนการ
ผู้อยู่เบื้องหลังคือผู้ใด
หากมองจากผลประโยชน์ของชิ่งอ๋องเป็นศูนย์กลาง ยังมีกลุ่มอิทธิพลอื่นอีกหรือ
“ไปบอกกับคนข้างนอกว่า ให้จับตาดูข่าวลือไว้”
ดูท่าคงต้องอยู่จวนรองเจ้ากรมต่อไป
ส่วนฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ในยามนี้กลับคิดต่างจากราชสำนัก เรื่องที่เขาร้อนใจที่สุดไม่ใช่การหลบหนีของผู้บัญชาการกองกำลังเมืองหลวงอู่เหยียนถิง และไม่ใช่พวกเฮ่อชิงเซียวที่ไปตรวจสอบเรื่องที่ติ้งเป่ย
เรื่องเหล่านี้ล้วนมองเห็นและคลำพบ
เรื่องที่เขาร้อนใจที่สุดก็ยังคงเป็นเรื่องข่าวท่านซงหลิง ถึงตอนนี้ก็ยังคงไร้วี่แวว
ในวังหลังก็ไม่มีคนที่เข้าใจพูดคุยความในใจได้ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้อดเผยความคิดต่อมหาขันทีซุนเหยียน
“หรือว่าเราเดาผิด ท่านซงหลิงไม่อยู่เมืองหลวง…”
หากไม่อยู่เมืองหลวง แผ่นดินกว้างใหญ่ หากคนคนหนึ่งคิดหลบซ่อนตัว จะหาเจอหรือ
ซุนเหยียนสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย อยากเอ่ยแต่ไม่ได้เอ่ยออกมา
“ทำไมหรือ”
ซุนเหยียนลังเลเล็กน้อย “ตอนนี้นอกวังมีข่าวลือเกี่ยวกับท่านซงหลิง บ่าวไม่รู้ควรหรือไม่ควรทูล…”
“ว่ามา” พอได้ยินกว่าเกี่ยวข้องกับท่านซงหลิง สีพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็เคร่งเครียด
“บอกว่าคุณหนูโค่วต้องการบีบให้ท่านซงหลิงเขียนนิยาย ขังท่านซงหลิงเอาไว้…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ฟังจบ ก็เพียงแค่รู้สึกว่าน่าขัน “เหลวไหล”
หากไม่กล่าวถึงคุณหนูที่บริจาคห้าหมื่นตำลึงเพื่อช่วยผู้ประสบภัยไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ ยังมีกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินอีก
ร้านหนังสือชิงซงสัมพันธ์กับท่านซงหลิงใกล้ชิด แทบอยู่ใต้จมูกกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน หากมีเรื่องเช่นนี้จะปิดบังได้หรือ
“บ่าวเองก็รู้สึกว่าข่าวลือแปลกประหลาดอยู่บ้าง…”
มองออกว่าคำพูดซุนเหยียนยังไม่จบ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ขมวดคิ้ว “หรือว่ายังมีข่าวลืออื่นอีก”
“บ่าวยังได้ยินว่าฉางเล่อโหวกับคุณหนูโค่วมีสัมพันธ์ส่วนตัวกัน”
ซุนเหยียนไม่อาจเอ่ยคำพูดมากไปกว่านี้อีก
สายพระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ฮ่องเต้ส่วนใหญ่มักมีความหวาดระแวงมาก ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เองก็เช่นกัน
เฮ่อชิงเซียวกับคุณหนูโค่วมีความสัมพันธ์ส่วนตัว การที่หาตัวท่านซงหลิงไม่พบเสียที จะเป็นเพราะความสัมพันธ์นี้หรือไม่
สำหรับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าการตามหาเด็กคนนั้นเจอ
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งก็รับสั่งว่า “เรียกตัวผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเฝิงเหนียนเข้าวัง”
เฝิงเหนียนเข้าวังมาอย่างรวดเร็ว “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
“ก่อนหน้านี้เราได้สั่งการผู้บัญชาการสำนักเจิ้นฝู่ซือเฮ่อเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ผู้บัญชาการสำนักเจิ้นฝู่ซือเฮ่อไปติ้งเป่ย เราเป็นห่วงว่าจะส่งผลกระทบต่อเรื่องนี้ ผู้บัญชาการเฝิงแนะนำคนมารับหน้าที่นี้ต่อชั่วคราวได้หรือไม่”
เฝิงเหนียนรู้ความ ไม่ได้ถามรายละเอียดต่อ คิดแล้วก็กราบทูลว่า “กระหม่อมคิดว่าผู้บัญชาการสำนักหนานเจิ้นฝู่ซือเซียวเหลิ่งสือรับหน้าที่นี้ต่อชั่วคราวได้พ่ะย่ะค่ะ”
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเป็นองค์กรใหญ่ หน้าที่หลักก็คืออารักขาความปลอดภัย ภายใต้หน่วยงานก็มีทั้งสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือและสำนักหนานเจิ้นฝู่ซือ สำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือทำหน้าที่สอบสวนคดีอาญาตามรับสั่ง สำนักหนานเจิ้นฝู่ซือทำหน้าที่คุมกฎหมายและวินัย
สำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือออกหน้ารับทั้งชื่อเสียงบารมีและเสียงด่าทอ แต่สำนักหนานเจิ้นฝู่ซือดำรงอยู่เหมือนไร้ตัวตน
พอเซียวเหลิ่งสือได้รับภารกิจนี้ ก็นำลูกน้องคนสนิทไปสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือทันที
[1] อุปมาถึงความหวาดกลัวลนลาน