ตอนที่ 413 กลับมาในสภาพตกอับ
ยังประกาศพระบัญชาไม่จบ พระชายาผิงหนานอ๋องก็ล้มลงไปกองบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
นับตั้งแต่ที่ผิงหนานอ๋องประสบกับการลอบสังหาร สภาพการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายลงไปทุกที เดินเหินไม่สะดวก แต่ในเวลาเช่นนี้จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ด้วย เมื่อได้ยินว่าองค์รัชทายาทเว่ยเชียงถูกปลด ภายในทรวงอกคล้ายกับมีเปลวเพลิงเผาไหม้ แผดเผาเขาจนสีหน้าบิดเบี้ยว เจ็บปวดจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ดันพูดไม่ออกสักคำ ทำได้แค่ส่งเสียงหอบหายใจอือๆ อาๆ ในลำคอเท่านั้น
“ท่านอ๋อง!”
“พระชายา…”
ข้ารับใช้จวนอ๋องรับมือทางนี้ได้ แต่รับมือทางนั้นไม่ได้ ที่นั่นเต็มไปด้วยความโกลาหล
เว่ยเหวินรู้สึกเหมือนตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง ภายใต้ความสะเทือนใจอันรุนแรง กระทั่งบิดามารดาล้มลงก็ลืมตอบสนอง
เว่ยเฟิงเห็นทุกอย่าง แต่ในใจกลับสงบนิ่งที่สุด
ตั้งแต่เล็กจนโต เขามีชีวิตอยู่ภายใต้เงามืดของพี่ใหญ่ แม้ว่าหลังจากเว่ยเชียงกลายเป็นองค์รัชทายาทแล้ว จะเย็นชาไร้น้ำใจต่อจวนผิงหนานอ๋อง แต่ในสายตาบิดามารดาก็ยังเป็นคนที่ดีที่สุด
ยามที่เรื่องเขาชื่นชอบบุรุษเกิดขึ้น ในสายตาเสด็จแม่ก็ยิ่งกลายเป็นคนไร้ความสามารถ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ
เสด็จแม่ถึงขั้นเอ่ยว่า ขอแค่เขากับหวังซื่อให้กำเนิดบุตรชายก็จะไม่สนใจเขาอีก
นี่เห็นเขาเป็นตัวอะไร หรือว่าการดำรงอยู่ของเขานั้นแค่เพื่อสืบทอดทายาทแทนจวนผิงหนานอ๋องเท่านั้น?
เหอะๆ เขาไม่สามารถชอบสตรีได้ ในสายตาของเสด็จแม่ก็ไม่ใช่กระทั่งมนุษย์คนหนึ่งแล้ว เป็นแค่เครื่องมือในการให้กำเนิดบุตรเท่านั้น
ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า บุตรชายคนโตที่บิดามารดาเห็นว่าเป็นความภาคภูมิใจถูกส่งคืนมาที่จวนอ๋อง เขาล่ะอยากจะเห็นว่า หลังจากนี้ เสด็จแม่จะมีท่าทีเช่นไรกับเว่ยเชียง
ตอนนี้เว่ยเฟิงถึงขั้นรู้สึกสะใจ
หวังซื่อ พระชายาซื่อจื่อซึ่งยืนอยู่ข้างกายเว่ยเฟิงเห็นปฏิกิริยาของเขาอยู่ในสายตาจึงอดตัวสั่นไม่ได้
เกิดเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ขึ้นกับจวนอ๋อง ซื่อจื่อถึงกับไม่สะทกสะท้าน
นางยังเพ้อฝันว่า ซื่อจื่อจะสามารถเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ ตอนนี้ดูท่าจะไม่สามารถคาดหวังได้เลยสักนิด นี่เป็นคนที่สมองมีปัญหาคนหนึ่ง
สามีพึ่งพาไม่ได้ หลังจากที่องค์รัชทายาทถูกปลด จวนอ๋องจะยังสามารถพึ่งพาได้หรือไม่นั้นก็พูดได้ยาก ทำไมชีวิตของนางถึงได้ลำบากขนาดนี้นะ!
หวังซื่อเวทนาตนเองจึงร้องไห้อย่างซื่อสัตย์จริงใจ
ตอนเว่ยเชียงพาอดีตพระชายาองค์รัชทายาทที่ตอนนี้ทำได้แค่เรียกว่าเฉียวซื่อกลับมาที่จวนผิงหนานอ๋อง มีรถม้าติดตามมาแค่สองคัน
ในรถม้าสองคันบรรจุสิ่งสุดท้ายที่สามารถนำกลับมาได้ยามเข้าไปอาศัยในวังบูรพาช่วงแปดปีที่ผ่านมา ไม่อาจกล่าวได้ว่า ไม่เศร้ารันทด
ถึงตอนนี้ เว่ยเชียงก็ยังไม่ได้สติจึงเกือบจะตกลงมาตอนลงจากรถม้า
“นายท่าน ระวังขอรับ!” โต้วเหรินประคองเว่ยเชียงเอาไว้ ทั้งที่ปลายคิ้วและหางตามีความเศร้าที่อำพรางไม่มิด
นอกเหนือจากความเศร้าโศกแล้วก็คือความหวาดกลัวและความรู้สึกโชคดีที่รอดพ้นจากเคราะห์กรรมมาได้
นางกำนัลและขันทีซึ่งปรนนิบัติองค์รัชทายาทในวังบูรพาเหล่านั้น ไม่ถูกฆ่าตายก็ถูกลดตำแหน่งไปยังฝ่ายซักล้าง สถานที่ซึ่งไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ใช้เวลาไม่นานก็ต้องมีจุดจบลงที่ทรมานจนตาย เขาสามารถตามนายท่านกลับมาที่จวนผิงหนานอ๋องได้ก็นับว่าโชคดีแล้ว
จวนผิงหนานอ๋องเอ๋ย…โต้วเหรินประคองเว่ยเชียง มองประตูใหญ่จวนอ๋องแวบหนึ่ง
แปดปีก่อน เขาติดตามนายท่านเข้าวังไปเป็นเพื่อนจากที่นี่ พร้อมกับเกียรติไม่มีที่สิ้นสุด แต่ตอนนี้กลับเศร้าหมองกลับมา
ตอนนี้โต้วเหรินแทบอยากจะร้องไห้เสียงดัง
ถูกหม้อไฟลวก ถูกห่านจิก สิ่งเหล่านี้นับเป็นอะไร ตอนนี้ต่างหากที่โศกเศร้าน่าเวทนาอย่างแท้จริง
แต่เขาดันไม่มีกระทั่งคุณสมบัติที่จะร่ำไห้ออกมา
นายท่านมากมายขนาดนี้รอที่จะร้องไห้อยู่ ไหนเลยจะมาถึงคราวเขาที่เป็นข้ารับใช้คนหนึ่ง
พระชายาผิงหนานอ๋องที่ได้รับข่าวการกลับมาของเว่ยเชียงยังฝืนลุกขึ้นยืน แต่เมื่อได้พบเว่ยเชียง ก็อดไม่ได้ที่จะปิดหน้าร่ำไห้ด้วยความทุกข์ใจ
เว่ยเชียงยืนนิ่ง ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง
เฉียวซื่อจูงมือบุตรสาว แสดงความเคารพพระชายาผิงหนานอ๋อง
พระชายาผิงหนานอ๋องใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ในเมื่อกลับมาแล้ว หลังจากนี้ก็อาศัยอยู่ที่นี่ให้สบายใจ ดูแลสามีและหว่านเอ๋อร์ของเจ้าให้ดี”
เฉียวซื่อก้มหน้าเล็กน้อย พลางรับคำ “ลูกสะใภ้ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
พระชายาผิงหนานอ๋องเบนสายตาไปยังเด็กหญิงที่ถูกเฉียวซื่อจูงมือเอาไว้
นี่คือบุตรสาวเพียงคนเดียวของเว่ยเชียงกับเฉียวซื่อ ชื่อเล่นคือหว่านเอ๋อร์ ตอนนี้ก็คือรุ่นหลานเพียงคนเดียวของจวนผิงหนานอ๋อง
พระชายาผิงหนานอ๋องฝืนแย้มรอยยิ้มบางๆ “ไม่ได้พบกันนานเลยนะหว่านเอ๋อร์ หว่านเอ๋อร์ยังจำย่าได้ไหม”
เด็กหญิงเผยสีหน้าสงสัย “ท่านไม่ใช่ท่านย่าสามหรือเจ้าคะ”
เสด็จแม่เคยบอกว่านี่คือ ท่านป้าสามของเสด็จพ่อ นางก็เรียกท่านย่าสามมาโดยตลอด ตอนนี้ทำไมถึงได้เรียกว่าท่านย่าเสียแล้วล่ะ
คำถามไร้เดียงสาของเด็กหญิงทิ่มแทงใจทุกคนในที่นี้
พระชายาผิงหนานอ๋องหุบยิ้ม พลังใจและเรี่ยวแรงที่อดกลั้นเอาไว้พลันหายไปสิ้น
เฉียวซื่อออกแรงบีบมือบุตรสาวเล็กน้อย “หว่านเอ๋อร์ นี่ก็คือท่านย่าของเจ้า หลังจากนี้อย่าได้พูดจาเหลวไหล ได้ยินหรือไม่”
หว่านเอ๋อร์พยักหน้าคล้ายจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจแล้วถามว่า “เช่นนั้นท่านปู่ล่ะเจ้าคะ”
ในเมื่อท่านย่าสามกลายเป็นท่านย่า ท่านปู่สามก็ต้องเป็นท่านปู่แล้วสินะ?
“เจ้าจะพอได้รึยัง!” เว่ยเชียงพลันตะคอกใส่หว่านเอ๋อร์
หว่านเอ๋อร์ไปหลบอยู่ด้านหลังเฉียวซื่อ พลางส่งเสียงสะอื้นขึ้นมา
เฉียวซื่อกัดริมฝีปาก ข่มเพลิงโทสะ เอ่ยว่า “หว่านเอ๋อร์ยังไม่รู้ความ ท่านระบายความไม่พอใจในใจท่านลงที่ข้าเถอะ”
เว่ยเชียงจ้องเฉียวซื่อเขม็ง
พระชายาผิงหนานอ๋องกำลังจะเอ่ยวาจา นอกประตูก็มีเสียงความเคลื่อนไหว
“พระชายาเจ้าคะ ท่านอ๋องเชิญ…” ข้ารับใช้ที่มาถ่ายทอดวาจาลังเลครู่หนึ่ง “เชิญคุณชายใหญ่ไปพบเจ้าค่ะ”
เว่ยเฟิงซึ่งยืนอยู่กลางห้อง พอได้ยินคำว่า “คุณชายใหญ่” ก็รู้สึกสะใจอย่างยิ่ง
อดีตองค์รัชทายาทกลายเป็นคุณชายใหญ่เสียแล้ว ยังสู้เขาที่เป็นซื่อจื่อไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าเว่ยเชียงจะเคยคิดไหมว่าจะมีวันนี้ด้วย
“หวังซื่อ”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้าไปจัดการสถานที่พักอาศัยให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ของเจ้าด้วย จัดหาที่พักให้พี่สะใภ้เจ้ากับหว่านเอ๋อร์ก่อน”
หวังซื่อรับคำ
พระชายาผิงหนานอ๋องไปยังเรือนของผิงหนานอ๋องกับเว่ยเชียง
เว่ยเฟิงคร้านจะรั้งอยู่สนทนากับหวังซื่อจึงก้าวเท้าตามไปด้วย
สภาพจิตใจผิงหนานอ๋องได้รับความกระทบกระเทือนหนักเมื่อครู่ ตอนนี้มองดูแล้วเหมือนกับเทียนท่ามกลางสายลม มีความเป็นไปได้ที่จะสิ้นลมตลอดเวลา
เมื่อเห็นเว่ยเชียงเข้ามา ผิงหนานอ๋องก็ยกมือชี้มาที่เขา
เว่ยเชียงทำความเคารพอย่างเฉยชา
ผิงหนานอ๋องอ้าปาก เอ่ยวาจาไม่ชัดเจนเป็นพรวน
เว่ยเชียงฟังไม่เข้าใจและไม่มีอารมณ์จะฟัง ยืนอยู่ที่เดิม โดยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
ข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติผิงหนานอ๋องเอ่ยว่า “ท่านอ๋องถาม…ท่านว่า เหตุใดจึงจัดการกับแม่ทัพใหญ่ลั่วเจ้าค่ะ…”
ในพระราชโองการปลดองค์รัชทายาท ระบุเอาไว้ว่า การใส่ร้ายขุนนางชั้นผู้ใหญ่คือความผิดหลักๆ ของการที่เว่ยเชียงถูกปลด
และนี่คือสิ่งที่ทั้งบนและล่างราชสำนักล้วนคิดแล้วไม่เข้าใจ
องค์รัชทายาทกินอิ่มจนแน่นท้องเกินไปหรือ ถึงได้ร้อนอกร้อนใจจัดการกับผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินขนาดนี้?
ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า ทำตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์เสียไปแล้ว
เฮ้อ…ดูเหมือนว่า แม่ทัพใหญ่ลั่วจะล่วงเกินไม่ได้จริงๆ
จะไม่เอ่ยถึงผลกระทบจากการที่องค์รัชทายาทถูกปลดต่อราชสำนักชั่วคราว ตอนนี้เว่ยเชียงฟังข้ารับใช้ถ่ายทอดวาจาของผิงหนานอ๋องแล้ว หนังตาก็สั่นเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร
เหตุใดจึงได้จัดการกับแม่ทัพใหญ่ลั่วน่ะหรือ
เพราะเขาต้องการตัวคุณหนูลั่ว บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่ว หากแม่ทัพใหญ่ลั่วไม่ล้มลง เขาก็ไม่มีทางได้สมปรารถนา
เขาโชคร้ายเกินไป ล้มเหลวเสียแล้ว
“พูด!” เห็นได้ชัดว่าผิงหนานอ๋องโมโหแล้ว วาจาที่เอ่ยออกมาจึงชัดเจนมาก
เว่ยเชียงมองผิงหนานอ๋องด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ในใจเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง
ที่เขามีวันนี้ สืบสาวกันถึงตอนท้ายก็เป็นเพราะบิดาสังหารลั่วเอ๋อร์โดยไม่สนใจความรู้สึกของเขาเลยสักนิดในปีนั้น
หากว่าลั่วเอ๋อร์ยังอยู่ เขาจะมีความคิดเช่นนี้กับคุณหนูลั่วได้อย่างไร ดังนั้นจึงเกิดความขัดแย้งกับแม่ทัพใหญ่ลั่ว
ผิงหนานอ๋องเบิกตากว้าง จ้องเว่ยเชียงเขม็งก็หาความละอายใจในดวงตาคู่นั้นไม่เจอแม้แต่น้อย เห็นเพียงแค่ความเคียดแค้นใจอันเต็มเปี่ยม
เจ้าเดรัจฉานนี่ทำให้สถานการณ์โดยรวมดีๆ กลายเป็นแบบนี้แล้วหันกลับมาโทษเขาหรือ
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา เพลิงโทสะในทรวงอกก็ทะลักขึ้นมา
ผิงหนานอ๋องอ้าปากกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง