ตอนที่ 1,123 เลื่อนขั้นพลัง
หลินเป่ยเฉินเดินหิ้วไหบรรจุเยลลี่ตรงไปยังลานหน้าตึกพร้อมกับกล่าวว่า “หนึ่งคนรับประทานได้แค่หนึ่งชามเท่านั้น ห้ามรับประทานมากเกินไปเด็ดขาด”
ทุกคนยังคงเห็นแก่หน้าคุณชายหลิน
พวกเขาเดินมาต่อแถวรอรับวุ้นวิเศษ
“สัมผัสในปากเหนียวหนึบมากเลยเจ้าค่ะ ได้กลิ่นหอมของปลาทะเลด้วย… นายท่านเจ้าคะ ไม่ทราบว่าวุ้นวิเศษชนิดนี้กวนขึ้นมาจากอะไรบ้าง?”
เฉียนเจินผู้ลองตักเยลลี่เข้าปากพลันร้องอุทานออกมาด้วยความสงสัย
“อย่าถามเลย”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “แค่รู้ว่ามันจะเพิ่มพลังให้แก่ทุกคนก็พอแล้ว”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ตะโกนบอกทุกคนว่า “กินให้หมด อย่าให้เหลือนะขอรับ ของดีมีจำนวนน้อย อย่าปล่อยให้เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์เด็ดขาด”
ทุกคนรับคำเสียงดัง
เฉียนเหมยพลันยกชามวุ้นวิเศษขึ้นซดด้วยความเอร็ดอร่อย ก่อนกล่าวว่า “นายท่านเจ้าคะ นายท่านก็ทำอาหารอร่อยเหมือนกันนะเนี่ย”
หลินเป่ยเฉินพลันกระโดดเข้าไปดีดหน้าผากขาวผ่องของเฉียนเหมยหนึ่งป๊อก
นี่คือการลงโทษ
โทษฐานที่ประจบประแจงไม่ดูเวล่ำเวลา
เฉียนเหมยทำหน้างอ ก่อนจะถอยกายกลับไปด้วยความแง่งอน
เมื่อทุกคนรับประทานวุ้นวิเศษหมดชาม พวกเขาก็กลับไปออกกำลังกายกันต่อ
หลินเป่ยเฉินเดินแยกไปนั่งเท้าคางอยู่ที่โต๊ะหินด้านข้าง เฝ้ามองกลุ่มคนที่ออกกำลังกาย เพื่อจับตาดูว่าจะมีใครเลื่อนระดับพลังขึ้นมาได้บ้างหรือไม่
หลังจากนั้น
“ข้าทำสำเร็จแล้ว”
“ข้าเลื่อนขั้นพลังได้แล้ว”
“ข้าก็ทำได้เช่นกัน”
“ขะ… ข้าขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์แล้ว”
“ข้าก็ทำได้สำเร็จเช่นกัน บัดนี้ ข้าเป็นยอดปรมาจารย์ระดับสาม”
“ข้าจะต้องบรรลุให้ถึงขั้นเซียนให้ได้”
“ข้าเลื่อนขั้นพลังได้สำเร็จแล้ว…”
ขณะนั้น ลานฝึกวิชาหน้าตึกของสำนักกระบี่อมตะกึกก้องด้วยเสียงร้องตะโกนของบรรดามือกระบี่ชุดขาว
โชคดีที่เมื่อสามวันก่อน ผู้อาวุโสสือจงเซิ่งได้สร้างค่ายอาคมไว้รอบสำนัก เพื่อป้องกันการสอดแนมจากคนนอก ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเขตของสำนักกระบี่อมตะ จึงไม่มีทางเล็ดลอดออกไปสู่คนนอกสำนักได้อีก
“ขะ… ข้าก็ทำได้เช่นกัน…”
สือจงเซิ่งพูดด้วยร่างกายที่สั่นเทา
เขาหันหน้าไปจ้องมองหลินเป่ยเฉินซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะหินและกล่าวว่า “ข้าอยากจะบอกว่า…”
“รู้แล้วขอรับ รู้แล้ว อาจารย์อาหกขึ้นสู่ขอบเขตขั้นยอดปรมาจารย์ระดับเก้าได้สำเร็จแล้ว”
หลินเป่ยเฉินโบกไม้โบกมือด้วยความรำคาญใจ “แต่เพียงเท่านี้ท่านจะดีใจไปไยกัน อาจารย์อาหกขอรับ ฝีมือของท่านยังล้าหลังผู้อื่นอยู่อีกมาก แม้แต่หนูอสูรที่ข้าเลี้ยงขึ้นมายังแข็งแกร่งกว่าท่านเลย ได้โปรดฝึกฝนต่อไปด้วยความอดทนนะขอรับ อย่าเพิ่งรีบดีใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของท่าน สมควรบรรลุขึ้นสู่ขั้นเซียนให้ได้”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็หันไปมองหน้าอิ๋นซานผู้ยืนตัวสั่นเทาด้วยความตื่นเต้นเช่นเดียวกับสือจงเซิ่ง “อาจารย์อาอิ๋นก็อย่าเพิ่งตื่นเต้นเลยขอรับ ยอดปรมาจารย์ระดับหกไม่ใช่ขีดสูงสุดของท่านอยู่แล้ว เมื่อท่านฝึกฝนต่อไป ท่านจะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน”
อิ๋นซานซึ่งเดิมทีคิดจะพูดอะไรบางอย่างพลันปิดปากเงียบเสียงลงทันที
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “ทุกคนพยายามเข้านะขอรับ วุ้นวิเศษที่พวกท่านรับประทานไปนั้นไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกอย่าง หากพวกท่านคิดที่จะเลื่อนระดับพลังให้ได้ ก็มีแต่ต้องตั้งใจฝึกฝนเท่านั้น… อย่ายอมแพ้!”
เพียะ!
อากวงตวัดแส้หนังฟาดใส่พื้นดินด้วยความคึกคักอยู่ที่ด้านข้าง
เมื่อได้ยินหลินเป่ยเฉินกล่าวเช่นนั้น บรรดาลูกศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะก็กลับไปตั้งใจออกกำลังกายกันอีกครั้ง
“ท่านพี่ ดูเหมือนข้าก็เลื่อนขั้นพลังได้เช่นกัน”
เซียวปิงรีบวิ่งเข้ามากระซิบใส่ข้างหูหลินเป่ยเฉิน “บัดนี้ ข้าเข้าสู่ขั้นกระบี่กระดูกเพชรแล้ว”
ว่าไงนะ?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
นี่เซียวปิงแข็งแกร่งเกินหน้าเกินตาเขาอีกแล้วหรือ?
หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะอยู่ในขั้นกระบี่กระดูกทองคำขาวเท่านั้น
และนั่นเป็นเพราะเขาเปิดการทำงานของแอปกระบี่เร้นกายตลอดเวลาอีกด้วย
แล้วเซียวปิงที่วัน ๆ เอาแต่รับประทานน่องไก่ย่างจะสามารถสร้างความแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างไร?
หรือว่าหมอนี่จะเกิดมาพร้อมกับกระดูกที่ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง?
หลินเป่ยเฉินอยากสอบถามอยู่เหมือนกันว่าเมื่อได้เข้าสู่ขั้นกระบี่กระดูกเพชรแล้ว เซียวปิงรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง
แต่เมื่อลองคิดดูอีกที หากถามออกไปเช่นนั้น ก็ไม่เท่ากับเป็นการเผยไต๋ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขามีขั้นกระดูกต่ำต้อยกว่าตนเองหรอกหรือ?
ไม่ได้
หลินเป่ยเฉินจะถามออกไปไม่ได้เด็ดขาด
ไม่งั้นเซียวปิงจะเคารพเขาได้อย่างไร?
“ประเสริฐ สมแล้วที่เจ้าเป็นน้องชายร่วมสาบานของข้า แต่อย่าเพิ่งรีบดีใจเกินไปนัก กลับไปทำหน้าที่นำทุกคนออกกำลังกายต่อเถอะ” หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบสุขุม
“ได้เลยขอรับท่านพี่ ข้าน้อยจะพยายามให้ดีที่สุด”
เซียวปิงรับคำสั่งอย่างไม่คิดอะไรมาก
เพราะเขารู้สึกว่าตนเองได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากท่านพี่ เพียงเท่านี้เซียวปิงก็พอใจแล้ว
“อารมณ์หยิ่งทะนง แสยะยิ้มชมหมื่นคลื่น เลือดร้อนกว่าดวงตะวัน ใจแข็งเหมือนตีเหล็ก กระดูกเหมือนเหล็กกล้า หัวใจยิ่งใหญ่เกรียงไกรหมื่นลี้…”
เมื่อลำนำเทพเจ้าดังก้องกังวานเต็มสองหู การออกกำลังกายของศิษย์สำนักกระบี่อมตะก็ดำเนินต่อไป
ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของอากวง ทุกคนจึงฝึกฝนอย่างไม่หยุดยั้ง
แม้แต่ตอนกลางคืนก็ไม่นอนหลับพักผ่อน
นอกจากพักมารับประทานอาหารแล้ว ทุกคนล้วนอุทิศเวลาให้กับการออกกำลังกาย
แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังกลับเข้าห้องไปนอนพักผ่อนเอาเมื่อพลบค่ำ
เช้าวันต่อมา เมื่อหลินเป่ยเฉินตื่นขึ้นจากการหลับใหล สิ่งแรกที่เด็กหนุ่มทำก็คือการไถหน้าจอโทรศัพท์
เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าหลินเป่ยเฉินทันที
มีความคืบหน้าอย่างน่าพอใจ
จำนวนผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายที่ต้องการห้าคน บัดนี้ปรากฏขึ้นมาแล้วสามคน
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนต้นที่ต้องการสิบคน บัดนี้ได้มาแล้วแปดคน
และผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ตอนปลายที่ต้องการสามสิบคน บัดนี้ได้มาแล้วยี่สิบเจ็ดคน
ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ที่เคยมีพลังอ่อนแอมากที่สุดนั้น บัดนี้ก็ขึ้นมาอยู่ในขั้นปรมาจารย์ตอนปลายแล้ว
“ในที่สุดก็พอจะเห็นความหวังสักที”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นมานั่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เขาหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าการซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเหล่านั้นจะทำให้เขาต้องเสียเงินไปจำนวนไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับที่ได้รับการเลื่อนขั้นพลัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็คุ้มค่า หากไม่ใช่เพราะภารกิจจากแอปพลิเคชัน Keep ต่อให้ใช้ศิลาบูชาในจำนวนที่เท่ากันกับการใช้จ่ายของหลินเป่ยเฉินในภารกิจนี้ มันก็ไม่มีทางที่จะทำให้เขาเลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตพลังขั้นเซียนระดับสี่ได้เลย
“นายท่านเจ้าคะ ข้าน้อยรู้ว่าวันนี้นายท่านจะตื่นเช้า”
เฉียนเจินเคาะประตูก่อนเปิดประตูเดินเข้ามา นางเตรียมอ่างล้างหน้าและอาหารเช้าเอาไว้ให้เด็กหนุ่มเรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าเด็กสาวจะเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้ออกกำลังกายเช่นกัน แต่เฉียนเจินแตกต่างจากเฉียนเหมย นางมักจะคิดถึงการรับใช้หลินเป่ยเฉินก่อนเป็นลำดับแรกเสมอ
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงได้ล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าภายใต้การดูแลจากเฉียนเจิน เขาถามออกมาว่า “เมื่อคืนนี้ ผู้ใดเลื่อนขั้นพลังได้บ้าง?”
“มีผู้อาวุโสสือ ผู้อาวุโสอิ๋น และลูกศิษย์สำนักกระบี่อมตะนามเกาเถียนเหลียง ที่เลื่อนขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ระดับเก้าได้สำเร็จแล้วเจ้าค่ะ นอกจากนี้ ศิษย์คนอื่น ๆ ก็ยังเลื่อนขั้นพลังมาอยู่ในขั้นปรมาจารย์ตอนปลายได้สำเร็จแล้วเช่นกัน…”
เฉียนเจินหวีผมให้กับหลินเป่ยเฉินอย่างทะนุถนอมพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพ “ทุกคนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือปาฏิหาริย์ที่แท้จริง ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน พวกเขาก็เลื่อนขั้นพลังได้อย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นเทพเจ้าก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ บัดนี้ ทุกคนจึงชื่นชมนายท่านมากเลยเจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้าล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินถามกลับไป “เจ้ากับเฉียนเหมยได้เลื่อนขั้นพลังบ้างหรือไม่?”
เฉียนเจินก้มหน้าต่ำตอบด้วยความเอียงอาย “บ่าวผู้ไร้ความสามารถเลื่อนขั้นพลังได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ หากไม่ได้รับพลังวิเศษจากนายท่าน ข้าน้อยก็มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับสองเท่านั้น ส่วนเฉียนเหมยสามารถไปได้ไกลมากกว่าข้าน้อย บัดนี้นางอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับเจ็ดแล้ว”
“เพียงเท่านี้ก็ดีแล้ว”
หลินเป่ยเฉินใช้มือลูบไล้ใบหน้าสาวรับใช้แผ่วเบาขณะกล่าวว่า “เฉียนเหมยชื่นชอบการฆ่าฟันและการต่อสู้ นางมักจะเข้าไปฝึกในค่ายอาคม Lost Castle ทุกสุดสัปดาห์ จึงสามารถเลื่อนขั้นพลังไปได้ไกลมากกว่าเจ้าเป็นธรรมดา แต่เจ้าอย่าได้น้อยใจไปเลย ข้าเคยบอกไว้เสมอว่าคนเรามีความฝันต่างกัน เจ้าไม่ชอบการต่อสู้และการฆ่าฟัน ข้าก็จะไม่บังคับให้เจ้าต่อสู้และฆ่าฟัน ขอแค่เจ้าแต่งตัวสวย ๆ คอยดูแลนายท่านคนนี้ในทุก ๆ วัน เพียงเท่านั้นข้าก็พอใจแล้ว”
“บ่าวรับทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียนเจินยิ่งก้มหน้างุดด้วยความเขินอายมากกว่าเก่า
หลินเป่ยเฉินเลื่อนมือขึ้นจับมือขาวนวลที่ถือหวี ก่อนบีบมือนั้นอย่างแผ่วเบา แล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป ตราบใดที่ข้ายังเป็นนายท่านของเจ้าอยู่ ข้าจะปกป้องเจ้าไปจนวันตาย”
“บ่าวรับทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียนเจินเงยหน้าขึ้นยิ้มอย่างมีความสุข