บทที่ 370 คำปฏิญาณผู้ครองกระบี่
นอกเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
ท้องฟ้ายังคงเป็นสีฟ้า โลกยังคงสว่างไสว
ลมหนาวพัดมาอยู่ตลอด เกล็ดหิมะยังคงโปรยปรายอยู่ในเมืองมรรคาสวรรค์พ้นพันธะอยู่เช่นเดิม ร่วงลงมาเป็นเกล็ดๆ บนตัวของผู้คนที่รอบๆ เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
ผู้ทดสอบที่นี่มีเพียงสองพันต้นๆ
ในบรรดาพวกเขาส่วนมาล้วนส่งข้ามกลับมาก่อน บนใบหน้าแม้จะเป็นตอนนี้ก็ยังคงเหลือความหวาดกลัวเอาไว้ให้เห็น
เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างในอุโมงค์ภูตสำหรับพวกเขาแล้วน่าพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง
และความอันตรายในครั้งนี้ก็เหมือนกับที่ผู้ครองกระบี่กลางคนชุดขุนนางพูดเอาไว้เมื่อสามวันที่แล้วว่าอาจมีภัยถึงแก่ชีวิต
สวี่ชิงยืนอยู่ในกลุ่มคน เขาเป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่ส่งข้ามกลับมา
ในเสี้ยวพริบตาที่ร่างปรากฏขึ้น เขามองไปรอบๆ ทันที สังเกตได้ว่าคนที่กลับมาพร้อมกับตนยังมีอีกจำนวนหนึ่ง
นายกองก็เป็นหนึ่งในนั้น เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ดีที่แขนขาอยู่ครบ
แต่ว่าตาหายไปข้างหนึ่ง หูทั้งสองข้างไม่มีแล้ว ท้องยังมีบาดแผลทางหนึ่ง เขาในตอนนี้อุดแผลไปด้วย ฉีกยิ้มไปด้วย
ยิ้มให้สวี่ชิง
ต่อให้เหลือตาเพียงข้างเดียวแต่ก็ยังฉายแววได้ใจ เหมือนว่าพอใจกับผลเก็บเกี่ยวครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง ถ้ำในหลุมลึกมีมากมายจริงๆ สวี่ชิงเห็นเทพเจ้าได้ บางทีคนอื่นอาจจะเห็นสิ่งประหลาดอัศจรรย์ที่ถ้ำอื่นได้เช่นกัน
นอกจากนายกอง สวี่ชิงยังเห็นหญิงชุดแดง
อีกฝ่ายส่งข้ามกลับมาพร้อมกับเขา เห็นได้ชัดว่ายืนหยัดจนถึงวินาทีสุดท้าย
หน้ากากที่สวมอยู่ตอนนี้กลายเป็นสีแดง ร่างก็เช่นเดียวกัน ในปากของผีร้ายบนเคียวที่แบกอยู่เคี้ยวไม่หยุด แต่กลับยากจะปกปิดอาการสาหัสปางตาย
ยังมีอีกคนหนึ่งที่สวี่ชิงไม่อยากจะเห็น
นั่นก็คือจางซืออวิ้น ผู้สืบมรรคาแห่งสำนักเซียนล้ำบารมี
เห็นได้ชัดว่าเขามีวิชารักษาชีวิต ดังนั้นจึงไม่ตาย
แต่เขาก็อ่อนแรงเป็นอย่างยิ่ง ไอพลังประหลาดในตัวถึงระดับหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้กำลังกินยาลูกกลอนพยายามกำจัดมันไม่หยุด
บนตัวเขายังมีรอยกรีดขนาดมหึมาลากจากคิ้วยาวไปจนถึงหน้าอก ลึกจนเห็นกระดูก เหมือนว่าหากลึกอีกเพียงเล็กน้อย ก็สามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนได้โดยสมบูรณ์
สวี่ชิงมองจางซืออวิ้น จางซืออวิ้นก็มองสวี่ชิงเช่นกัน สีหน้าเคร่งขรึม ในดวงตาแฝงความเย็นเยียบ
สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ เก็บสายตากลับไป
เขากำลังนึกถึงเทพเจ้าในอุโมงค์ภูต โถงครองกระบี่ไม่มีทางไม่รู้ เช่นนั้นหากวิเคราะห์จากเรื่องนี้ บางทีพิธีที่บ้านไม้ห้าเหลี่ยมก็เป็นการจัดการของโถงครองกระบี่
ก็เพื่อให้เทพเจ้าหลับใหลต่อไป
แน่นอน นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น และเป็นไปได้ว่าก่อนหน้านี้โถงครองกระบี่ ก็มีบ้านไม้อยู่แล้ว แต่จะอย่างไรก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการอนุมานขั้นต่อไป
นั่นก็คือ ไม่มีทางเอาตะเกียงแห่งชีวิตสีแดงในบ้านไม้ไปได้
หากเป็นการจัดการของโถงครองกระบี่ พวกเขาย่อมไม่มีทางให้คนอื่นเอาไป
แต่หากมีอยู่แล้วแต่เดิม กระทั่งโถงครองกระบี่ยังเอาไปไม่ได้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาที่เป็นคนไปรับการทดสอบเหล่านี้แล้ว
‘เช่นนั้นเป้าหมายที่จางซืออวิ้นไปที่นั่นคืออะไร’
สวี่ชิงขาดข้อมูล เดาคำตอบไม่ได้ ตอนนี้เขานึกย้อนเนื้อร้องเพลงงิ้วของผู้หญิงในบ้านไม้นั่น จู่ๆ ก็รู้สึกอย่างหนึ่งขึ้น
เหมือนว่าตั้งแต่แรก ผู้ร้องงิ้วคนนั้นก็ได้บอกผู้มาเยือนทุกคนเกี่ยวกับเรื่องของอุโมงค์ภูตผ่านจากเนื้อร้องสองท่อนนี้
มีคนถูกฝังไว้ที่นี่ ตัดความคิดถึงแปรเปลี่ยนเป็นกลีบดอกไม้มหาศาล กลีบมากมายโปรยปรายเหมือนกระดาษเงินกระดาษทอง ท่ามกลางการปลิวละล่อง ก็เหมือนฝุ่นธุลีปลิวฟุ้ง
ทุกกลีบล้วนแฝงด้วยความคิดถึง เหมือนว่าในชาติภพที่แล้วและชาตินี้ล้วนรอคอยมาโดยตลอด รอคนที่ตัดความคิดถึงเป็นชิ้นๆ และประกอบมันขึ้นมาใหม่คนนั้นปรากฏตัวขึ้น
ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงในบ้านไม้หรือเป็นเทพเจ้าอุโมงค์ภูตที่กำลังรอคอย
สวี่ชิงเงียบนิ่ง
โลกใบนี้ในสายตาของเขาค่อยๆ ลึกลับขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน เขาก็เห็นว่ามีผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์อีกคนหนึ่งที่ส่งข้ามกลับมาพร้อมกับเขา เงาร่างของอีกฝ่ายยังไม่ทันปรากฏขึ้น ในเสี้ยวพริบตาที่กลับมา ขณะที่ร่างกายสั่นสะท้านก็ถูกแสงที่แผ่ออกมาจากในเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะสังหารทันที
การตายของคนคนนี้ทำให้สวี่ชิงฝังความคิดเรื่องอุโมงค์ภูตไว้ในใจ ขณะที่ดวงตาจ้องเพ่ง เสียงที่ไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์ใดๆ ก็แผ่ออกมาจากในเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
“สืบพบความจริง สังหารเผ่าเดียวกัน ประหาร”
สวี่ชิงใจสั่นสะท้าน ก่อนหน้านี้ก็เดาว่าในแผ่นหยกส่งข้ามมีความสามารถในการบันทึกการทำผิดกฎกติกาหรือไม่ ตอนนี้ดูแล้ว เป็นเช่นนั้นจริงๆ
นอกจากนี้เขาพบว่าเศษชิ้นส่วนในตัวหายไปแล้ว
ในเสี้ยวพริบตาที่ส่งข้ามกลับมา เศษชิ้นส่วนพวกนั้นเหมือนว่าจะถูกพลังมหาศาลหอบม้วนไป ผสานรวมไปบนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
เห็นได้ชัดว่าโถงครองกระบี่มีวิธีบันทึกของตัวเอง
ตอนนี้ท่ามกลางลมหนาวเย็น ท่ามกลางการรอคอยของคนทั้งหลายที่นี่ ท้องฟ้าพลันฉายแสงวาบเงาร่างแต่ละร่างๆ มาเยือน เงาร่างเหล่านี้ล้วนสวมชุดขุนนาง ยืนอยู่กลางท้องฟ้า
ทีแรกก็มีหลายสิบคน แต่ไม่นานนักจากรุ้งยาวที่พุ่งมาอย่างรวดเร็ว เงาที่มาเยือนก็มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงหลายร้อยร่าง
พลังกดดันที่มาจากร่างของพวกเขาส่งเสียงดังเลื่อนลั่นทั่วสารทิศ ทำให้ฟ้าดินในเสี้ยวขณะนี้มืดมน และเงาร่างที่ลอยต่ำลงมาก็ยังคงมีมาเรื่อยๆ
ภาพนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญที่อยู่ข้างล่างใจสั่นสะท้าน คนที่มองอยู่รอบๆ และผู้คุ้มครองจากสำนักต่างๆ ต่างสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
จวบจนผ่านไปครู่หนึ่ง เงาร่างถึงหลายพันร่างก็ยืนอยู่กลางอากาศ
พลังบำเพ็ญจากทุกร่างล้วนแผ่ระลอกคลื่นไม่ธรรมดา ที่อ่อนแอที่สุดในนั้นเป็นระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ ปราณก่อกำเนิดก็มี สมบัติวิญญาณก็มีเช่นกัน
อีกทั้งข้างหลังของทุกคนล้วนแบกกระบี่เล่มใหญ่ที่เหมือนกันเอาไว้
กระบี่นี้เป็นสีเขียวคราม สลักตราประทับเอาไว้
ลักษณะของตราประทับนี้เหมือนจะเป็นตัวอักษร ‘元’
และชุดขุนนางที่คล้ายกันยิ่งทำให้คนเหล่านี้ดูแล้วเป็นระเบียบนัก อีกทั้งกลิ่นอายก็เหมือนเชื่อมต่อกัน ก่อเป็นรัศมีอำนาจสะท้านฟ้าดิน เหมือนว่าสามารถสะกดห้วงวันเวลา ทำให้หมื่นเผ่าและศัตรูภายนอกทั้งหมดไม่อาจต้านทานได้!
รัศมีอำนาจท่วมท้น!
พวกเขาก็คือผู้ครองกระบี่ทั้งหมดของโถงครองกระบี่แห่งมณฑลรับเสด็จราชัน
ตอนนี้ต่างอยู่กลางอากาศตั้งแถวเป็นกระบวนทัพปีกคู่ เหมือนปีกยักษ์สองข้างกำลังสยายโบยบิน ในขณะเดียวกับที่พลังกดดันแข็งแกร่งรุนแรง ก็มีความจริงจังเคร่งขรึมพวยพุ่งขึ้นท้องฟ้า
ทั่วทั้งเมืองมรรคาสวรรค์พ้นพันธะเงียบกริบ ไม่ว่าจะเป็นรอบๆ เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะหรือจะเป็นกระโจมในเมือง ไม่มีใครส่งเสียงออกมาในช่วงเวลาอันจริงจังนี้
ทุกคนกลั้นลมหายใจ จ้องเพ่งไปบนท้องฟ้า
เพราะพวกเขารู้ ต่อจากนี้…จะเป็นพิธียิ่งใหญ่ของผู้ครองกระบี่!
การทดสอบช่วงที่สองของผู้ถือกระบี่ทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้ ทางด้านพิธีกรรมมีความเข้มงวดสูงมาก
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นการทดสอบของห้ากรมทมิฬเผ่ามนุษย์ เป็นหน้าตาของเผ่ามนุษย์
ตอนนี้ในขณะที่คนทั้งหลายสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง บนท้องฟ้า ในเมฆหมอก ก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังมาช้าๆ
เสียงนี้ดังขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายคลื่นวนเจ็ดสีลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางฟ้าสูง
เงาร่างเก้าร่างที่แผ่ประกายแสงเจิดจ้าเดินออกมาจากคลื่นวนเจ็ดสี
ทุกคนในนี้ล้วนแต่มีพลังบำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาทั้งสิ้น ไม่ว่าคนใดล้วนสามารถเป็นบรรพจารย์ของสำนักในมณฑลรับเสด็จราชันได้ทั้งนั้น
และพวกเขา…ก็คือผู้อาวุโสทั้งเก้าของโถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชัน
สีหน้าของพวกเขาล้วนเคร่งขรึมจริงจัง ตอนนี้เดินออกมา สี่คนลอยอยู่บนปีกทั้งสองข้างซ้ายขวา ตรงกลางมีคนหนึ่ง
คนนี้ก็คือผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชัน และเป็นผู้นำระดับสูงสุดของโถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชัน
เมื่อสวี่ชิงเงยหน้ามองเห็นอีกฝ่ายเขาก็อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย
ผู้อาวุโสใหญ่คนนี้ก็คือชายชราที่ถ่ายทอดวิชาวิถีลูกกลอนสมุนไพรที่ลานพิธีเต๋าที่คล้ายกับปรมาจารย์ไป่คนนั้น!
สวี่ชิงรู้ว่าอีกฝ่ายในโถงครองกระบี่จะต้องมีฐานะตำแหน่งอย่างแน่นอน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าตัวตนจะสูงส่งขนาดนี้ ปกครองทั้งโถงครองกระบี่!
ในขณะที่สวี่ชิงจิตใจเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ ปีกซ้ายข้างหน้าก็มีชายกลางคนคนหนึ่งเดินออกมา
เขาสีหน้าเคร่งขรึม ประสานหมัดโค้งคารวะผู้อาวุโสผู้ครองกระบี่ที่ยืนอยู่ตรงกลางสุดตัว
“โถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชันมีผู้ครองกระบี่ทั้งหมดสี่พันสามร้อยสิบเอ็ดคน วันนี้มาเข้าร่วมประชุมสี่พันสามร้อยสิบเอ็ดคน ไม่มีคนขาด เชิญใต้เท้าตรวจดูรายชื่อ”
ผู้อาวุโสใหญ่ผู้ครองกระบี่ที่อยู่ตรงกลางพยักหน้าเล็กน้อย
“ประกาศรายชื่อ”
“น้อมรับคำสั่งผู้อาวุโสใหญ่!” คนที่เดินออกมาจากปีกซ้ายสีหน้าเคร่งขรึม รีบหันหลังไปอย่างเคร่งครัด สายตากวาดมองไปบนพื้นดิน เสียงราวระฆัง
“จากการทดสอบของโถงครองกระบี่ และรายงานต่อวังครองกระบี่ใช้จำนวนเศษชิ้นส่วนที่ได้คัดเลือกเผ่ามนุษย์สิบคน ได้รับสิทธิ์เข้าเฝ้าจักรพรรดิของผู้ครองกระบี่!
“รายชื่อมีดังนี้”
“สวี่ชิง เฉินเอ้อร์หนิว ชิงชิว จางซืออวิ้น หนิงเหยียน…”
จากคำพูดของชายกลางคน รายชื่อแต่ละชื่อๆ ดังออกมาจากปากเขา
ทุกชื่อที่พูดออกมาล้วนทำให้กลุ่มคนข้างล่างหายใจหอบถี่ จวบจนพูดชื่อทั้งสิบเสร็จอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้าทั้งสิบคนก้าวออกมา!”
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ก้าวเท้าออกไป ยืนข้างหน้าสุด
นายกองก็เช่นกัน คนอื่นๆ ที่ถูกเรียกชื่อก็ทยอยก้าวออกมา
ไม่นานนักคนทั้งสิบก็ยืนเรียงแถวอยู่ด้วยกัน ต่างห่างกันสิบจั้ง ยืนอยู่ข้างหน้าฝูงชน หมื่นสายตาจับจ้อง โดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากพวกสวี่ชิงเดินออกมา ผู้ครองกระบี่กลางคนที่อยู่กลางอากาศหันมาคารวะผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่ ก่อนจะถอยกลับไปที่เดิม
ผู้อาวุโสใหญ่ผู้ครองกระบี่ยืนอยู่กลางท้องฟ้า เขาไม่ได้ก้มหน้ามองพวกสวี่ชิง แต่หันหลังกลับไป ทั่วทั้งร่างแผ่ความเคร่งขรึม โค้งคารวะสุดตัวไปทางท้องฟ้า ไปทางคลื่นวนเจ็ดสี
เสียงแหบแห้งดังออกมาจากปากเขาอย่างช้าเนิบด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมจริงจัง
“ขอเชิญจักรพรรดิหยวนไจ่ผู้ยิ่งยงคงกระพัน เทพสูงสุดผู้ปกครองโถงครองกระบี่เผ่ามนุษย์ลงมาเยือนโถงแห่งเราด้วยเทอญ”
ทันทีที่เสียงของเขาดังออกมา ผู้ครองกระบี่ที่อยู่บนปีกทั้งสอง รวมถึงผู้อาวุโสผู้ครองกระบี่คนอื่นๆ แปดคน ต่างสีหน้าเคร่งขรึม ประสานมือโค้งคารวะสุดตัวไปทางคลื่นวนบนท้องฟ้า เอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“ขอเชิญจักรพรรดิหยวนไจ่ผู้ยิ่งยงคงกระพัน เทพสูงสุดผู้ปกครองโถงครองกระบี่เผ่ามนุษย์ลงมาเยือนโถงแห่งเราด้วยเทอญ”
พิธีกรรมเช่นนี้มาพร้อมกับความเป็นทางการ ฉายความดั้งเดิมของเผ่ามนุษย์ออกมา สวี่ชิงเข้าร่วมด้วยในนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาด้วยอย่างอดไม่ได้
ตอนนี้ เสียงของพวกเขาทะลุผืนฟ้า ทะลุคลื่นวนจากการที่ผู้ครองกระบี่เอ่ยพร้อมกัน ทำให้ประกายแสงในคลื่นวนเจ็ดสีสาดส่องเจิดจ้าพร่างพรายขึ้นทันที
แสงพรายรุ้งแผ่ออกมาจากในนั้นเป็นทางๆ สุดท้ายก็สาดส่องไปทั่วผืนฟ้า ทำให้ท้องฟ้ากว้างใหญ่เต็มไปด้วยแสงพรายรุ้ง
สุดท้าย คลื่นวนเจ็ดสีนั่นก็มีเทวรูปขนาดมหึมาที่ทำให้ทุกคนต้องจิตใจสั่นสะท้านองค์หนึ่งปรากฏขึ้น
เทวรูปองค์นี้สูงส่งยิ่งใหญ่ ทรงพลังอำนาจล้นเหลือ
จะเห็นได้ว่าเทวรูปองค์นี้เป็นชายกลางคน สีหน้าไม่แสดงความโกรธแต่ทรงอำนาจน่าเกรงขาม
ดวงตาแฝงด้วยประกายเจิดจ้า ร่างสวมชุดจักรพรรดิมังกรเก้าตัว สะบัดพลิ้วไปตามลม
ศีรษะสวมกวานรุ่งอรุณเก้าสวรรค์ฉายประกายพร่างพราย
ที่หลังยังแบกกระบี่เล่มใหญ่ กระบี่เขียวครามเล่มนี้สลักตัวอักษร 元 ลักษณะเหมือนกระบี่ของผู้ครองกระบี่ทุกประการ!
ในเสี้ยวพริบตาที่เทวรูปองค์นี้ปรากฏขึ้น แสงพรายรุ้งบนท้องฟ้าแผ่ระลอกคลื่นรุนแรง
ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบทะลัก!
ภาพนี้ทำให้เผ่ามนุษย์ทุกคนที่อยู่ข้างล่างต่างจิตใจสั่นสะท้านบ้าคลั่ง เลือดลมในร่างกายซัดโหมอย่างไม่อาจควบคุมได้
ความรู้สึกเชื่อมโยงกับสายเลือดรางเลือนพวยพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในจิตใจของเผ่ามนุษย์ทุกคน
นั่นคือจักรพรรดิเผ่ามนุษย์!
นั่นคือผู้ก่อตั้งกรมครองกระบี่!
ทุกคนต่างก้มหน้าอย่างไม่อาจควบคุมได้ ต่อให้เป็นเสี่ยเลี่ยนจื่อหรือบรรพจารย์จากสำนักอื่นๆ ก็ล้วนเป็นเช่นนี้
หมอบกราบเทวรูปจักรพรรดิเผ่ามนุษย์องค์นี้อย่างเคารพนับถือจากใจจริง เคารพนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง
สวี่ชิงก็เช่นกัน ในใจซัดโหม เกิดระลอกคลื่นอารมณ์อยู่ตลอด
เขานึกถึงจักรพรรดิภูต แต่เห็นได้ชัดว่าเทียบกับจักรพรรดิเผ่ามนุษย์องค์นี้แล้ว จักรพรรดิภูตห่างชั้นอีกไกลนัก
ส่วนหน้าตาของจักรพรรดิก็เหมือนกับรูปสลักจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวที่สวี่ชิงเคยเห็นถึงเจ็ดส่วน
เสียงเคร่งขรึมจริงจังของผู้อาวุโสใหญ่ผู้ครองกระบี่ก็ดังก้องไปในฟ้าดินท่ามกลางการหมอบกราบของคนทั้งหลาย
“ด้วยโองการศักดิ์สิทธิ์แห่งมหาจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวผู้ครองอำนาจแห่งมรรคาสวรรค์ทั้งสี่ทิศ สายวังกระบี่จะถือกระบี่เพื่อเผ่ามนุษย์ กำจัดเภทภัยแก่ไพร่ฟ้า สาดส่องประกายไปในฟ้าดิน เทวรูปจักรพรรดินี้จึงสาดแสงพรายรุ้งไปทั่วผืนนภา เพื่อเป็นประจักษ์พยาน”
เสียงนี้ประดุจอัสนีสวรรค์ ดังก้องไปในผืนฟ้า สะท้อนไปในผืนดิน แผ่ซ่านไปในจิตใจของผู้ครองกระบี่ทุกคน ประทับไปในห้วงลึกจิตใจของเผ่ามนุษย์ที่อยู่ข้างล่างทุกคน
ยิ่งระเบิดในสมองของพวกสวี่ชิงทั้งสิบคน
ประดุจระฆังกังวานแห่งฟ้าดินกำลังลั่น กึกก้องเลื่อนลั่นฟ้าดิน!
เพราะนี่คือคำปฏิญาณของผู้ครองกระบี่!
กำจัดเภทภัยแก่ไพร่ฟ้า สาดส่องประกายไปในฟ้าดิน
นั่นคือ…ผู้ครองกระบี่!