บทที่ 855 ฮวาโหย่วหมิงและเซี่ยหนิงซวง (3)
สิ่งที่ทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยก็คือ หลังจากที่เขาแนะนำแม่ทัพตงมู่ไป แม่ทัพตงมู่ก็ส่งคณะยามรักษาการณ์เพิ่มเติมไปที่หอเทพฟู่หยวนทันที
หนึ่งการเคลื่อนไหวนี้ก็ฉลาดเช่นกัน หากพิจารณาให้ดีๆ มันมีความหมายมากมายอยู่เบื้องหลัง
และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ข่าวลือในศาลสวรรค์ก็ยังคงไม่หยุด
มันราวกับว่าแม่ทัพตงมู่กำลังมีเรื่องบาดหมางกับเทพวารี
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและทำงานของตัวเขาเองต่อไปในฐานะ “เทพจันทราน้อย”
เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวของเซี่ยหนิงซวงและฮวาโหย่วหมิงก็เริ่มค่อยๆ กลายเป็นเรื่องน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะกว่าหนึ่งปีหลังจากเปิดสถาบัน เซี่ยหนิงซวงก็มีรูปร่างดูสูงเพรียวและสง่างาม และฮวาโหย่วหมิงก็มักจะเสียสมาธิและแอบเหลือบมองดูนางเล็กน้อยในชั้นเรียน
และตั้งแต่นั้นมา ทัศนคติของเซี่ยหนิงซวงที่มีต่อและฮวาโหย่วหมิงก็กลายมาเป็นอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อยเช่นกันจากเมื่อก่อนหน้านี้ที่เขาเคยล้อเลียนนางมาอย่างต่อเนื่อง
ในขั้นตอนนี้ เด็กหนุ่มและเด็กสาวรู้สึกสับสนและไม่รู้อะไรมากนัก
แน่นอนว่า องค์เง็กเซียนทรงเย่อหยิ่งและมักจะกล่าวถ้อยคำที่น่าตกใจอยู่บ้าง ซึ่งทำให้เซี่ยหนิงซวงเขียนข้อความโจมตีเขา
นางใช้พู่กันและหมึกโจมตีเขา
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองก้าวหน้าไปมาก ความจริงแล้ว เมื่อ ‘ฮวาหยุน’ น้องสาวของฮวาโหย่วหมิงถือกำเนิดขึ้น ก็มีงานเลี้ยงใหญ่จัดขึ้นในจวนตระกูลฮวา
ในครั้งนั้น เมื่อเซี่ยหนิงซวงแต่งตัวขึ้นมา ฮวาโหย่วหมิงก็เบิกตากว้าง ตะลึงงันทันทีที่ได้เห็น
ในวันนั้น จวนของแม่ทัพและจวนของเจ้าเมืองกำลังหารือกันถึงเรื่องการแต่งงาน ฮวาโหย่วหมิงอยากจะปฏิเสธตามสัญชาติญาณ
แต่เป็นเพราะมีรูปลักษณ์ของเซี่ยหนิงซวงอยู่เต็มในหัวใจของเขา เขาจึงลืมกล่าวออกไป
ทว่าเซี่ยหนิงซวงก็ตกลงอย่างสงบ และนางก็เริ่มนั่งพูดคุยกับฮวาโหย่วหมิงและทำสัญญาหมั้นหมายที่สอดคล้องเข้ากันกับตระกูลของพวกเขา
แม้ว่าในชั้นเรียนในวันที่สอง เซี่ยหนิงซวงจะพูดอย่างเย็นชากับฮวาโหย่วหมิงว่า
“เรื่องการหมั้นหมายนั้น เป็นเพียงการตัดสินใจของพวกเขา
ข้าได้ตกลงไปแล้ว ไม่ว่าคนที่จะต้องแต่งงานด้วยนั้นจะเป็นผู้ใดก็ตาม”
เมื่อคืนนี้ ฮวาโหย่วหมิงตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับ และในตอนเช้า เขาก็ยังคิดว่า วันนี้เขาควรจะคุยกับเซี่ยหนิงซวงอย่างไรดี
ทว่าจู่ๆ เขาก็ถูกน้ำเย็นสาดใส่[1]และทำให้เขาอารมณ์เสียทันที
จากนั้นก็เกิดสงครามเย็นเป็นเวลาสามเดือน
หลี่ฉางโซ่วเห็นเช่นนั้น เขาก็รู้สึกกังวล…แต่ก็ไม่ได้กังวลมากจนเกินไป
เขาแอบให้คำแนะนำฮวาโหย่วหมิงเล็กน้อย และบอกเขาว่าสมบัติที่ละเอียดอ่อนที่สุดในโลกก็คือ ‘ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของสตรี’
ทว่าน่าเสียดายที่ฮวาโหย่วหมิงเข้าใจมันเพียงครึ่งเดียวโดยไม่ได้เข้าใจแก่นแท้ของมัน
จนกระทั่งวันหนึ่ง…
หลังจากเลิกเรียนในห้องเรียนแล้ว ฮวาโหย่วหมิงก็จงใจมายืนอยู่ตรงหน้าหลี่ฉางโซ่วพร้อมกับแสงสายัณห์ยามอาทิตย์อัสดง
“ท่านอาจารย์ ข้าอยากจะล้มเลิกการหมั้นหมายกับเซี่ยหนิงซวงขอรับ”
“โอ้?”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่ฉางโซ่วที่กำลังแช่เท้าอยู่ในลำธาร ก็คลี่ยิ้มแล้วถามว่า “เพราะเหตุใดหรือ?”
“ข้ายังรู้สึกอยู่เสมอว่า” ฮวาโหย่วหมิงเกาศีรษะและกล่าวต่อว่า “ข้าไม่ได้สบายใจเหมือนเมื่อก่อนที่เราจะหมั้นหมายกัน…”
“การหมั้นหมายไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่อาจทำลายได้เพียงเพราะเจ้าต้องการเท่านั้น
ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าก็เปลี่ยนไปจากการเป็นสหายร่วมห้องเรียนที่ดีต่อกัน กลายมาเป็นคนที่เจ้าอยากอยู่ดูแลกันต่อไปในอนาคต
เป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะไม่ชินกับมันสักพัก เจ้าแค่คุยกับนางให้มากขึ้นทุกวันหรือเขียนจดหมายถึงนาง ก็เท่านั้นเอง
ลูกผู้ชายต้องแสดงความรับผิดชอบของตัวเอง นางอาจจะรู้สึกกลัวและกังวลใจเล็กน้อยเกี่ยวกับอนาคตข้างหน้าก็ได้”
ฮวาโหย่วหมิงใคร่ครวญสักพักแล้วถอนหายใจ จากนั้นเขาก็ไม่เอ่ยอันใดอีก
ทว่าในคืนนั้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันในบ้านตระกูลฮวา
ทันใดนั้น ท้องฟ้าในบ้านตระกูลฮวาก็ถล่มทลายลงมาในชั่วเวลาข้ามคืน แม่ทัพคนอื่นๆ ได้ยึดอำนาจทางการทหารของเขาไป และจวนแม่ทัพฮวาก็กำลังจะพังทลายลงในทันที
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ร่างแห่งภัยพิบัติของฝ่าบาทองค์เง็กเซียนต้องเผชิญกับสถานการณ์ครอบครัวตกต่ำและทนทุกข์ทรมานกับโชคชะตาพลิกผัน
จากนั้นก็เป็นเวลาสองเดือนต่อมา เมื่อหลี่ฉางโซ่วได้พบกับฮวาโหย่วหมิงอีกครั้ง
ฮวาโหย่วหมิงได้ปรากฏตัวขึ้นในชั้นเรียนด้วยดวงตาที่มีขอบตาลึกโหลและเส้นผมยาวยุ่งเหยิง และดวงตาของเขาก็ไม่เหลือแสงแวววาวรุ่งโรจน์อีกต่อไป
และในวันนี้ เซี่ยหนิงซวงวางบทความและวิธีการคำนวณที่หลี่ฉางโซ่วได้อธิบายเอาไว้ที่ข้างๆ ฮวาโหย่วหมิงเฉกเช่นเคยเหมือนในช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมา
ส่วนอาหารกลางวันนั้นก็ได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้มากกว่าหกสิบครั้ง และหลังจากรอคอยมาเป็นเวลาสองเดือน ในที่สุดมันก็ได้ถูกวางไว้ตรงหน้าฮวาโหย่วหมิง
“ข้าทำเอง” เซี่ยหนิงซวงกล่าวเบาๆ
ฮวาโหย่วหมิงมือสั่นเทา เขานั่งขัดสมาธิและไม่ขยับใดๆ
เซี่ยหนิงซวงคีบเนื้อกรอบชิ้นหนึ่งขึ้นมาอย่างสงบ และนำมันไปวางตรงข้างๆ ปากของฮวาโหย่วหมิงโดยตรง
ดวงตาของฮวาโหย่วหมิงเปลี่ยนเป็นสีแดง เขายกมือขึ้นเพื่อผลักมือของเซี่ยหนิงซวงออกไป จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนและออกจากห้องเรียนไป
“พี่ใหญ่ฮวา!”
หยางเทียนโย่วไล่ตามเขาไปในทันที แล้วเด็กหนุ่มอีกสองคนก็วิ่งตามออกไปและหยุดฮวาโหย่วหมิงเอาไว้ด้วยเช่นกัน
หลี่ฉางโซ่วมองดูภาพเหตุการณ์นี้และถอนหายใจเล็กน้อยในใจ และเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก…
เพียงช่วงระยะเวลาสามปีผ่านไป หลี่ฉางโซ่วก็ได้ถอนตัวจากเรื่องราวของเซี่ยหนิงซวงและฮวาโหย่วหมิง
เมื่อพวกเขาทั้งสองคนอายุได้สิบหกปี ฮวาโหย่วหมิงก็ได้ละทิ้งตัวตนของเขาในฐานะนายน้อยแห่งจวนแม่ทัพตามคำแนะนำของจดหมายในถุงผ้าปักที่หลี่ฉางโซ่วได้ทิ้งเอาไว้ให้เมื่อเขาจากไป
จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปเข้าร่วมในกองทัพในเมืองใหญ่ที่อยู่ข้างเคียงกัน
………………………………………………………………..
[1] พูดบั่นทอนจิตใจ หรือกระทำการเพื่อทำลายจิตใจ