บทที่ 759-2 สมาชิกพรรคฟ้าดิน “พี่ซุน วานรตัวนี้ขายหรือไม่” (2)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 759 สมาชิกพรรคฟ้าดิน “พี่ซุน วานรตัวนี้ขายหรือไม่” (2)

งานเลี้ยงมื้อค่ำจบลงก่อนเวลา บทเรียนจากหลายๆ คนทำให้ไม่มีใครกล้ากินต่อ เพราะความแตกต่างระหว่าง ‘ผู้มีอิทธิพล’ กับ ‘ตัวตลก’ เป็นเพียงมุมมองของผู้พิทักษ์หยวน

การเสียสละของหลี่หลิงซู่เพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว ทุกคนล้วนเป็นคนมีหัวมีหน้ามีตา ดังนั้นไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องนี้

ที่พำนักของสมาชิกพรรคฟ้าดินจัดอยู่ในลานภายในเดียวกัน โดยมีห้องติดกัน

ไม่นานหลังจากแยกย้ายกันไป ฉู่หยวนเจิ่นและคนอื่นๆ สังเกตเห็นหลี่หลิงซู่กลับเข้ามา โดยแบกเหมียวโหย่วฟางที่มีใบหน้าบวมช้ำมาด้วย

“พี่หลี่ก็ ข้าก็ถูกเจ้าวานรนั่นหลอกเหมือนกัน เราควรเห็นพ้องต้องกัน คืนนี้มากินสมองลิงกันเถอะ”

เหมียวโหย่วฟางพยายามชักนำหายนะสู่ฝั่งบูรพา

หลี่หลิงซู่ไม่ได้ตอบสนอง ส่วนหลี่เมี่ยวเจินผลักหน้าต่างเปิดออกมาเอ่ยว่า

“เอาสิ ตะเกียบคนละอัน!”

เหมียวโหย่วฟางมองตามเสียง ด้วยดวงตาทอประกาย

เขาเห็นในห้องยังมีหญิงสาวท่าทางอ่อนช้อย สวมชุดสีขาว เรียวคิ้วและดวงตาดั่งภาพวาด ดวงหน้างดงามมีมิติและงดงาม สำหรับบุรุษแล้ว เสน่ห์อันเย้ายวนนั้นเปรียบดั่งยาพิษ

ซูซูเพิ่งเลื่อนขั้นมาไม่นานมานี้ ตบะนางพัฒนาทุกด้าน เปลี่ยนจากปีศาจสาวพราวเสน่ห์ กลายเป็นปีศาจที่เก่งทั้งด้านบริหารเสน่ห์และการต่อสู้

นางในฐานะปีศาจ มีพลังแกร่งกล้า แต่เมื่อสิงสู่ในกายหยาบ นางก็เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่ง

นี่คือสาเหตุที่นางลังเลมาตลอด ไม่ใช่เพราะกลัวคนแซ่สวี่วัดระดับแน่นอน

“พี่สาวผู้นี้ ข้าว่าข้าเคยเจอที่ไหนสักแห่งมาก่อน” เหมียวโหย่วฟางพึมพำ

“ไม่กระมัง นางเป็นอนุภรรยาของสวี่ซินเหนียน” หลี่เมี่ยวเจินบอกตามตรง

“โอ้ อย่างนี้นี่เอง”

เหมียวโหย่วฟางแสดงความเคารพ

หลี่หลิงซู่ที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน เอ่ยเสียงดัง

“ศิษย์น้อง พี่ฉู่ ออกมาหน่อย”

หลี่เมี่ยวเจินปิดหน้าต่างแล้วเปิดประตูเดินออกมาลานกว้าง ประตูห้องอีกฝั่งก็เปิดออก ฉู่หยวนเจิ่นในชุดคลุมสีดำก็เดินเข้ามาเช่นกัน

หลี่หลิงซู่ตบโต๊ะหิน บอกเป็นนัยว่าให้พวกเขานั่งลง พลางเอ่ยด้วยความตื่นเต้น

“วานรอัปลักษณ์ตัวนั้นสามารถอ่านใจมนุษย์เรา หากไม่ระวังอาจจะทำให้เรือล่มในคลองระบายน้ำได้”

หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นชะงักอึ้ง

“จริงแท้แค่ไหน?”

“ไม่เชื่อก็ถามเหมียวโหย่วฟางดู” หลี่หลิงซู่เตะคนแซ่เหมียว

จอมยุทธเหมียวโหย่วฟางจะงอก็ได้จะยืดก็ได้ และขายอาจารย์ก็ได้เช่นกัน รีบเอ่ยว่า

“ตอนอยู่ซินเจียง ฆ้องเงินสวี่ก็เคยพูดกับลิงตัวนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า”

หัวใจฉู่หยวนเจิ่นกระตุก “แล้วอย่างไรต่อ?”

หลี่หลิงซู่ถูมืออย่างตื่นเต้น

“เราต้องแก้แค้นน่ะสิ เอาคืนสวี่หนิงเยี่ยน เอาคืนนักบวชเต๋าจินเหลียน เอาคืนอาซูหลัว ใช้เจ้าลิงนั่นเอาคืนอีกฝ่ายด้วยวิธีการเดียวกันกับที่อีกฝ่ายใช้”

เหมียวโหย่วฟางสบประมาท

“ฆ้องเงินสวี่รู้จักผู้พิทักษ์หยวนเป็นอย่างดี ไม่สำเร็จหรอก”

ดวงตาหลี่เมี่ยวเจินทอประกาย

“แต่นักบวชเต๋าจินเหลียนกับอาซูหลัวไม่รู้จักนี่ ด้วยนิสัยของสวี่หนิงเยี่ยนคนสารเลวพรรค์นั้น เขาไม่เตือนทั้งสองคนแน่ แต่จะพายเรือทวนน้ำแทน อย่างน้อยพวกเราก็จะได้แก้แค้นจินเหลียนกับอาซูหลัวก่อน”

ฉู่หยวนเจินปรบมือเบาๆ

“ดี!”

เหมียวโหย่วฟางเอ่ยแทรก

“ลิงตัวนี้เป็นของพี่ซุน พวกเจ้าลองถามเขาดูว่าเขาขายหรือไม่”

หลี่หลิงซู่เร่งเร้า “เช่นนั้นก็รีบไปหาซุนเสวียนจี ข้าทนอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แม้แต่วันเดียว”

เทพบุตรไม่มีหน้าจะเจอพวกชนชั้นสูงในสวินโจวอีกแล้ว

ภายในห้องอีกด้านหนึ่ง ไต้ซือเหิงหย่วนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ฟังการสนทนาในลานกว้าง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกได้เสมอว่ามีบางอย่างผิดปกติ พรรคฟ้าดินแต่ก่อนไม่ใช่แบบนี้นี่?

ใครเป็นคนสร้างบรรยากาศอยากให้ทุกคนเสียหน้าขึ้นมา?

ซุนเสวียนจีเดินอยู่บนทางเดินหินกรวด สวนดอกไม้รกร้างเงียบสงัด ตัวศาลาสงบเงียบ ห่างออกไปมีบ้านที่มุงด้วยชายคามุมเชิดดับไฟลงแล้ว

เขาเข้ามาสวนดอกไม้ พบผู้พิทักษ์หยวนซ่อนตัวอยู่ในความมืด นอนขดตัวเป็นก้อนกลมๆ อยู่ในโขดหิน

ผู้พิทักษ์วานรขาวมีสีหน้าระแวดระวังในตอนแรก แต่เมื่อเห็นว่านั่นคือซุนเสวียนจี ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ดวงตาสีฟ้าครามจ้องมองซุนเสวียนจี อ่านความในใจที่เพิ่งได้รับจากพี่ซุน จากนั้นจึงตอบกลับ

“ข้ารู้สึกว่ากำลังเป็นปรปักษ์กับทุกฝ่าย กลัวว่าจะถูกสับหัวคว้านเอาสมองไปตอนเผลอหลับ จึงต้องซ่อนตัว…ข้าไม่ได้พูดอะไร ข้าแค่พูดความจริงก็เท่านั้น…ไม่เคยคิดจะทำให้ใครขุ่นเคือง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ขั้นสี่ทั้งหมด…

“ส่วนยอดฝีมือขั้นสามขึ้นไปไม่สามารถอ่านได้ตามอำเภอใจไม่ใช่รึ? ศิษย์พี่ซุนวางใจเถิด ข้าอ่านใจผู้กล้าขั้นสองไม่ได้อย่างแน่นอน ข้าแค่ควบคุมพลังวิเศษไม่ได้ แต่ข้าคงไม่เบื่อหน่ายชีวิตจนยั่วยุขั้นสองอย่างแน่นอน”

ซุนเสวียนจีพยักหน้าด้วยความวางใจ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็ยังสามารถปกปิดลิงตัวนี้ได้

กลางดึกสงัด

สมุหเทศาภิบาลชิงโจว มีแสงไฟสว่างไสว

หลังจากถอนกำลังออกจากเมืองสวินโจวที่ชายแดนยงโจว หลังจากพักผ่อนและนับจำนวนผู้เสียชีวิต แม่ทัพนายกองกองทัพอวิ๋นโจวก็มีเวลารวมตัวเจรจากัน ณ ที่แห่งนี้ในที่สุด

“ท่านแม่ทัพใหญ่ นับจำนวนผู้บาดเจ็บเรียบร้อย ปิดล้อมหนึ่งถึงหกกองพัน ทั้งกำลังพลและม้าหกพันรายถูกกวาดล้าง…”

“ท่านแม่ทัพใหญ่ ปืนใหญ่หายไปยี่สิบเอ็ดกระบอก หน้าไม้หกตัวและกองพันฉือรุ่ยกองที่สองถูกทำลาย…

“ท่านแม่ทัพใหญ่ ค่ายทหารสามร้อยนาย สูญหายหนึ่งร้อยหกสิบสองคน บาดเจ็บสาหัสแปดสิบคน…”

“ท่านแม่ทัพใหญ่…”

ชีก่วงป๋อเอนหลังพิงพนักพิงเก้าอี้ ฟังรายงานการบาดเจ็บล้มตายของแต่ละฝ่ายจากแม่ทัพนายกองเงียบๆ

ระหว่างวัน กองทัพอวิ๋นโจวประสบความสูญเสียอย่างหนัก มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากกว่าหนึ่งหมื่นคน ความรุนแรงของการลดขนาดลงเช่นนี้เป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจ

ข่าวดีเพียงอย่างเดียวคือ กองทัพที่ถูกปิดล้อมเป็นเพียงกองทั่วไป ไม่ใช่กองทัพอวิ๋นโจวโดยตรง หลังจากชิงโจวถูกพิชิต จึงเดินหน้าขยายกองทัพ รับสมัครทหารใหม่

ค่ายทหารก็ไม่ใช่กองทัพโดยตรง แต่กลับน่าเศร้ามากกว่าการสูญเสียโดยตรง เพราะค่ายทหารเต็มไปด้วยยอดฝีมือที่เก่งกาจในยุทธภพ

ในบรรดาคนเหล่านี้ มีขั้นสี่ ขั้นห้าและขั้นหก ซึ่งเป็นกองกำลังล้ำสมัยในการบุกล้อม

แต่ครั้งนี้ ยอดฝีมือขั้นสี่จากกองทหารต้าฟ่งมีเยอะมาก

“เฮ้อ!”

เก่อเหวินเซวียนทอดถอนใจ

“ความพ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจกองทัพของเราอย่างมาก”

เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น แม่ทัพนายกองก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความหดหู่ของผู้ใต้บังคับบัญชา

ขวัญกำลังใจสิ่งนี้สอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างมาก หากชนะก็จะมีขวัญกำลังใจ แต่ถ้าแพ้ก็คงหมดอาลัยตายอยาก

ในตอนแรกมันก็ไม่มีอะไร ชัยชนะและความพ่ายแพ้เป็นเรื่องปกติในหมู่ทหาร แต่ปัญหาคือ ผู้ที่เอาชนะพวกเขาได้คือสวี่ชีอัน

ฤทธานุภาพอันน่าเกรงขามจากที่ลุ่มตอนกลางของสวี่ชีอัน มีชื่อเสียงดังก้อง

เมื่อชนะศึกก็จะไม่เกรงกลัว แต่พอสู้แพ้แล้ว ขวัญกำลังใจของพวกหมากเบี้ยก็จะดิ่งลงเหว คงคิดว่าคู่ต่อสู้คือฆ้องเงินสวี่ และฆ้องเงินสวี่ไม่สามารถโค่นลงได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้กองทัพอวิ๋นโจว ไม่ใช่กองทัพอีกต่อไปตั้งแต่ออกจากอวิ๋นโจว หลังจากยอมรับบุคคลมีชื่อเสียงในยุทธภพ ผู้ลี้ภัยจากชิงโจว รวมถึงผู้คนพลัดถิ่นจากทั่วสารทิศ โครงสร้างจึงยิ่งซับซ้อน

ความเกรงกลัวสวี่ชีอันจึงมีมากขึ้นในหมู่พวกเขา

วันนี้มีคนพูดว่า “ฆ้องเงินสวี่ อยู่ยงคงกระพันและไม่สามารถชนะได้” จึงถูกผู้บัญชาการใช้อหิวาตกโรคเป็นข้ออ้างในการตัดคอ

ชีก่วงป๋อจิบชาอึกหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบ

“จงบอกท่านทั้งหลายว่า นักบวชจากลัทธิเต๋านิกายปฐพีถูกทำลายหมดสิ้นแล้ว

“วันนี้ชิงโจวถูกยอดฝีมือโจมตี รวมถึงผู้นำเต๋าเฮยเหลียน พวกขั้นสูงทั้งหมดในลัทธิเต๋านิกายปฐพีถูกตัดหัว เหลือเพียงนักบวชขั้นน้อยๆ ไม่กี่คนที่รอดชีวิตโดยบังเอิญ”

แม่ทัพในห้องได้ยินดังนี้จึงเปลี่ยนสีหน้า

หลังจากกลับไปที่ชิงโจว พวกเขารับรู้เรื่องที่ตุลาการความมั่นคงเกิดสงครามตอนกลางวันผ่านช่องทางของตัวเอง แต่เรื่องที่กองทัพนักบวชลัทธิเต๋านิกายปฐพี พวกเขายังไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ

เฮยเหลียนอยู่ชั้นบรรลุธรรมขั้นสอง จะบอกว่าตายแล้วได้อย่างไร?

ชั่วพริบตา หมอกควันในใจของทุกคนหนาขึ้นเรื่อยๆ

ชีก่วงป๋อดูเหมือนจะรู้สึกว่าการโจมตียังไม่เพียงพอ จึงเอ่ยว่า

“สงครามวันนี้ เป็นการใช้หน่วยที่สวี่ชีอันจัดตั้ง โดยใช้ประโยชน์จากการก่อกบฏในเมืองหลวงและความปลอดภัยของจีหย่วน ชักนำให้ฝ่ายราชครูและพวกเราโจมตียงโจว ต่อมาเขารับผิดชอบหน้าที่ควบคุมราชครูและพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่

“กลุ่มของมันมีหน้าที่สังหารเฮยเหลียนและทำให้กำลังรบพิเศษของเราอ่อนแอลง”

หยางชวนหนานขมวดคิ้วแน่น

“คนที่สังหารเฮยเหลียนคือผู้ใด?”

นี่คือกุญแจสำคัญของปัญหา

จีเสวียนกัดฟันด้วยความแค้นเอ่ยว่า

“อรหันต์ขั้นสองแห่งสำนักพุทธ เทพอารักษ์ขั้นสาม อาซูหลัว!”

ห้องโถงซึ่งมีบรรยากาศมาคุเป็นทุนเดิม เงียบสงัดขึ้นเรื่อยๆ แม่ทัพนายกองมองหน้ากันและกัน สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก

ฝ่ายหนึ่งสูญเสียเฮยเหลียน อีกฝ่ายได้ขั้นสองเพิ่มขึ้น ระยะเวลาผ่านไป ช่องว่างระหว่างพวกเขาถูกไล่ตามทันที

ในที่สุดชีก่วงป๋อเผยสีหน้าเคร่งขรึมและเอ่ยว่า

“เข้าใจแล้วใช่หรือไม่ นี่คือสวี่ชีอัน! เขาฟื้นฟูทางตันที่แม้แต่ราชครูก็คิดว่าแก้ไม่ได้ เขาเป็นผู้สืบทอดของเว่ยเยวียน ผู้เล่นหมากรุกที่โหราจารย์บ่มเพาะมา เป็นบุคคลที่ไม่สามารถดูแคลนได้ง่ายๆ

“คนผู้นี้ เทียบไม่ได้กับหยางกง หากเจ้าคิดว่าการต่อสู้ครั้งต่อไปจะเหมือนกับชิงโจว ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะตายในสนามรบ

“ถ้าไม่อยากตาย ก็ให้กำลังใจข้าด้วย”

เหล่าแม่ทัพนายกองเงียบลง

เก่อเหวินเซวียนคิดถึงชาติกำเนิดของสวี่ชีอันโดยไม่มีเหตุผล คิดถึงความแค้นของเขาและอาจารย์

ทุกวันนี้ อาจารย์จะคิดอย่างไรกับลูกชายคนโตผู้นี้?

โกรธแค้น? รังเกียจ? เสียดาย? หรือบางที…มีความกลัวแฝงอยู่หรือไม่?

สวี่ชีอันอยู่ขั้นสองแล้ว

การต่อสู้เพียงลำพัง โหรขั้นสองไม่ใช่คู่ต่อสู้จอมยุทธขั้นสองแน่นอน เด็กที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งคนนั้นเดิมทีใช้เป็นเพียงภาชนะ ได้เติบโตเป็นจอมยุทธที่ไม่มีใครเทียบได้ แม้แต่อาจารย์ก็แทบจะไม่สามารถเอาชนะได้

แน่นอนว่า หากอาจารย์มีความได้เปรียบในสนาม เช่น สนามรบอยู่ในชิงโจว นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

‘ปึง!’

จีเสวียนตบโต๊ะอย่างแรง เอ่ยเสียงดุดัน

“แล้วขั้นสองล่ะ? ผู้แข็งแกร่งขั้นสองขั้นสามในปัจจุบันนี้ ยังคงถูกพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ยับยั้ง เมื่อไป๋ตี้กลับมาจิ่วโจวในวันข้างหน้า และขั้นหนึ่งทั้งสองท่านผนึกกำลังกัน ผู้ใดจะหยุดต้าฟ่งได้?

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ความทะเยอทะยานของคนอื่นมาทำลายศักดิ์ศรีของตัวเอง แค่ปล่อยให้ไอ้สารเลวแซ่สวี่หยิ่งผยองไปอีกสองสามวัน”

‘ท่าทีท่านชายจีเสวียนมีบางอย่างไม่ปกติ การต่อสู้ในวันนี้ดูเหมือนจะสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับเขา นอกจากนี้ เขาคิดอยู่เสมอว่าตนสูสีกับสวี่ชีอันแล้ว’…หยางชวนหนานเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ก่อนลอบถอนหายใจ

คำพูดของจีเสวียน ได้กระตุ้นศรัทธาและความเชื่อมั่นเหล่าแม่ทัพนายกอง

ใช่แล้ว ถ้าขั้นหนึ่งทั้งสองท่านร่วมมือกัน ส่วนต้าฟ่งไม่มีท่านโหราจารย์ จะต่อต้านได้อย่างไรเล่า!

ในเวลานี้ ทหารด้านนอกโถงตะโกนว่า

“แม่ทัพจี หน่วยสอดแนมนำของกลับมาแล้ว บอกว่าฝากให้ท่าน”

ฝ่ายทหารฝ่ายในโถงเงยหน้ามองกันและกัน จีเสวียนขมวดคิ้วและเอ่ยว่า

“เอาเข้ามา!”

ทหารเดินกอดกล่องไม้สี่เหลี่ยมเข้ามา วางไว้บนโต๊ะด้วยความเคารพและเอ่ยรายงาน

“หน่วยสอดแนมถูกสกัดและสังหารที่ชายแดนยงโจว คนของกองทัพต้าฟ่งทิ้งไว้ตัวเป็นๆ และปล่อยให้หน่วยสอดแนมที่เหลือเพียงคนเดียวนำมันกลับมา โดยบอกว่ามันเป็นของท่าน

“บนกล่องมีค่ายกล พวกเราเปิดไม่ได้”

จีเสวียนขมวดคิ้ว กดฝ่ามือลงบนพื้นผิวหน้ากล่องไม้ ค่อยๆ ออกแรงเล็กน้อย จนรับรู้ถึงการตอบสนองของค่ายกลจริงๆ

ฝ่ามือของเขาออกแรงเล็กน้อย ค่ายกลที่ถูกบีบอัดใกล้จะแตกเป็นเสี่ยงๆ และในระหว่างกระบวนการนี้ ลางล่วงรู้วิกฤติของจอมยุทธไม่ได้ทำงาน

ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีอันตรายจากการเปิดกล่อง

ด้วยความมั่นใจในตัวเอง รวมถึงความไว้วางใจสวี่ผิงเฟิงผู้ซึ่งกล่าวกันว่าอยู่ยงคงกระพันในชิงโจว จีเสวียนปาดฝ่ามือบนหน้าพื้นผิวกล่องไม้ ขจัดค่ายกลอย่างรวดเร็ว

‘แกร๊ก!’

เขาเปิดกล่องไม้

ด้านในกล่องมีศีรษะมนุษย์ สีผิวเขียวคล้ำ ลูกตาแดงก่ำปูดโปน ใบหน้าแสดงออกถึงความกลัว หน้าตามีส่วนคล้ายจีเสวียนสี่ห้าจุด

จีหย่วน!

‘คนแซ่สวี่ฆ่าท่านชายจีหย่วน เขากล้าดีอย่างไร’…แม่ทัพนายกองพลันแข็งทื่อทันที มองไปทางจีเสวียนอย่างระแวดระวัง

สิ่งที่พวกเขาเห็นคือ ใบหน้าน่ากลัว มืดมน ราวกับสัตว์ร้าย

จีเสวียนมีน้องชายเพียงคนเดียว น้องชายร่วมมารดาเดียวกัน ห่างจากเขาแค่สองปี

เนื่องจากทั้งคู่ไม่ได้แต่งงาน ทั้งสองพี่น้องจึงไม่ต้องกังวลกับข้อพิพาท ‘เรื่องศึกชิงอำนาจ’ และความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ดีงามตั้งแต่เด็ก

ตั้งแต่มารดาสิ้นลมหายใจ จีหย่วนก็กลายเป็นญาติเพียงคนเดียว สำหรับคนอย่างพวกเขา พ่อไม่ใช่ญาติ พี่น้องคนอื่นๆ ก็ไม่ใช่ญาติ พวกเขาทั้งหมดเป็นเพียงวัตถุประสงค์ของเกม

ตอนนี้ ญาติเพียงคนเดียวของเขาจากไปแล้ว

“สวี่ชีอัน!”

เสียงกรีดร้องโหยหวนของจีเสวียนดังก้อง ราวกับเสียงคร่ำครวญ แต่ก็เหมือนเสียงคำรามเช่นกัน

ตำหนักที่อยู่ห่างจากจวนสมุหเทศาภิบาลออกไปสองช่วงถนน ที่แห่งนี้คือสถานที่ที่สวี่ชีอัน จะพำนักอยู่ชั่วคราวในอนาคต

เดิมเป็นที่พักของพ่อค้ารายใหญ่ท่านหนึ่งในเมืองสวินโจว หลังจากรู้ว่าชิงโจวสูญสลาย เขาก็หอบข้าวหอบของ ข้ารับใช้ และครอบครัวฝ่ายภรรยาหนีออกจากสวินโจว บ้านพักที่นี่ไม่จำเป็นอีกต่อไป

เหนือสิ่งอื่นใด แม้แต่บ้านหลังดีก็ไม่สามารถขายได้

ห้องทางทิศตะวันออกสว่างไสว ลั่วอวี้เหิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงนุ่มๆ บำเพ็ญสมาธิ

‘แกร๊ก…’

ทันใดนั้น ประตูด้านนอกก็ถูกเปิดออกอย่างระมัดระวัง ร่างหนึ่งค่อยๆ ย่องเข้ามา

ลั่วอวี้เหิงลืมตาขึ้น คิ้วเรียวยาวย่นลงเล็กน้อยพร้อมเอ่ยเสียงเรียบ

“มีเรื่องอะไรก็บอกจากข้างนอก พูดจบแล้วก็ไปเสีย อย่ารบกวนการบำเพ็ญของข้า”

…………………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท