บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1372 สามสมบัติ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1372 สามสมบัติ

บทที่ 1372 สามสมบัติ

ผ่านไปครู่ใหญ่ ฉือฉางเซิงจึงยิ้มเสแสร้งเอ่ย “เอาละสหายน้อย กล้าพูดกับอาจารย์ใหญ่สายในเช่นนี้ กล้าหาญทีเดียว!”

เฉินซียิ้มเอ่ย “ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว”

เมื่อเห็นสีหน้าสงบนิ่งไร้อารมณ์ใดของเฉินซี ฉือฉางเซิงก็เข้าใจทันทีว่า หากตนไม่ยอมจ่ายหนัก ก็คงแงะปากเอาข้อมูลดี ๆ มาจากเด็กคนนี้ไม่ได้เป็นแน่

จึงเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ว่ามา เจ้าต้องการขุมทรัพย์อมตะ ทักษะเต๋า วัตถุดิบเซียน หรือของอื่นใด หากตัวข้ามีก็จะมอบให้”

รอยยิ้มเฉินซียิ่งสดใสมากกว่าเดิม เขานั่งลงบนหินข้างกายฉือฉางเซิงด้วยท่าทีสบายอารมณ์ “ข้าไม่จู้จี้จุกจิกนัก เอาตามที่ผู้อาวุโสคิดได้เลย”

ฉือฉางเซิงใบหน้าเคร่งขรึม ในใจโกรธเกรี้ยว ความโลภของเจ้าเด็กนี่ใหญ่หลวงนัก!

หากเป็นปกติ เขาคงหาข้ออ้างดี ๆ มา ‘ฝึกฝีมือ’ เพื่อลดกำลังใจเฉินซีไปแล้ว แต่ตอนนี้… เขาเป็นฝ่ายที่ร้องขอ จึงได้แต่ต้องทนไป

“ก็ได้! ข้ามีของที่ไม่ได้ใช้อยู่พอดี ให้เจ้าเลือกจากในนั้นก็แล้วกัน” ฉือฉางเซิงส่งเสียงคำราม ก่อนจะพลิกฝ่ามือหยิบกล่องหยกโบราณออกมา ในนั้นมีไข่มุกขนาดเท่ากำปั้นอยู่ สีแดงเหมือนเพลิง พื้นผิวเรียบลื่น แผ่แสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา

หากสังเกตดูดี ๆ ไข่มุกก้อนนี้มีอักขระยันต์อันลึกล้ำอยู่หนาแน่น ปลดปล่อยกลิ่นอายทรงพลังอันศักดิ์สิทธิ์ออกมา

เฉินซีจ้องมันอย่างถี่ถ้วน เพราะกลิ่นอายที่ปกคลุมอยู่บนพื้นผิวของมันมีกระแสพลังกฎปราชญ์เต๋าอยู่!

“สมบัติชิ้นนี้เรียกว่าไข่มุกปราชญ์เต๋าแสงอัคคี ก่อกำเนิดขึ้นมาในมหาสมุทรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงอัคคี ซึ่งตั้งอยู่ตะวันตกสุดของภพเซียน ค่อนข้างหายากทีเดียว มีผลช่วยเสริมการผสานเต๋าในขอบเขตเซียนปราชญ์ได้เป็นอย่างดี” ฉือฉางเซิงเหลือบมองเฉินซีก่อนเอ่ยขึ้นช้า ๆ “ว่าอย่างไร? เจ้าพอใจกับสมบัติชิ้นนี้หรือไม่?”

ไข่มุกปราชญ์เต๋าแสงอัคคี! พริบตานั้นเฉินซีก็สนใจขึ้นมา ตอนนี้เรื่องน่าปวดหัวที่สุดของเขาคือระยะเวลาที่จำเป็นต้องใช้ในการผสานเต๋า หากได้ไข่มุกปราชญ์เต๋าแสงอัคคีมาช่วยเสริม ก็คงจะสามารถเร่งกระบวนการผสานเต๋าให้เร็วขึ้นได้

อีกทั้งตามที่เขารู้มา มีแค่สองวิธีเท่านั้นที่จะใช้ผสานเต๋าได้ วิธีแรกคือพึ่งตนเอง หมายความว่าจะต้องเข้าใจ คาดเดา และผสานตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ทั้งหลายด้วยตนเอง นี่เป็นวิธีที่สำคัญที่สุด และมีผลสำคัญมากที่สุด

วิธีต่อมาคือใช้สมบัติอื่น ๆ ช่วย ซึ่งก็ต้องใช้สมบัติล้ำค่าหายากมาช่วยในกระบวนการผสานเต๋า อีกทั้งสมบัติแต่ละชิ้นก็ยังให้ผลไม่เหมือนกัน

บ้างก็สามารถเร่งกระบวนการผสานเต๋าได้

บ้างก็สามารถเสริมความเข้าใจระหว่างการผสานเต๋าได้

หรือก็คือสมบัติล้ำค่าเหล่านี้นับว่าเป็นตัวช่วยเสริม สามารถช่วยเซียนปราชญ์ในการผสานเต๋าได้ แต่อย่างไรก็ยังต้องใช้พลังบ่มเพาะของตนเองอยู่ดี

แน่นอนว่าเมื่อมีสมบัติคอยช่วยเหลือ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการผสานเต๋าเป็นอย่างมาก

ยกตัวอย่างเช่น ไข่มุกปราชญ์เต๋าแสงอัคคีตรงหน้าเขาเป็นสมบัติล้ำค่าหายากที่มีผลช่วยเสริมการผสานเต๋าได้เป็นอย่างดี ราคาไม่อาจประเมินได้ ต้องมีโชคจึงใฝ่หามาได้เท่านั้น แค่ชิ้นนี้ก็ทำให้เซียนปราชญ์ทั้งหลายแย่งกันแทบตายแล้ว

มีหรือเฉินซีเห็นสมบัติเช่นนี้แล้วจะไม่ตาวาว

ฉือฉางเซิงเผยรอยยิ้มภาคภูมิขึ้นที่มุมปาก รู้สึกพึงพอใจยิ่ง บัดซบน้อยผู้นี้คิดจะเอาเปรียบข้าหรือ? ข้าจะสอนให้รู้ซึ้งว่า ‘หลอกผู้มีประสบการณ์โชกโชนเช่นนี้ไม่ง่าย’!

นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นเฉินซี เขาก็เห็นแล้วว่าอีกฝ่ายขึ้นสู่ขอบเขตเซียนปราชญ์แล้ว จึงใช้กลยุทธ์รับมือด้วยการนำไข่มุกปราชญ์เต๋าแสงอัคคีออกมา อย่างไรเขาเก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ หากเอามาแลกข้อมูลเกี่ยวกับการขึ้นเป็นเทพได้ มอบให้เฉินซีไปสักหน่อยจะเป็นไรไป

“ไม่ได้หรอก สมบัติชิ้นนี้ข้าไม่จำเป็นต้องใช้” แต่ฉือฉางเซิงก็ต้องประหลาดใจเมื่อเฉินซีบอกปฏิเสธ!

รอยยิ้มภาคภูมิบนมุมปากพลันแข็งค้าง เอ่ยด้วยเสียงมีน้ำโหเล็กน้อย “เจ้ารู้มูลค่าของชิ้นนี้หรือไม่? นี่เป็นสมบัติที่เหล่าเซียนปราชญ์ใฝ่หาอยากครอบครองเชียวนะ!”

เฉินซีคลี่ยิ้มเอ่ย “ข้าย่อมรู้เรื่องนั้นดี แต่ในเมื่อผู้อาวุโสหาของเช่นนี้มาได้โดยง่าย ของที่ท่านถืออยู่ก็คงมีที่ล้ำค่ากว่านี้เยอะเลยมิใช่หรือ?”

ฉือฉางเซิงถึงกับหน้าแข็งค้าง เม้มปากด้วยความสะเทือนใจเล็กน้อย เขาพลิกฝ่ามือหยิบสมบัติอีกชิ้นออกมาแล้วเอ่ยเสียงกรุ่นโกรธ “หากชิ้นนี้เจ้ายังไม่พอใจข้าก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว”

สมบัติชิ้นนี้คือที่เบาะนั่งทำสมาธิ เหมือนใช้หญ้าสีทองนำมาสานเข้าด้วยกัน ปลดปล่อยกระแสพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมา เมื่อปรากฏขึ้นแล้วก็ได้ยินเสียงแห่งเต๋าดังก้องขึ้นในอากาศ เป็นคล้ายกับเสียงธรรมชาติ ที่ได้ยินลึกเข้าไปถึงใจคน

อาสนะคุนอู่!

ชิ้นนี้เองก็เป็นสมบัติล้ำค่าที่ช่วยเรื่องการผสานเต๋าเช่นกัน ตำนานเล่าไว้ว่ามันสานมาจากกิ่งก้านสาขาของต้นคุนอู่โบราณ เต็มไปด้วยอักขระมาหาเต๋าลึกล้ำมากมาย มีมูลค่าสูงกว่าไข่มุกปราชญ์เต๋าแสงอัคคีหลายเท่า!

เหตุผลไม่ซับซ้อน เพราะต้นคุนอู่โบราณเป็นสิ่งล้ำค่าที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากความโกลาหลเมื่อตอนสร้างโลก และได้สูญพันธุ์ไปแล้วนับตั้งแต่ยุคโบราณ ดังนั้นตอนนี้จึงหาไม่ได้อีกแล้ว

ที่สำคัญคือ มันมีผลลัพธ์มหัศจรรย์มากมาย เมื่อใช้นั่งทำสมาธิแล้วทำความเข้าใจเต๋า ก็จะทำให้ความสามารถในการสัมผัสมหาเต๋าแกร่งขึ้น เข้าใจคราวหนึ่งได้ผลเป็นสองเท่า

เฉินซีตาเป็นประกาย ของดีทีเดียว!

แต่หลังจากนั้นเขาก็สงบสติอารมณ์และส่ายหน้า “ผู้อาวุโส ข้าอยากเห็นสมบัติชิ้นอื่นที่ท่านมี”

เขาย่อมประเมินได้ว่าสมบัติที่ฉือฉางเซิงนำออกมาเป็นสิ่งที่เตรียมมาให้เขาโดยเฉพาะ แสดงว่าฉือฉางเซิงคงต้องการข้อมูลการขึ้นเป็นเทพมาก ดังนั้นชายหนุ่มไม่เชื่อหรอกว่าฉือฉางเซิงจะมีของมาแค่สองอย่าง

“สหายน้อย! มันเกินไปหน่อยกระมัง!” เฉินซีปฏิเสธมาเช่นนั้นจึงทำให้ฉือฉางเซิงชะงักไปอีกรอบ จากนั้นก็ทำหน้าคว่ำแล้วปล่อยบรรยากาศดุดันออกมาทันใด

เฉินซีทำทีเป็นไม่เห็น ยังคงยิ้มมองอีกฝ่ายอย่างเป็นต่อ

ทั้งสองจ้องกันไม่มีใครยอมใครอยู่นาน สุดท้ายฉือฉางเซิงเป็นฝ่ายยอมแพ้ เขาถ่มน้ำลายแล้วเอ่ยเสียงโกรธพลางสบถขึ้นว่า “ข้าคงตกหลุมพรางเจ้าแล้ว!”

ชายหนุ่มยิ้มสื่อความนัย “ผู้อาวุโสไม่ต้องเป็นห่วง ข้าย่อมให้คำตอบที่ท่านพึงพอใจแน่”

“หึ!” ฉือฉางเซิงส่งเสียงเย็นชา หลังจากลังเลอยู่นานก็หยิบสมบัติอีกชิ้นออกมา ครั้งนี้เป็นคัมภีร์ไม้ไผ่โบราณ

หลังจากเปิดมันออกมา ตัวคัมภีร์ก็เปล่งอักษรโบราณดูลึกลับออกมา พร้อมกับแสงหลากสีพุ่งขึ้นฟ้าไปทันที ราวกับว่าทุกอักขระเป็นดั่งอัญมณีที่ส่องแสงประกายกระจ่างฟ้า

จากนั้นภาพเหล่าชายชราสวมมงกุฎสูงและชุดโบราณก็ลอยออกมาจากภายในคัมภีร์ ทุกคนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึมพลางอ่านคัมภีร์ในมือ น้ำเสียงที่เปล่งออกใสกระจ่างราวกับเสียงแห่งมหาเต๋า มันดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ

พริบตานั้น ก็ราวกับหลากหลายความคิดพยายามแย่งชิงความเป็นหนึ่งกัน และปลดปล่อยกลิ่นอายปราชญ์เต๋าออกมา ดูเหมือนกำลังให้ความรู้แก่ผู้คน และแพร่ความรู้แห่งเต๋าไปทั่วใต้หล้า พลังมหาศาลของมันก็ทำให้เฉินซีถึงกับนิ่งอึ้งไป

ช่างเป็นพลังปราชญ์เต๋าที่ลึกล้ำยิ่ง!

ราวกับได้สดับเสียงความลึกล้ำแห่งปราชญ์เต๋า ทั่วร่างรู้สึกรู้แจ้ง เป็นสัมผัสที่ลึกล้ำเกินอธิบาย

“นี่คือคัมภีร์ร้อยปราชญ์เต๋า เต็มไปด้วยประสบการณ์จากร้อยปราชญ์เมื่อยุคบรรพกาล ส่งผลลึกล้ำเกินหยั่งหากอ่านคัมภีร์ไปด้วยระหว่างการบ่มเพาะพลังและการผสานเต๋า ราวกับได้ถกวิถีเต๋ากับร้อยปราชญ์ ในด้านมูลค่าก็เป็นสมบัติชั้นยอดในสามภพทีเดียว!” ฉือฉางเซิงยิ้มภาคภูมิเมื่อเห็นสีหน้าอึ้งของอีกฝ่าย “สหายน้อย สมบัตินี่เป็นไพ่ตายของข้าแล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

“ไม่ธรรมดา” เฉินซีร้องชมพร้อมถอนหายใจ คัมภีร์ร้อยปราชญ์เต๋าเป็นสมบัติสะท้านใต้หล้าอย่างแน่นอน รวบรวมประสบการณ์ของร้อยปราชญ์เมื่อครั้งบรรพกาลไว้ เต็มไปด้วยความลึกล้ำแห่งปราชญ์เต๋า เป็นสมบัติที่เหลือเชื่อยิ่งนัก!

“เช่นนั้นเจ้าตัดสินใจเลือกชิ้นนี้ใช่หรือไม่?” ฉือฉางเซิงเอ่ยขึ้นเสียงเชื่องช้า แวบเดียวก็เก็บคัมภีร์ไม้ไผ่กลับไป ภาพที่ฉายออกมาหายวับไปไม่เหลือร่องรอย

เฉินซีเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า “ผู้อาวุโส ข้าชอบสมบัติทั้งสามชิ้นเลย”

“เจ้า…” ฉือฉางเซิงจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “สหายน้อย คนที่ไม่ยอมพึงพอใจง่าย ๆ ก็เหมือนกับงูที่หมายกลืนช้าง เจ้าคิดว่าข้าเป็นมหาเศรษฐีที่เจ้าสามารถขูดเอาสมบัติได้หรือ?”

ถึงตอนนี้เขาเริ่มโกรธจริง ๆ แล้ว เพราะรู้สึกว่าเด็กคนนี้โลภเกินไป หากเป็นศิษย์ธรรมดาคนอื่น ๆ ก็คงถูกเขาตบหน้าแล้วไล่ให้ไสหัวไปนานแล้ว

เฉินซียังคงสีหน้าเดิมไว้ไม่เปลี่ยน เอ่ยขึ้นด้วยเสียงมั่นใจ “ไม่เพียงเท่านั้น นอกจากสามสมบัตินี้แล้ว ข้ายังต้องการขอเรื่องหนึ่งจากผู้อาวุโสด้วย”

ฉือฉางเซิงมีใบหน้าเคร่งขรึม มันจะมากเกินไปแล้วนะ! เจ้าบัดซบน้อยนี่มันมากเกินไปแล้ว! คิดหรือว่าตัวเองมีชื่อแล้วข้าจะไม่กล้าสั่งสอน?

“ไป! ไปเสีย! ออกไปเลย! คิดเสียว่าข้าไม่เคยเจอเจ้าก็แล้วกัน! รีบไสหัวออกไปเสีย! ตอนนี้เลย! ออกไปเลย!” ฉือฉางเซิงโบกมือไล่เฉินซีด้วยความโกรธ รู้สึกผิดหวังยิ่งนัก

เห็นดังนั้น เฉินซีก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจหยิบกล่องหยกออกมา “ผู้อาวุโสใจเย็นลงก่อน ท่านดูสิ่งนี้เสีย หากท่านไม่พอใจ ข้าจะจากไปทันที”

“มองหา… เอ๋!” ฉือฉางเซิงโบกมือไล่อย่างใจร้อน แต่สายตาดันเห็นของในกล่องหยกเข้า ทั้งร่างเหมือนถูกฟ้าผ่าใส่ทันที เขาเบิกตากว้างแล้วหน้าแข็งทื่อไปทันใด

ฉึบ!

เฉินซีปิดกล่องหยกแล้วเก็บมันไป

“นั่น… นั่นมัน…” ฉือฉางเซิงดึงสติกลับมาได้ จากนั้นก็เกาหน้าตนเองด้วยความเขินอาย “นี่ สหายน้อย ขอข้าดูอีกที เพียงนิดเดียวก็พอ”

เฉินซียิ้มเอ่ย “ได้สิ แต่เงื่อนไขของข้าก่อนหน้านี้ว่าอย่างไร?”

“แน่นอนว่าทั้งหมด…” พูดถึงตรงนี้ ฉือฉางเซิงก็ชะงักไปแล้วโพล่งขึ้นมา ชี้นิ้วด่าไม่ไว้หน้า “ไอ้เจ้าเด็กนี่! เจ้าวางกับดักรอให้ข้าตะครุบตั้งแต่ต้นสินะ!”

เฉินซียิ้มกว้าง “ผู้อาวุโสอย่ากล่าวหากันเลย อย่างไรสมบัติที่ข้ามีชิ้นนี้ก็ล้ำค่ายิ่งนัก หากนำไปแลกเปลี่ยนกับของเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นท่านก็คงรู้สึกไม่ดีใช่หรือไม่?”

ฉือฉางเซิงหัวเราะเสียงขื่นอีกครั้ง ไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์นี่!

ในใจคิดเช่นนั้น แต่ตัวเขาก็ไม่อาจปฏิเสธความเย้ายวนนั้นได้ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้อยากให้ข้าทำอะไรเล่า?”

“อ้อ ในอนาคตข้าจะมาบอกท่านอีกที” พูดจบ เฉินซีก็ส่งกล่องหยกให้ “ผู้อาวุโส สมบัติชิ้นนี้เดิมทีเตรียมมาให้ท่านอยู่แล้ว ถึงไม่ต้องเอาของรางวัลใดมาแลก มันก็เป็นของท่าน ขอให้ท่านโปรดรับไว้ด้วย”

“เพ้ย! เลิกเสแสร้งได้แล้ว!” ฉือฉางเซิงตวัดสายตาโกรธมองอีกฝ่าย แต่สุดท้ายก็ไม่ปฏิเสธ รีบรับกล่องหยกมาเปิดดูอย่างระมัดระวัง

เมื่อเห็นสมบัติข้างในอย่างชัดเจนแล้ว เขาก็ต้องตกตะลึงไปอีกครั้ง มุมปากเริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อย

เวลาผ่านไปชั่วขณะ ทั้งความตื่นเต้นยินดีและความสุขทั้งหลายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ผลวิญญาณเต๋า ผลวิญญาณเต๋า… ข้าเฝ้าอดทนรอมันมานานหลายหมื่นปี ในที่สุดก็ได้มันมาอยู่ในมือเสียที!”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท