บทที่ 760 ทำงานล่วงเวลา

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 760 ทำงานล่วงเวลา

แสงเทียนทางด้านปีกตะวันออกสว่างไสว บนโต๊ะน้ำชาทรงสูงตรงหัวมุมมีสัตว์ทองคำซึ่งดูสมจริงวางอยู่ ปากของมันพ่นควันหอมออกมา

สวี่ชีอันเลิกผ้าม่านขึ้น เดินเข้าไปห้องด้านใน นั่งลงที่โต๊ะและกล่าวอย่างจริงจัง

“ท่านราชครู การต่อสู้ในวันนี้สูญเสียหนักมาก ข้าไม่วางใจเรื่องท่าน จึงตั้งใจแวะมาดู”

ขณะพูด เขาก็ชื่นชมหญิงสาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง เสื้อคลุมถูกถอดออกแล้ว ข้างในเป็นชุดผ้าไหมสีสันสดใส

เอวคาดเข็มขัดหยก ซึ่งขับเน้นเอวเล็กอ้อนแอ้น เข้ากับทรวงอกนูนสูงและอวบอิ่ม เผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งกับสัดส่วนอันงดงามที่สุดของผู้หญิงในทันที

ผู้ชายมักจะไม่สามารถต้านทานผู้หญิงที่มีทรวงอกอวบอิ่มและเอวเพรียวบางได้

ยิ่งไปกว่านั้นหญิงสาวผู้งดงามและเย็นชาที่อยู่บนเตียงยังมีบั้นท้ายกลมกลึงและนุ่มนิ่มด้วย

ลั่วอวี้เหิงเอ่ยเสียงเรียบ

“ต้องมากลางดึกด้วยหรือ”

หากไม่มาตอนกลางคืน จะให้มาตอนกลางวันแสกๆ หรืออย่างไร…สวี่ชีอันบ่นพึมพำในใจและเอ่ยอย่างจริงจัง

“พูดถึงเรื่องนั้น ตั้งแต่เข้าสู่ยุทธภพ พวกเราก็บำเพ็ญคู่กันมาสองครั้งแล้ว”

ครั้งแรกคือเจ็ดวัน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าอันงามประณีตราวหยกสลักของลั่วอวี้เหิงก็เปลี่ยนเล็กน้อย นางเอ่ยเสียงเย็นชา

“การบำเพ็ญคู่เป็นข้อตกลงระหว่างเจ้ากับข้า ไม่จำเป็นต้องพูดถึงมากนัก เมื่อก่อนพวกเรารักษาระยะห่างแบบใดก็ควรรักษาระยะห่างแบบนั้น อย่าให้จิตใจว้าวุ่นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างการทำข้อตกลง”

เจ้ากำลังถีบหัวส่งข้า หากคนที่พูดประโยคนี้เป็นข้า ข้าก็จะถูกก่นด่าว่าเป็นเศษเดนที่โจมตีผู้อื่นด้วยวาจาและปากกา…สวี่ชีอันค่อนข้างจะคาดเดาท่าทางของราชครูได้

วันนั้นที่ไปหานางที่อารามรัตนะ เพราะอยากเชิญนางไปกล่าวสนับสนุนให้ตัวเองที่สวินโจว แต่กลับได้พบมู่หนานจือ หญิงสาวผู้โง่เขลาที่วิ่งแจ้นมาอารามรัตนะเพื่อคุยโวโอ้อวดแทน…

สวี่ชีอันรู้ว่าราชครูคงไม่ทำหน้าตาดีๆ ให้แก่เขา เหตุผลที่มาสวินโจวในวันนี้ก็เพราะให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวมของราชครูมากที่สุด จุดนี้สวี่ชีอันชื่นชมมาก ราชครูกับฝ่าบาทเป็นปลาที่มีเหตุมีผลและมีวิสัยทัศน์มากที่สุด

“แน่นอนๆ ราชครูเป็นผู้นำนิกายมนุษย์ เป็นวีรสตรีในหมู่ผู้หญิง และแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไป แต่สิ่งที่ข้าอยากพูดคือ…”

สวี่ชีอันหยุดชะงักไปครู่หนึ่งและเอ่ยว่า “การบำเพ็ญคู่ครั้งต่อไปคือเมื่อใด อ่า ราชครูอย่าเข้าใจผิด ท่านก็รู้ว่าแม้นักบวชเต๋าเฮยเหลียนจะถูกกำจัดไปแล้ว ทว่านักบวชเต๋าจินเหลียนก็สามารถฟื้นคืนตบะและกลับสู่คุณสมบัติระดับสองได้

“แต่อวิ๋นโจวยังมีระดับหนึ่งอีกสองคนคือเจียหลัวซู่กับไป๋ตี้ ความต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นใหญ่มหาศาลมาก นี่ยังไม่นับสวี่ผิงเฟิงที่อยู่ในเขตชิงโจวกับอวิ๋นโจวอีก”

สวี่ชีอันเป็นจอมยุทธ์ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับสอง โดยอาศัยพลังของทุกสรรพสิ่งและวิธีการต่างๆ เพื่อจะได้ผลักดันพลังต่อสู้ให้เทียบเท่ากับอาซูหลัว หากระเบิดอย่างเต็มกำลังก็จะสามารถทำลายร่างธรรมของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ได้

เช่นนั้น สวี่ผิงเฟิงที่อยู่ระดับสองสูงสุด โดยอาศัยพลังเสริมจากพลังของทุกสรรพสิ่ง ทำให้พลังต่อสู้ไปถึงประตูระดับหนึ่ง ก็ไม่ใช่ปัญหา

สวี่ชีอันเปิดถ้วยและดื่มน้ำเย็นเฉียบ

“ดังนั้น เมื่อใดที่ราชครูเข้าสู่ระดับหนึ่งได้ ท่านจะมีความสำคัญมาก”

ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเขา ในบรรดาผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของทางต้าฟ่งตอนนี้ นอกจากนางแล้วก็ไม่มีใครสามารถเลื่อนขั้นสู่ระดับหนึ่งได้ในระยะเวลาอันสั้น

“แล้วครั้งต่อไปที่ราชครูต้องทนทุกข์กับไฟแห่งกรรมแผดเผาร่างกายคือ…” สวี่ชีอันหยั่งเชิง

“ครึ่งเดือนหลังจากนี้!” ลั่วอวี้เหิงกล่าวด้วยท่าทีเย็นชา

ครึ่งเดือนหลังจากนี้สินะ คงไม่ใช่เดือนละครั้งแล้วจริงๆ นางค่อยๆ ระงับไฟแห่งกรรม และชะลอการปะทุของมันได้แล้ว! สวี่ชีอันตัดสินในใจและถามอีกครั้ง

“ราชครู ข้ายังมีอีกเรื่องที่ไม่เข้าใจ”

ลั่วอวี้เหิงร้อง ‘อืม’ โดยไม่แสดงสีหน้าอะไร เป็นสัญญาณให้เขาพูดออกมาตรงๆ

“ข้าจำได้ว่า จุดประสงค์หลักของการบำเพ็ญคู่คือระงับไฟแห่งกรรม เพื่อที่ว่าเมื่อหนีเคราะห์กรรมในอนาคต ราชครูจะได้มีสมาธิต่อกรกับชะตากรรม ไม่ต้องกังวลว่าไฟแห่งกรรมจะแผดเผาร่างกายจนชีวิตดับสูญ”

ลั่วอวี้เหิงฟังจบก็พยักหน้าเล็กน้อย

สวี่ชีอันถามต่อ

“กล่าวคือ ที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องรอให้ไฟแห่งกรรมสะท้อนกลับถึงจะสามารถบำเพ็ญคู่ได้”

ลั่วอวี้เหิงมองเขาอย่างเย็นชา

“เจ้าอยากจะพูดอะไร”

สวี่ชีอันถูมืออย่างตื่นเต้น

“ข้าขอทำงานล่วงเวลา!”

หากสามารถขอทำงานล่วงเวลาได้ก็จะดีมาก

เมื่อเขาพูดจบ ลั่วอวี้เหิงก็ชักกระบี่ฟันเขา แม้นางจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ทำงานล่วงเวลา’ แต่เมื่อเห็นท่าทางเล่นหูเล่นตาและได้ยินน้ำเสียงของสวี่ชีอัน นางก็เข้าใจทันทีว่าเขาคิดจะทำอะไร

กระบี่เทพฟันลงบนไหล่ของสวี่ชีอันดังเคร้ง ฟันออกมาเป็นประกายไฟ ผ้าม่านภายในห้องปลิวไสว พืชพรรณสั่นไหว

“ราชครูเขินหรือ”

ร่างของสวี่ชีอันสว่างวาบมาปรากฏข้างเตียง โอบเอวของลั่วอวี้เหิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ปล่อยมือ!”

ลั่วอวี้เหิงเลิกคิ้วเรียวและเอ่ยอย่างโมโห

“ข้าใจกว้างกับเจ้ามากเกินไปสินะ ถึงทำให้เจ้าอวดดีขึ้นเรื่อยๆ”

กระบี่เทพทิ่มหลังของสวี่ชีอันเสียงดัง ‘เคร้งๆๆ’ อยู่ข้างหลัง เหมือนกำปั้นน้อยๆ ทุบสาวใช้อันธพาลที่คิดจะรังแกคุณหนูของตัวเอง

หากเจ้าไม่อยากบำเพ็ญคู่แล้วจะพักอยู่ที่สวินโจวทำไม กลับเมืองหลวงตอนช่วงระหว่างวันก็ได้ หากเจ้าไม่อยากบำเพ็ญคู่ จะจุดเทียนแอบส่งสัญญาณให้ข้ากลางดึกทำไม นอกจากนี้ ภายในเครื่องหอมในกระถางธูปยังมีผงยาปลุกอารมณ์ผสมอยู่ด้วยเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าอยากบำเพ็ญคู่จึงสูดดมเล่นหรอกหรือ…

“ราชครู…” สวี่ชีอันกระซิบเสียงนุ่ม เป็นคำหวานที่ใช้เพื่อหลอกล่อผู้หญิงเท่านั้น

เขาไม่สามารถเปิดเผยลั่วอวี้เหิงซึ่งๆ หน้าได้ ต้องพูดดีๆ เพื่อให้คิดว่าเป็นตัณหาของเขา ไม่ใช่ราชครูตั้งใจจะบำเพ็ญคู่

มิเช่นนั้นราชครูจะระเบิดทันทีและไล่เขาออกไปจริงๆ

หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ สงวนตัวและเย่อหยิ่งเช่นลั่วอวี้เหิงชอบทำเป็นกึ่งผลักไสกึ่งยอมรับยิ่งนัก

สวี่ชีอันเกลี้ยกล่อมพลางปลดเข็มขัดของลั่วอวี้เหิง และก้มศีรษะจูบบริเวณลำคอของนาง

“ปล่อยมือ!”

ลั่วอวี้เหิงใช้มือข้างหนึ่งผลักหน้าอกเขา อีกข้างหนึ่งจับมือที่เอวไว้ แล้วถลึงตาจ้องมอง

“เมื่อไฟแห่งกรรมของข้าสะท้อนกลับ ข้าจะไปหาเจ้าเอง ลุกออกไป ความอดทนของข้ามีจำกัด”

กระบี่เทพปล่อยจิตกระบี่ทะยานฟ้าออกมา

สวี่ชีอันกอดนางแน่นและแย้มยิ้ม

“เช่นนั้นพวกเราก็มาสานสัมพันธ์กันเถอะ ได้สังเวยชีวิตเพื่อบูชารักกับราชครู ถึงตายข้าก็ไม่เสียใจ”

ขณะพูด เขาก็ผลักลั่วอวี้เหิงลงบนเตียง

“ลุกออกไป!”

“ไม่!”

“สวี่ชีอัน เจ้ารนหาที่ตายหรืออย่างไร”

“อืม”

“…”

หลังจากไม่ยอมอ่อนข้อให้อยู่ครู่หนึ่ง หน้าอกสูงก็กระเพื่อมขึ้นลง ลั่วอวี้เหิงรู้สึกรำคาญเล็กน้อย จึงเบือนหน้าหนี แล้วเอ่ยเสียงเย็น

“แค่ครั้งนี้เท่านั้น!”

กระบี่เทพตกลงพื้นเสียงดัง ‘เคร้ง’ ม่านเตียงที่ถูกเลิกขึ้นก็ร่วงลงมาโดยอัตโนมัติ กำบังทัศนียภาพข้างในเตียง

ภายในปีกตะวันตกเงียบสงัด มีเพียงเสียงเปลื้องผ้า ‘สวบสาบ’ ดังมาอย่างแผ่วเบา

ครู่หนึ่ง ม่านเตียงที่ห้อยลงก็ขยับ เสื้อคลุม ชุดกระโปรงและชุดชั้นในเผยออกมา

ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ม่านเตียงที่ห้อยต่ำก็เริ่มสั่น เตียงไม้หลังใหญ่ฉายเดี่ยวในคืนอันเงียบสงบ

เมืองหลวง ยามเหม่า

นี่เป็นการประชุมราชสำนักครั้งที่สองตั้งแต่องค์หญิงใหญ่ขึ้นครองบัลลังก์

เดิมทีเหล่าขุนนางข้าราชการคิดว่าจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์คงจะแสดงท่าทีขยันทรงงาน จากนั้นนานวันเข้าก็ปรากฏตัวที่ราชสำนักตอนเช้าทุกวัน

หยวนจิ่งในสมัยนั้นและหย่งซิ่งที่สละราชบัลลังก์ไปได้ไม่นานต่างก็ทำเช่นนั้น

แต่ฮว๋ายชิ่งไม่ทำ นางแสดงความมั่นใจและความขมีขมันอันมากล้นออกมา แต่ไม่ได้แสดงท่าทีขยันทรงงานออกมาผ่านวิธีดังกล่าว

การประชุมราชสำนักในวันนี้ ท่ามกลางเสียงระฆังกับกลอง ขุนนางข้าราชบริพารเดินผ่านประตูอู่และข้ามสะพานจินสุ่ย ข้าราชการบางส่วนยืนอยู่บนขั้นบันได บางส่วนเข้าไปในตำหนักกระดิ่งทอง

ในบรรดาขุนนางมีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยเพิ่มมากขึ้น

นอกจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงในการกวาดล้างท้องพระโรง ยังมีผู้นำแต่ละแคว้นชุดแรกที่เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ด้วย

หลังจากสถานการณ์ในเมืองหลวงสงบลง ฮว๋ายชิ่งก็ออกคำสั่งให้สมุหเทศาภิบาล ผู้บัญชาการและเจ้าหน้าที่ที่มีตำแหน่งค่อนข้างสูงเดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่

เวลานี้เจ้าหน้าที่ชุดแรกมาถึงเมืองหลวงแล้ว

พวกเขารออย่างหวั่นวิตกอยู่ในจุดพักม้าเป็นเวลาสามวันแล้ว ทว่าไม่ได้รับการต้อนรับจากจักรพรรดินี ซึ่งน่าอายมาก เพราะก่อนที่จะพบจักรพรรดิ พวกเขาไม่สามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ในเมืองหลวงเป็นการส่วนตัวได้

จนกระทั่งเมื่อวานนี้ ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับการแจ้งเชิญเข้าร่วมการประชุมราชสำนัก

เจ้าหน้าที่ที่กลับมาเมืองหลวงเพื่อรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้จึงระงับความไม่พอใจและความหวั่นวิตกลง ก่อนตามขุนนางเข้าไปในตำหนักกระดิ่งทอง

“ฝ่าบาท เทศกาลไหว้วสันต์ใกล้เข้ามาแล้ว กระหม่อมส่งคนไปตรวจสอบสถานการณ์ของชาวนาในแต่ละแคว้นแล้ว และพบว่าการควบรวมที่ดินเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ว่าฤดูใบไม้ผลิจะกลับคืนสู่แผ่นดินกว้าง ผู้ลี้ภัยก็อยากกลับบ้านเกิดเพื่อทำไร่ทำนา แต่ไม่มีที่ดินให้พวกเขาเพาะปลูก”

เจ้ากรมการคลังก้าวออกมา

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่อาจเอาชีวิตรอดได้ ประชาชนธรรมดาขายที่ดินเป็นกิจวัตร ซึ่งเปิดโอกาสให้เหล่าขุนนางกับเจ้าของที่ดินรายใหญ่กว้านซื้อที่ดินในราคาต่ำ โดยไม่จำเป็นต้องข่มขู่ประชาชน เพราะประชาชนที่ไม่อาจเอาชีวิตรอดได้ก็จะเริ่มขายที่ดิน

เจ้ากรมการคลังตั้งใจจะชี้ให้เห็นว่า หลังจากผ่านฤดูหนาวไป ราชสำนักจะต้องเผชิญกับปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด

นี่ถือเป็นผลพวงจากภัยหนาว

หญิงสาวที่สวมชุดคลุมมังกรสีเหลืองสดใสกวาดตามองเหล่าขุนนางด้วยท่าทีน่าเกรงขาม

“ทุกท่านมีแผนการดีๆ หรือไม่”

ขุนนางทยอยเสนอแนะทีละคน แต่ก็เป็นวิธีการธรรมดาๆ ซึ่งแก้ไขที่ปลายเหตุไม่ใช่ต้นเหตุ

ตั้งแต่ในอดีต ราชสำนักเกลียดการควบที่ดินมากที่สุด แต่ก็จนปัญญาที่สุดอีก

เพราะคนที่ควบที่ดินเป็น ‘ผู้มีอำนาจ’ ของแต่ละพื้นที่ในแต่ละแคว้น คหบดีพวกนั้นมั่งคั่งร่ำรวย ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ที่ขอเกษียณแล้วกลับบ้านเกิด ไม่มีใครโง่เขลาถึงกับตีตัวเอง ขุนนางก็เป็นคนชนชั้นนี้เช่นกัน

ต่อมา พูดโดยไม่คำนึงถึงชนชั้นของตัวเอง ปัญหานี้จัดการได้ยากจริงๆ เพราะเป็นการบีบบังคับมากเกินไป และจะต้องเผชิญกับการซัดกลับของเจ้าของที่ดิน

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ปั่นป่วนวุ่นวาย ณ เวลานี้ยิ่งทำให้ขุนนางงอมืองอเท้า

‘เจ้าสารเลวหย่งซิ่ง’ ฮว๋ายชิ่งฟังเงียบๆ จนจบและพูดว่า

“ข้ามีอยู่สองสามวิธี ขอทุกท่านลองฟังดู”

หากตอนนั้นหย่งซิ่งใช้กลยุทธ์ของสวี่เอ้อร์หลาง วิกฤตการควบรวมที่ดินก็จะบรรเทาลงได้อย่างมาก

จักรพรรดิไร้ความสามารถจะนำภัยพิบัติมาสู่ประเทศชาติและประชาชน

ฮว๋ายชิ่งกล่าวว่า

“เพิ่มตลาดค้าขายในเจี้ยนโจวกับอวี่โจว ก่อตั้งเมืองเฉพาะกิจ ส่งเสริมการค้าขายกับคนเถื่อนทางเหนือ อาณาจักรหมื่นปีศาจที่อยู่ทางซินเจียงตอนใต้และเผ่าพันธุ์กู่ เก็บภาษีการค้าจากกองคาราวานของที่ราบภาคกลางและคนต่างชาติ เติมเต็มคลังของอาณาจักร”

ดวงตาของเหล่าขุนนางเปล่งประกาย

อันที่จริงนี่เป็นวิธีที่ดี ซินเจียงตอนใต้อุดมไปด้วยทรัพยากรมากมาย ทั้งไม้ สมุนไพร เหยื่อ และขนสัตว์ กล่าวได้ว่าเป็นขุมสมบัติที่ใช้ได้ไม่มีวันหมด

คนเถื่อนทางเหนือก็มีขนสัตว์มากมายเช่นกัน และสิ่งของเหล่านั้นก็เป็นทรัพยากรที่มีความต้องการสูงมากที่สุดในที่ราบภาคกลางเวลานี้ กองคาราวานของที่ราบภาคกลางต้องแห่กันไปแย่งชิงและตะเกียกตะกายไปที่ตลาดค้าขายเพื่อทำธุรกิจอย่างแน่นอน

เงินก็จะไหลเข้ามาในคลังของอาณาจักรเป็นกอบเป็นกำ

หากเป็นเมื่อก่อน วิธีการของฝ่าบาทคงไม่ได้ผลแน่ แต่เมื่อเร็วๆ นี้ฆ้องเงินสวี่ได้เป็นพันธมิตรกับอาณาจักรหมื่นปีศาจและเผ่าพันธุ์กู่ ทั้งสองฝ่ายมีรากฐานการค้าอันเป็นมิตรต่อกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงสามารถเติมเต็มคลังของอาณาจักรได้เท่านั้น ทรัพยากรของซินเจียงตอนใต้กับทางเหนือก็จะไหลเข้ามาในที่ราบภาคกลาง ซึ่งช่วยบรรเทาสถานการณ์อันลำบากยากแค้นของการขาดแคลนทรัพยากรได้อย่างมาก

และเมื่อมีการค้าขายก็จะขับเคลื่อนแรงงานได้ ทำให้ประชาชนมีงานทำ มีรายได้

ขณะที่ขุนนางกำลังวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของแผนการนี้ ฮว๋ายชิ่งก็กล่าวต่อ

“หากซื้อขายที่ดินในยามศึกสงคราม หัวจะหลุดจากบ่า! ให้กรมการคลังตรวจสอบการซื้อขายที่ดินตั้งแต่ต้นฤดูหนาวอย่างละเอียด ใครก็ตามที่ซื้อขายที่ดิน ประหารให้สิ้น!”

ประโยคนี้ดึงเหล่าขุนนางกลับสู่ความเป็นจริงทันที สีหน้าของผู้นำในแต่ละแคว้นที่มารายงานผลการปฏิบัติหน้าที่เปลี่ยนไป

“ฝ่าบาทโปรดคิดทบทวนด้วย”

สมุหราชเลขาธิการเฉียนชิงซูก้าวออกมาและเอ่ยเสียงเคร่งขรึม

“หากทำเช่นนั้น อาจนำไปสู่การตอบโต้ของคหบดีในท้องถิ่นได้ ความโกลาหลเพิ่มมากขึ้น ผลที่ตามมาเลวร้ายจนไม่กล้าคิด”

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย

“ที่ขุนนางเฉียนพูดก็มีเหตุผล ข้าเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ การประหารตามอำเภอใจคงไม่เหมาะสม เช่นนั้นให้ผู้ที่ซื้อที่ดินเหล่านั้นขายคืนให้ราชสำนักในราคาที่ซื้อไป”

ขุนนางได้ยินดังนั้นก็ตะลึงงัน

ทันใดนั้นพวกเขาก็เข้าใจเหตุผลที่จักรพรรดินีฮว๋ายชิ่งให้เพิ่มตลาดค้าขาย นี่เป็นการปูทางเพื่อยึดที่ดินคืน ประชาชนขายที่ดิน แน่นอนว่าเป็นการขายในราคาถูก ราชสำนักจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายในราคาที่สูงเกินไปเพื่อซื้อคืน

แต่วิธีนี้จะดีหรือ พวกคหบดีกับเจ้าของที่ดินในแต่ละพื้นที่อาจไม่เห็นด้วย

สมุหเทศาภิบาลที่กลับมาเมืองหลวงเพื่อรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่คนหนึ่งก้าวออกมาและกล่าวเสียงดัง

“ฝ่าบาท แม้ว่าแผนการนี้จะยอดเยี่ยม แต่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก”

เขาให้เหตุผลว่าเวลานี้สถานการณ์ยังโกลาหลวุ่นวายและพูดพร่ำถึงเรื่องนี้

แน่นอนว่าเข้าไม่อาจต่อปากต่อคำกับฮว๋ายชิ่งโดยตรงได้ การใช้สงครามเป็นเหตุผลจึงเป็นข้ออ้างที่ดีที่สุด แล้วก็สมเหตุสมผลด้วย

ตอนนี้ราชสำนักไม่มีความสามารถในการทำเรื่องนี้

ฮว๋ายชิ่งนั่งฟังเขาพูดจนจบอยู่บัลลังก์ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก จ้องมองขุนนางที่อยู่เบื้องล่างและกล่าวว่า

“เมื่อคืนข้าได้รับข้อความผ่านทางอาวุธเวทมนตร์ของฆ้องเงินสวี่ว่า เราได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ในสวินโจว สังหารศัตรูไปนับหมื่นคน ฆ้องเงินสวี่เอาชนะผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของอวิ๋นโจว และตัดศีรษะของผู้นำนิกายปฐพีในชิงโจว”

ภายในตำหนักกระดิ่งทองเงียบสงัด

หลังจากเงียบไปหลายวินาที หลิวหงเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายก็ตะโกนเสียงดังด้วยความปีติยินดี

“สวรรค์ประทานพรแด่ต้าฟ่ง สวรรค์ประทานพรแด่ฝ่าบาท!”

ความรู้สึกยินดีปรีดากระจายไปทั่วตำหนัก ขุนนางกระปรี้กระเปร่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

หลังจากท่านโหราจารย์ ‘ตายจาก’ ราชสำนักก็ตกอยู่ในสภาวะถดถอย ข่าวดีเช่นนี้จึงจำเป็นอย่างมากในการสร้างความฮึกเหิมให้ผู้คน

เหล่าเจ้าหน้าที่ที่เดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่มองหน้ากันอย่างตกตะลึง

ในเวลานี้เอง พวกเขาก็ได้เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจักรพรรดินีถึงจงใจปฏิบัติตัวเย็นชา แล้วความไม่พอใจกับความหวั่นวิตกภายในใจของพวกเขาก็หายไป

สุดท้ายแล้วเรื่องบังคับซื้อที่ดินคืนก็ไม่มีใครกล้าโต้แย้งอีก พวกเขาเชื่อในความสามารถกับความกล้าหาญของจักรพรรดินีและจะลงมือสังหารหมู่พวกคหบดีที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่อย่างแน่นอน

และความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าราชสำนักมีความสามารถดังกล่าว

หลังการว่าราชการสิ้นสุดลง

เจ้ากรมซุนไล่ตามสมุหราชเลขาธิการเฉียนชิงซูมาและทอดถอนใจ

“ราวกับข้าได้ย้อนเวลากลับไปตอนเว่ยเยวียนยังอยู่ที่นั่นเลย”

เขาหมายถึงสถานการณ์ตอนจักรพรรดิหยวนจิ่งครองราชย์นั้นแตกต่างกับตอนจักรพรรดิหย่งซิ่ง ความสามารถและความคิดของจักรพรรดิหยวนจิ่งสามารถปราบปรามพรรคเว่ยกับพรรคหวางได้

เฉียนชิงซูเงียบไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า

“ไม่หรอก ความสามารถของจักรพรรดินีเหนือกว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งมาก”

ความสามารถในการจัดการงานราชการของฮว๋ายชิ่ง จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่อาจเทียบได้เลย จักรพรรดิหยวนจิ่งโดดเด่นด้านเจตจำนงในการเป็นจักรพรรดิ ทว่าฮว๋ายชิ่งนั้นมีความสามารถจริงๆ

แผนการของจักรพรรดินีเมื่อสักครู่นี้ทำให้เฉียนชิงซูเกิดความรู้สึกละอายใจที่ถือครองตำแหน่งมานานแต่ไม่ทำงานใดๆ เลย

เจ้ากรมซุนหัวเราะ

“นั่นถือเป็นเรื่องดี”

เฉียนชิงซูเงียบไปสองสามวินาทีและถอนหายใจ

“ใช่ เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ชะตากรรมของต้าฟ่งยังไม่จบลง”

หลังจากรุ่งสาง ข่าวชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ในสวินโจวก็ถูกติดบนกระดานประกาศ ณ ที่ทำการปกครองต่างๆ และบนผนังประกาศตรงประตูเมือง

ดังที่หลิวหงบอก นี่เป็นข่าวที่สร้างความฮึกเหิมให้ผู้คน มันลบล้างผลพวงสุดท้ายในการขึ้นครองบัลลังก์ของฮว๋ายชิ่งทันที

แม้แต่คนที่ดื้อรั้นและหัวแข็งเป็นที่สุดก็ไม่อาจพูดออกมาว่า ‘ผู้หญิงขึ้นเป็นจักรพรรดินีจะนำภัยพิบัติมาสู่ประเทศชาติและประชาชน’ ได้อีก

“ฝ่าบาทเป็นผู้ที่ฟ้าลิขิตจริงๆ ไม่แปลกใจที่วันขึ้นครองบัลลังก์ ความเป็นสิริมงคลจะโปรยลงมาจากฟ้า ดูสิ ขึ้นครองบัลลังก์ได้ไม่นาน ก็รบชนะยงโจว พวกเราเลยไม่ต้องกังวลว่ากองทัพกบฏจะมาจู่โจมเมืองหลวง”

ยงโจวนั้นอยู่ใกล้กับเมืองหลวง หากสถานการณ์รบในยงโจวไม่สู้ดี ประชาชนในเมืองหลวงคงจะตื่นตระหนก

“แน่นอนว่าฝ่าบาทเป็นผู้ที่ฟ้าลิขิต เพราะท่านเป็นคนที่ฆ้องเงินสวี่เลือก”

“ข้าว่านะ ฆ้องเงินสวี่คือวีรบุรุษที่บุกเดี่ยวขับไล่กองทัพของสำนักพ่อมดนับสองแสนคนที่ด่านอวี้หยาง เพียงแค่กองทัพกบฏอวิ๋นโจว”

“ยอดฝีมือระดับสองอยู่ระดับขั้นใดหรือ ท่าทางดูจะเก่งกาจมาก”

“แน่นอนว่าเก่งกาจ แต่เก่งกาจเพียงใดก็ไม่เท่าฆ้องเงินสวี่ ฆ้องเงินสวี่อยู่ระดับหนึ่ง”

“ไร้สาระ นั่นไม่ใช่แค่เก่งกาจกว่าระดับสองแล้ว เห็นได้ชัดว่าฆ้องเงินสวี่อยู่ในระดับจักรพรรดิ ไม่มีระดับขั้นแล้ว”

ข่าวแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ประชาชนในท้องตลาดส่งเสียงกู่ร้องราวกับถูกต้ม

ณ จวนในสวินโจว

ขณะที่สวี่ชีอันกำลังหลับสนิทจู่ๆ ก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยอาการสั่นที่คุ้นเคย

เขายื่นมือออกไปอย่างเกียจคร้าน เศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีลอยขึ้นมาจากในกองเสื้อผ้าระเกะระกะและพุ่งชนม่านเตียงที่ห้อยลงมา

จากนั้นก็ถูกมือเรียวงามสีขาวนวลตัดหน้าไป

ลั่วอวี้เหิงลืมตา หดแขนกลับ และมองผิวกระจกของเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีราวกับมองโทรศัพท์มือถือ

…สวี่ชีอันทำได้เพียงขยับเข้าไปใกล้นางและอ่านตัวหนังสือที่แสดงบนผิวกระจกไปพร้อมกับนาง

ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วและเอ่ยเสียงเรียบ

“เจ้าทับผมข้า”

ตัดทรงสกินเฮดซะสิ…สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจและรวบผมสีดำสนิทของนางที่แผ่กระจายอยู่บนหมอนอย่างระมัดระวัง

ลั่วอวี้เหิงพึงพอใจ

หมายเลขเก้า ‘อาตมากลั่นจิตเดิมของเฮยเหลียนในเบื้องต้นแล้ว อืม สามารถบอกความลับบางอย่างให้พวกเราฟังได้’

ไม่ผิด นักบวชเต๋าจินเหลียนรักษาสัญญามากแล้ว…ดวงตาของสวี่ชีอันเปล่งประกายและอธิบายให้ท่านน้าฟัง

“เป็นความลับเกี่ยวกับเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีน่ะ”

…………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท