ตอนที่ 1,128 อัตราการเติบโตที่รวดเร็ว
“นายท่านอยากออกไปพบพวกมันไหมเจ้าคะ?”
เฉียนเหมยเปิดประตูเดินเข้ามากล่าวว่า “มือกระบี่เหล่านี้หยาบคายไร้ยางอายที่สุด หากนายท่านไม่ต้องการเปลืองแรง เดี๋ยวข้าน้อยจะออกไปจัดการพวกมันให้เอง”
หลินเป่ยเฉินเห็นว่าก่อนที่สาวรับใช้จอมมุทะลุจะเดินเข้ามาในห้อง นางได้พับแขนเสื้อขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปดีดหน้าผากเฉียนเหมยหนึ่งทีพร้อมกับกล่าวว่า “กลับไปออกกำลังกายได้แล้ว เจ้าเข้าร่วมการออกกำลังกายมาได้หกวัน เหตุไฉนการเลื่อนขั้นพลังจึงเชื่องช้านัก หรือว่าจิตใจของเจ้ามีแต่จะออกไปต่อยตีกับมือกระบี่เหล่านั้น?”
เฉียนเหมยยกมือถูหน้าผากของตนเองก่อนโอดครวญว่า “นายท่านเจ้าคะ ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ข้าน้อยฝึกหนักมาก เรียกว่าฝึกหนักแทบจะเท่ากับทั้งปีรวมกันเลยเจ้าค่ะ และนั่นก็ทำให้บัดนี้ ข้าน้อยอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับแปดแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวก็จะขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้วนะเจ้าคะ”
หลินเป่ยเฉินพึมพำว่า “เจ้าคิดว่าข้าคาดหวังเพียงเท่านี้หรือ? เฉียนเหมย ข้าอยากให้เจ้าพัฒนาร่างกายมากกว่านี้ ขยายช่องทางลมปราณให้ใหญ่มากกว่านี้ เจ้าช่วยเลื่อนขั้นพลังให้เร็วมากกว่านี้ได้ไหม? ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าได้รับประทานสมุนไพรวิเศษ ได้ฝึกในค่ายอาคมชั้นดี ได้ศิลาบูชาไปดูดซับพลัง การเลื่อนขั้นขึ้นสู่ยอดปรมาจารย์ตอนปลาย ไม่น่าเป็นเรื่องยากเกินไปกระมัง?”
เฉียนเหมยประท้วงว่า “แต่เฉียนเจินเลื่อนขั้นพลังได้ช้ากว่าข้าน้อยอีกนะเจ้าคะ”
“เฉียนเจินจะมาเทียบกับเจ้าได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความหงุดหงิดใจ “เฉียนเจินมีนิสัยสุภาพอ่อนหวาน วันทั้งวันคิดแต่คอยรับใช้ข้าเท่านั้น ส่วนเจ้าน่ะหรือ วันทั้งวันคิดแต่จะแต่งงานกับข้า ลวนลามข้าทุกลมหายใจ”
เฉียนเจินได้ยินดังนั้นก็ต้องยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะคิกคัก
นางรู้ว่านายท่านกำลังหยอกล้อเฉียนเหมย
ตอนที่พวกนางยังเด็กล้วนแต่มีสถานะเป็นเด็กกำพร้า ความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัวย่อมว่างเปล่า
เมื่อเห็นนายท่านกำลังเย้าแหย่เฉียนเหมย เฉียนเจินก็รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองกำลังอยู่ที่บ้านจริง ๆ
“นายท่าน…”
เฉียนเหมยกัดริมฝีปากและโน้มตัวเข้ามาพูดว่า “นายท่านไม่อยากลวนลามพวกเราบ้างหรือเจ้าคะ?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “พวกเจ้าเพิ่งอายุ 16-17 ปีเท่านั้น ถือว่ายังโตไม่เต็มที่ เอาไว้โตมากกว่านี้ ค่อยมาคุยเรื่องนี้เถอะ”
“แต่นายท่านเจ้าคะ พวกเราโตเต็มที่แล้วนะ”
เฉียนเหมยเดินเข้าไปหาด้วยดวงตารื้นน้ำ “หากไม่เชื่อ นายท่านจะลองสัมผัสดูก็ได้ ทั้งด้านหน้าและด้านหลังล้วนโตเต็มที่แล้ว”
“จริงหรือ? ข้าไม่เชื่อหรอก”
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งทำสีหน้าสงสัย
แต่เมื่อเขายื่นมือไปลูบคลำบั้นท้ายกลมกลึงของเฉียนเหมย เด็กหนุ่มก็ต้องแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา “หืม? เป็นเจ้าพูดความจริง… ให้ตายเถอะ อัตราการเติบโตของพวกเจ้าเร็วมากกว่าการเลื่อนขั้นพลังอีกนะเนี่ย”
เฉียนเจินส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมาอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นนายท่านไม่อยากลองทดสอบพวกเราดูบ้างหรือเจ้าคะ?”
เฉียนเหมยดึงเฉียนเจินมายืนอยู่ด้านข้างและกล่าวเสริมว่า “อัตราการเจริญเติบโตของนางล้ำหน้ามากกว่าข้าน้อยเสียอีก”
หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นระรัว
นับตั้งแต่ที่ดวงจิตของเทพีกระบี่ถอนออกไปจากร่างของเยว่เว่ยหยาง เขากับนางก็ไม่เคยร่วมเตียงหลับนอนกันอีกเลย… อันที่จริงนั้น สองสาวรับใช้ก็มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทำหน้าที่นั้นแทนเยว่เว่ยหยางทุกประการ เสียแต่ว่าหลินเป่ยเฉินเป็นคนเลี้ยงดูพวกนางมาตั้งแต่แรก ความรู้สึกของเขาที่มีให้ต่อเฉียนเหมยกับเฉียนเจิน จึงแทบไม่ต่างไปจากความรู้สึกที่มีให้ต่อบรรดาลูกหมาป่าน้ำแข็งเหล่านั้น
“นายท่านเจ้าคะ…”
เฉียนเจินจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาหวานเยิ้ม
ความจริง พวกนางก็รู้สึกผิดปกติอยู่เช่นกัน
ในเมื่อนายท่านหลับนอนกับผู้อื่นได้ แล้วเหตุใดจึงหลับนอนกับพวกนางบ้างไม่ได้?
แม้แต่สัมผัสลูบไล้โลมเล้าสักนิดก็แทบไม่มี?
หลินเป่ยเฉินยกมือลูบหัวเฉียนเจินและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “มันยังไม่ถึงเวลา”
เรื่องเช่นนี้ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
มิฉะนั้น เขาจะรู้สึกว่าตนเองกำลังข่มเหงและฉวยโอกาสจากพวกนางอยู่
เฉียนเหมยส่งเสียงร้องขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “นายท่านลำเอียงเกินไปแล้ว กับเฉียนเจินนายท่านลูบหัวอย่างอ่อนโยน แต่กับข้าน้อย นายท่านเอาแต่ดีดหน้าผากสร้างความเจ็บปวด… ข้าน้อยขอประท้วง!”
“ไว้ข้าจะลูบหัวเจ้าทีหลังแล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าเฉียนเหมยด้วยสายตาที่ใช้มองบุคคลสมองเสื่อมผู้หนึ่ง
หลังจากล้างหน้าล้างตาและรับประทานอาหารเช้าเสร็จสิ้น หลินเป่ยเฉินก็สั่งให้สองสาวรับใช้กลับไปออกกำลังกายกันต่อ นี่คือช่วงโค้งสุดท้ายของภารกิจจากแอปพลิเคชัน Keep และเป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกนางจะได้เลื่อนขั้นพลังเช่นกัน
โอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง
อีกเพียงนิดเดียว เฉียนเหมยก็จะก้าวขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายได้สำเร็จ แต่นางจะทำได้หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินเห็นสองสาวรับใช้กำลังพูดคุยอะไรกันบางอย่างขณะเดินจากไป
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ไปที่ลานฝึกวิชาด้านหน้าตึก และกวักมือเรียกหาอากวง ก่อนจะเดินออกไปนอกสำนักกระบี่อมตะด้วยกันทั้งคู่
…
มือกระบี่หลายร้อยคนมารวมตัวกันอยู่ที่หน้าสำนักกระบี่อมตะ
ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งตั้งตนเป็นผู้นำ ก้าวออกมายืนอยู่เบื้องหน้า กล่าวถ้อยคำวาจาหยาบคายและสาปแช่งบรรพบุรุษของผู้อื่น
แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินเดินออกมา กลุ่มคนเหล่านั้นก็หยุดชะงักและผงะถอยหลังกลับไป
ก่อนจะมีเสียงตะโกนดังมาจากทางกลุ่มผู้ชุมนุมว่า
“ในที่สุดก็ออกมาแล้วสินะ”
“ชาติชั่วไร้ยางอาย”
“เจ้ายังกล้าเรียกตนเองว่าเป็นคนอยู่อีกหรือไม่”
ดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน
เมื่อได้ด่าทอหลินเป่ยเฉินอย่างสนุกปาก กลุ่มผู้ชุมนุมก็รู้สึกพึงพอใจขึ้นมาในระดับหนึ่ง เพราะถือว่าเป้าหมายแรกของพวกเขาสำเร็จแล้ว
“พวกเจ้ามีจิตสำนึกบ้างหรือไม่? เหตุไฉนถึงมาก่อกวนคนกำลังหลับกำลังนอน”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นและพูดกับอากวงว่า “เร็วเข้า ฟาดแส้สั่งสอนพวกมันหน่อย”
“จี๊ด”
อากวงรับคำอย่างเร็วไว แส้ยาวในมือถูกสะบัดออกไป
เพียะ!
สายแส้สะบัดตัวราวกับมังกรสะบัดหาง พุ่งแหวกอากาศด้วยความเร็วสูงสุด
“นี่มันอะไรกัน…”
“โอ๊ย!”
เสียงกรีดร้องดังระงม สายแส้ในมือของเจ้าหนูอสูรฟาดเข้าใส่ผู้คน กลุ่มผู้ประท้วงจำนวนมากล้มลงนอนดิ้นทุรนทุรายเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน พวกเขาต่างส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีก
ผู้ที่ล้มลงไปนอนดิ้นอยู่บนพื้นดิน ต่างก็เป็นผู้ที่กล่าวถ้อยคำหยาบคายและสาปแช่งบรรพบุรุษผู้อื่นก่อนหน้านี้
“พวกเจ้ากล้าด่าทอข้าหรือ?”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปเหยียบหน้าอกชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม “เจ้าคิดว่าข้ามีความอดทนมากนักหรืออย่างไร?”
“เฮอะ”
ชายฉกรรจ์หัวหน้ากลุ่มมีระดับพลังสูงส่ง แค่นเสียงหัวเราะในลำคอไม่หวาดกลัวแต่อย่างใด
เขากล่าวว่า “ศิษย์พี่ของข้าหายตัวไปนอกเมืองไป๋หยุน ท่านเจ้าเมืองบอกให้พวกเรามาหาคำตอบได้ที่เจ้า แต่เจ้ากลับปิดประตูเงียบสนิทไม่ต้อนรับผู้คน เห็นได้ชัดว่าเจ้าคิดปฏิเสธความรับผิดชอบ พวกเราจึงรวมกลุ่มประท้วงด่าทอมารดาเจ้า ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดไม่สมควร…”
“ศิษย์พี่ของเจ้าไม่ใช่เด็กอายุสามขวบ เขาหายตัวไปนอกเมือง พวกเจ้าก็ไปตามหากันเอง มีอันใดเกี่ยวข้องกับข้าไม่ทราบ”
หลินเป่ยเฉินเตะคนผู้นั้นไถลไปกับพื้นดิน
คนผู้นั้นร่ำร้องด้วยความเจ็บปวด รู้สึกได้ว่ากระดูกชายโครงของตนเองแตกหักหลายซี่ แต่โชคดีที่อวัยวะภายในไม่ได้ถูกทำลายไปด้วย
นั่นเป็นเพราะว่าหลินเป่ยเฉินไม่กล้าฆ่าคนผู้นี้จริง ๆ
เมื่อชายฉกรรจ์หัวหน้ากลุ่มคิดได้ดังนี้ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย
“ทุกคนที่หายตัวไป ล้วนมาที่นี่เพื่อรับชมการประลองกระบี่ในเมืองไป๋หยุน เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ต้องเป็นความรับผิดชอบของเจ้า” เขายันกายลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก แสยะยิ้มก่อนกล่าวต่อเสียงแข็งกระด้าง “ข้ารู้ว่าเจ้าแอบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ตลอดเวลา หากวันนี้ไม่มอบคำอธิบายที่เหมาะสมออกมา ถ้าอย่างนั้นก็ฆ่าข้าเสียเถอะ”
หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองไปที่อากวง
เจ้าหนูอสูรโบกสะบัดสายแส้ในมืออีกครั้ง
เพียะ!
และโดยไม่ทันตั้งตัว ชายฉกรรจ์หัวหน้ากลุ่มผู้ประท้วงก็ถูกสายแส้ฟาดเข้าใส่จนร่างระเบิดกระจายเป็นม่านหมอกเลือด
“ทุกคนเป็นพยานด้วยนะว่าเขาบอกให้ข้าฆ่าเขาเอง”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตนี้ ข้าไม่เคยพบเจอคำร้องขอที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน”
เสียงด่าทอของกลุ่มผู้ประท้วงเงียบหายไปทันที
หลังจากความเงียบปกคลุมบรรยากาศอึดใจใหญ่ กลุ่มผู้ประท้วงก็ระเบิดเสียงคำรามออกมาอีกครั้ง
“เหิมเกริมเกินไปแล้ว”
“บังอาจนัก”
“พวกเราร่วมมือกันจัดการฆาตกรผู้นี้ให้ได้”
บรรดาผู้คนที่ส่งเสียงตะโกนด่าทอดังมากที่สุดก่อนหน้านี้เริ่มปลุกระดมผู้ชุมนุมอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินหันมาชำเลืองมองหน้าอากวงอีกหน
เพียะ! เพียะ! เพียะ! เพียะ!
สายแส้ของเจ้าหนูอสูรหางกุดตวัดฟาดออกไป
โจมตีใส่เป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
ร่างของผู้ปลุกระดมระเบิดกระจายเป็นม่านหมอกเลือด หลงเหลือเพียงเศษกระดูกที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นดิน
โลหิตสาดกระเซ็นไปรอบทิศทางไม่ต่างจากมวลดอกไม้ผลิบาน
และนั่นก็ยิ่งทำให้บรรยากาศร้อนระอุมากขึ้น
กลุ่มผู้ประท้วงจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาไม่อยากเชื่อ
พวกเขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะถึงกับกล้าออกคำสั่งสังหารผู้คนกลางวันแสก ๆ
นี่แตกต่างจากสิ่งที่พวกเขาเคยคาดคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินยกมือยืนเท้าเอวและกล่าวว่า “พวกเจ้าตาบอดหรือไม่ เหตุไฉนถึงมาถามหาความรับผิดชอบที่หลินเป่ยเฉินผู้นี้ งานประลองกระบี่ในครั้งนี้ อยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง ทำไมไม่ไปหาคำอธิบายจากพวกเขาเล่า?”
กลุ่มผู้ชุมนุมเงียบงันไป
ทุกคนล้วนตื่นกลัวเด็กหนุ่มสมองเสื่อมผู้นี้
หลินเป่ยเฉินชี้หน้าด่าทอผู้คนอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามเย้ยหยัน “หรือพวกเจ้าไร้ความสามารถ? ฮ่า ๆๆ ข้าจะบอกอะไรให้ ข้าเป็นบุคคลสมองเสื่อม มักจะกระทำเรื่องราวโดยไม่มีเหตุผล เมื่อพวกเจ้ามาก่อกวนข้าถึงที่พัก คิดหรือว่าข้าจะต้อนรับพวกเจ้าด้วยรอยยิ้ม?”
สีหน้าของกลุ่มผู้ชุมนุมแปรเปลี่ยนไปแล้ว
พวกเขาพบว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นแตกต่างจากสิ่งที่ตนเองคาดเดาเอาไว้โดยสิ้นเชิง
นับว่าหลินเป่ยเฉินผู้นี้มีวิธีการรับมือเรื่องราวต่าง ๆ ไม่เหมือนผู้ใดจริง ๆ