ตอนที่ 701 ทำคลอด นางไม่รอดแล้ว!
ฉินหลิวซีกำลังจะไปกล่าวลาเจ้าอาวาสชิงหลาน เหอหมิงที่ไปแล้วกลับมาอีกครั้งวิ่งมาหานางด้วยเหงื่อเต็มหน้าผาก
“ท่านอาจารย์อา ตามศิษย์หลานไปช่วยชีวิตคนเร็วเข้า”
เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะล้มใส่ฉินหลิวซี เฮยซาพลันยื่นมือออกไป ต้านแรงที่กำลังจะพุ่งไปข้างหน้าของเขา มีเสียงดังตุบเกิดขึ้น เหอหมิงล้มลงกับพื้น ก่อนจะลุกขึ้นอย่างคล่องแคล่ว
“ท่านอาจารย์ปู่ของเจ้ากล่าวถูกแล้ว จะรีบไปไหน ค่อยๆ พูด”
เหอหมิงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เอ่ย “ช้าไม่ได้แล้ว หากช้าจะมีคนตาย ซ้ำยังเป็นหนึ่งศพสองชีวิต ท่านรีบไปกับข้าเถิด”
ฉินหลิวซีหุบยิ้ม เอ่ยขึ้น “เกิดอะไรขึ้น เดินไปเล่าไปด้วยเถิด”
เหอหมิงบอกว่ามีหมู่บ้านอยู่ที่เชิงเขาอารามชิงหลาน มีผู้สูงศักดิ์กำลังพักผ่อนอยู่ที่นั่น ตั้งครรภ์ได้แปดเดือนแล้ว จู่ๆ ก็มีความเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน เป็นไปไม่ได้ที่จะกลับไปคลอดบุตรในเมือง ดังนั้นจึงต้องคลอดในหมู่บ้านแล้ว
ดังนั้นอีกฝ่ายจึงเชิญเจ้าอาวาสชิงหลานที่รู้วิชาแพทย์ให้ไปช่วยดู เจ้าอาวาสชิงหลานคำนึงว่าอีกฝ่ายเป็นสตรี และฉินหลิวซีก็อยู่ที่นี่ ถึงจะเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน นักพรตหญิงอย่างนางสามารถช่วยได้มากกว่านักพรตชายอย่างเขา
“อาจารย์ปู่บอกว่าหญิงผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นสถานการณ์ค่อนข้างอันตราย เกรงว่าจะมีอันตรายถึงชีวิต” เหอหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
ฉินหลิวซีได้ฟังดังนั้นก็คว้าคอเสื้อของเขา ใช้วิชาย่นระยะ ไม่นานก็มาถึงหมู่บ้านแห่งนั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้พบคนรู้จักเก่าผู้หนึ่ง
อดีตเสนาบดีหวังขี้เมาที่เกษียณอายุแล้ว
ถัดจากอดีตเสนาบดีหวังยังมีชายชราผมหงอกที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลและร้อนใจ เมื่อทั้งสองคนเห็นฉินหลิวซีและคนอื่นๆ ปรากฏตัวกลางอากาศก็ตกตะลึงเล็กน้อย
“ตายจริง เป็นท่านเจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิวแห่งอารามชิงผิง เหล่าเฉา คราวนี้รอดแล้ว!” อดีตเสนาบดีหวังจำฉินหลิวซีได้ เขย่าแขนสหายเฒ่าด้วยความตื่นเต้นในทันที
ฉินหลิวซีจมูกไว เมื่อเห็นอดีตเสนาบดีหวังก็เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยนัก “ท่านดื่มสุราอีกแล้ว”
อดีตเสนาบดีหวังตัวแข็งเล็กน้อย รู้สึกเขินอาย จากนั้นก็ได้ยินสหายเฒ่าข้างกายกระแอมเบาๆ จึงกล่าวว่า “ดื่มแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเอ่ยถึงเรื่องนี้ ไปช่วยคนก่อน ท่านเจ้าอาวาสน้อย ท่านนี้คือแม่ทัพอาวุโสเฉา เป็นคนบ้านเดียวกันกับข้า ตอนที่ท่านมาคงฟังจากนักพรตน้อยเหอหมิงไปแล้วกระมัง ลูกสะใภ้ของตาเฒ่าเฉากำลังจะคลอดบุตร เกรงว่า…อย่างไรเสียก็ต้องรบกวนท่าน”
แม่ทัพอาวุโสเฉาสีหน้าเป็นกังวล ยกมือขึ้นคำนับฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีเอ่ย “ไว้ค่อยว่ากันเถิด”
ตอนที่นางมาก็ฟังเหอหมิงเล่ามาคร่าวๆ เกี่ยวกับสถานการณ์คลอดบุตรนี้แล้ว นางเป็นม่าย สามีของนางเสียชีวิตเมื่อปลายปีที่แล้วจากการปราบปรามโจร ในท้องกำลังตั้งครรภ์บุตรของคนที่จากไป ซึ่งเป็นความหวังเดียวของตระกูลเฉาในตอนนี้
ใช่แล้ว แม่ทัพอาวุโสเฉาก็เป็นบุตรชายคนเดียว และมีบุตรชายเพียงแค่คนเดียว ตอนนี้บุตรชายไม่อยู่แล้ว ความหวังเดียวที่จะสืบเชื้อสายตระกูลต่อไปอยู่ในท้องของลูกสะใภ้ผู้นี้
แต่ลูกสะใภ้ผู้นี้กลับเป็นคนที่รักฝังจิต สามีไม่อยู่แล้ว นางก็อยากจะตามเขาไปอยู่หลายครั้ง เป็นคนในตระกูลที่ไม่กล้าปล่อยให้คาดสายตาจึงได้อยู่จนมาถึงตอนนี้ได้
อย่างไรก็ตามนางก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ ถึงแม้ว่านางจะกำลังตั้งครรภ์แต่ก็ไม่มีความสุข จึงมาพักฟื้นอยู่ที่หมู่บ้านใกล้กับอารามชิงหลาน ไปฟังพระสูตรทุกวัน หวังว่าจะทำให้จิตใจสงบลง จนกระทั่งตั้งครรภ์ได้แปดเดือน ขณะเตรียมจะกลับไปรอคลอดในเมือง จู่ๆ ทารกก็เริ่มเคลื่อนไหว
การคลอดก่อนกำหนดอาจจะไม่รอด
มีคำพูดเช่นนี้ และอาการของนางก็กำเริบอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นก็เกิดความโกลาหล โชคดีที่เชิญหมอตำแยให้มาคอยดูแลอยู่ข้างกายไว้นานแล้ว จากนั้นจึงส่งคนไปเชิญท่านเจ้าอาวาสชิงหลานที่รู้วิชาแพทย์ แต่สถานการณ์ของเฉาหลินซื่อนั้นเลวร้ายกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก
เฉาหลินซื่อคลอดออกมาไม่ได้
สถานการณ์คับขันเป็นอย่างมาก
ฉินหลิวซีไม่ได้สนใจมาถามสารทุกข์สุกดิบ ตามคนเข้าไปที่เรือนหลัก ด้านนอกห้องคลอด มีเจ้าอาวาสชิงหลานยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดินของห้อง กำลังขมวดคิ้ว แต่เมื่อเห็นฉินหลิวซีก็อ้าปาก
“ทำไมหรือ”
เจ้าอาวาสชิงหลานมองไปยังแม่ทัพอาวุโสเฉาที่ตามมาด้านหลัง เอ่ยเสียงเบาว่า “เกรงว่าจะไม่ดีแล้ว”
เฉาหลินซื่อผู้นั้นไม่มีความปรารถนาที่จะอยู่ต่อ
ฉินหลิวซีรู้สึกหนักอึ้งในใจ สีหน้าก็มืดมนเช่นกัน
“ให้ข้าเข้าไปดูหรือไม่” ฉินหลิวซีมองไปยังแม่ทัพอาวุโสเฉา
ด้วยกลัวว่าแม่ทัพอาวุโสเฉาจะไม่ทราบ เจ้าอาวาสชิงหลานจึงอธิบายว่า “ปู้ฉิวเป็นนักพรตหญิง วิชาแพทย์ยอดเยี่ยม นางเหมาะสมยิ่งกว่าข้านัก”
เมื่อแม่ทัพอาวุโสเฉาได้ฟังดังนั้น จึงให้บ่าวรับใช้ในเรือนพาฉินหลิวซีเข้าไป
ในห้องคลอดไม่ได้เงียบสงบ แต่กลับไม่มีใครกล้าร้องไห้ แต่สถานการณ์ที่กดดันและหดหู่นี้ ทำให้คนหายใจไม่ออก
ทันทีที่ฉินหลิวซีเข้าไป ก็มีบ่าวรับใช้ถืออ่างเลือดออกมาด้วยมืออันสั่นเทา เกือบจะคว่ำลงบนพื้น แต่ฉินหลิวซีตาไวใช้มือพยุงอย่างรวดเร็ว
“ฮูหยินน้อย ฮูหยินน้อยหลับไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านรีบฟื้นขึ้นมาเถิด” มีเสียงร้องไห้ดังตามมา
จากนั้นก็มีเสียงแก่ชราดุว่า “หุบปาก! หมอตำแยจัง รีบคิดหาวิธีเร็วเข้า ตระกูลเฉาของข้าจะตอบแทนอย่างงาม”
“หมอ ให้หมอเข้ามาก่อน” มีเสียงสตรีวัยกลางคนเอ่ยด้วยความตื่นตระหนกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากได้ค่าตอบแทนนี้ แต่ฮูหยินน้อยไม่ให้ความร่วมมือ ข้ามีวิธีเป็นหมื่นก็ช่วยอะไรไม่ได้เจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีเปิดม่านแล้วเดินเข้าไป กลิ่นเลือดรุนแรงปะทะเข้าที่ใบหน้า ทำให้รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน
เมื่อเห็นคนเข้ามา ทุกคนต่างพากันตกใจอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นนักพรตน้อย หมอตำแยที่อยู่ปลายเตียงจึงรีบเอาผ้าห่มบางๆ มาคลุมส่วนล่างของคนไข้
“ข้าเป็นนักพรตหญิง เป็นสตรี” ฉินหลิวซีเอ่ยสองสามคำ ก่อนจะเดินเข้าไป กล่าวว่า “ควรทำอะไรก็ทำ อย่าเอาแต่เหม่อลอย”
นางมองไปยังคนไข้ ทันทีที่เห็นก็เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง สีหน้าดูแย่เป็นอย่างมาก
พลังงานความตายปกคลุมใบหน้า นางอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว
ฉินหลิวซีมองลงไปข้างล่าง แม้ว่าจะมีผ้าห่มบางๆ ปกคลุมอยู่ แต่ก็ยังสามารถมองเห็นท้องอันใหญ่โต และข้างในก็มีพลังงานชีวิตเพียงเล็กน้อย
ทันใดนั้นก็มีลมกระโชกแรงพัดมา
ฉินหลิวซีหันไปมองทันที ท่ามกลางความว่างเปล่า มียมทูตปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ นางกวาดมองอย่างเกรี้ยวกราด
ยมทูตถือโซ่ตรวนวิญญาณ มองดูใบเป็นตายในมือ เป็นที่นี่ไม่ผิดแน่
ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น รู้สึกว่ามีสายตามองมา เมื่อหันไปมองตามสายตา ตัวพลันสะดุ้งโหยง
เดี๋ยวนะ จอมมารน้อยอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“นายท่าน ท่านมาทำอะไร” ยมทูตก้าวไปข้างหน้าอย่างลังเล
“นางยังมีเวลาอีกเท่าไหร่”
ยมทูตกล่าวเสียงอ่อนว่า “หนึ่งเค่อ[1]”
มีท่านนี้อยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะพาวิญญาณไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่
ฉินหลิวซีปลดถุงเข็มที่เอว แทงลงบนจุดฝังเข็มหลักของเฉาหลินซื่อหลายจุด จากนั้นก็จับข้อมือขึ้นมาตรวจชีพจร
แม้ว่าจะตั้งครรภ์ได้แปดเดือน แต่เนื่องจากมีอาการซึมเศร้าตลอดการตั้งครรภ์ ยากที่จะนอนหลับได้ ภายนอกไม่เป็นอะไร แต่ข้างในเหนื่อยล้ามากแล้ว ซ้ำยังคลอดก่อนกำหนด ทำให้นางทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว ราวกับดอกไม้ที่ถูกไฟเผากะทันหัน เหี่ยวเฉาอย่างรวดเร็ว
ฉินหลิวซีมองไปยังหมอตำแย “ช่องคลอดเปิดกว้างเท่าใดแล้ว ภายในหนึ่งเค่อสามารถเปิดได้เต็มที่หรือไม่”
“เปิดเพียงแค่สามส่วน” หมอตำแยส่ายหน้า กล่าวว่า “ชี่[2]ของฮูหยินน้อยไม่มั่นคง เกรงว่าจะไม่ได้เจ้าค่ะ”
“เจ้าสามารถดึงเด็กออกมาเลยได้หรือไม่”
หมอตำแยหน้าซีดเผือด มือทั้งสองข้างสั่น ล้มลงกับพื้น
แม้แต่ฮูหยินเฉาผู้เฒ่าก็ยังตกใจจนอ่อนแรง ดึงลูกประคำในมือขาดหล่นลงพื้น
ตึกๆๆ
เสียงลูกประคำร่วงหล่นกระทบกับกระดานไม้ราวกับเสียงปลุกเร้าจิตใจ ทำให้คนหนาวสั่น
“ท่าน ท่านหมายความว่าอย่างไร” ฮูหยินเฉาผู้เฒ่ามองฉินหลิวซีด้วยใบหน้าซีดเซียว
ฉินหลิวซีลดสายตาลง น้ำเสียงเย็นชาเช่นเคย “นางไม่รอดแล้ว หากไม่ใช้วิธีนี้เด็กก็จะไม่รอดเช่นกัน”
ตุบ
ฮูหยินเฉาผู้เฒ่าล้มลงกับพื้น
[1] หนึ่งเค่อ สิบห้านาที
[2] ชี่ หรือลมปราณ หมายถึง ไหลเวียนอยู่ในร่างกายเราทุกคน เสมือนเป็นพลังงาน ของชีวิตที่ใช้ขับเคลื่อนในชีวิตประจาวัน สารขนาดเล็กในร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา