ตอนที่ 1,131 ความน่ากลัวของค่ายอาคมกระบี่
กำแพงหินเคยสูงใหญ่แข็งแกร่งบัดนี้ปกคลุมด้วยคราบตะไคร่และวัชพืช หลงเหลือเพียงความชำรุดทรุดโทรมจากกาลเวลาเท่านั้น
แน่นอนว่าบางส่วนของกำแพงหินได้พังถล่มลงมาแล้ว
บนกำแพงหินยังปรากฏรอยกระบี่แปลกประหลาดเป็นจำนวนมาก
หลินเป่ยเฉินเดินผ่านช่องว่างของกำแพงหินเข้าไปสู่พื้นที่ด้านใน
อาณาเขตของสำนักกระบี่มนตราไม่ได้เล็กไปกว่าสำนักกระบี่อมตะ เพียงแต่เสาหินจำนวนมากพังถล่ม บ้านศิลาจำนวนมากพังทลาย ทุกหนทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยวัชพืช ดูน่าวังเวงจับใจ
หากไม่ใช่เพราะว่าแอปไป่ตู้แมปแจ้งเตือนว่าที่นี่คือสำนักกระบี่มนตราจริง ๆ หลินเป่ยเฉินก็คงเข้าใจว่าที่นี่คงเป็นลานทิ้งขยะแห่งหนึ่ง หาใช่หนึ่งในเจ็ดสำนักใหญ่ของเมืองไป๋หยุนไม่
แม้ก่อนหน้านี้อาจารย์อาอิ๋นซานแสนสวยจะแจ้งให้ทราบแล้วว่าสำนักกระบี่มนตราได้ดำเนินมาถึงจุดตกต่ำแล้ว แต่เด็กหนุ่มก็คิดไม่ถึงเลยว่าสำนักกระบี่มนตราจะตกต่ำถึงเพียงนี้
“ท่านมาหาใคร?”
ทันใดนั้น เสียงของเด็กน้อยผู้หนึ่งก็ดังขึ้น
หลินเป่ยเฉินหันมองรอบตัว
และเขาก็ได้พบกับเด็กหญิงผู้สวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาดคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนซากปรักหักพังของกำแพง เส้นผมสีดำขลับของนางรวบเป็นมวยไว้ทางด้านหลัง ดวงตาคู่นั้นฉายแววสดใสราวกับอัญมณี ดูเข้ากันดีกับความสดใสบนใบหน้า
เด็กหญิงผู้นี้มีอายุเพียงแปดถึงเก้าขวบเท่านั้น
เสื้อผ้าเก่าขาดซอมซ่อ
แต่ไม่ใช่ขอทาน
เพราะนางไม่ได้ซูบผอม ออกจะอ้วนท้วมสมบูรณ์ดีด้วยซ้ำ
“ข้ามาหาอาจารย์หวังฉีกง”
หลินเป่ยเฉินร้องตอบกลับไป
“ท่านพกของกินอร่อย ๆ ติดตัวมาบ้างหรือไม่?”
ดวงตาหยีเล็กของเด็กหญิงเป็นประกายระยิบระยับ
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็หยิบช็อกโกแลตแท่งหนึ่งออกมายื่นส่งให้ “ลองทานดูสิ รับรองว่าเจ้าคงไม่เคยทานที่ไหนมาก่อน”
ดวงตาของเด็กหญิงเป็นประกายมากกว่าเดิม นางแกะพลาสติกที่ห่อเปลือกนอกของช็อกโกแลตออก เมื่อลองกัดกินดูคำหนึ่ง เด็กหญิงก็ต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น “อร่อยจังเลย ท่านจะมาหาปู่ของข้าด้วยเหตุอันใด? ข้ามีนามว่าเยว่หยาเอ๋อ ตามมาสิ เดี๋ยวข้าจะพาไปหาท่านปู่”
เด็กหญิงนางนี้ใช้ได้จริง ๆ
แค่ช็อกโกแลตชิ้นเดียว ก็ถึงกับยอมขายท่านปู่ของตนเองแล้ว
เด็กหญิงเดินนำหลินเป่ยเฉินฝ่าดงวัชพืชตรงไปยังลานด้านหลัง
ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงลานด้านหลังคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งหนึ่ง
แต่ครึ่งหนึ่งของคฤหาสน์หลังนี้ได้พังถล่มลงมาแล้ว
พิจารณาดูจากสิ่งที่เหลืออยู่ของคฤหาสน์ ยามที่ยังสมบูรณ์ดี มันคงมีขนาดใหญ่โตไม่ใช่น้อย อาจจะเป็นตึกที่ทำการของสำนัก แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปพร้อมกับความตกต่ำที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คฤหาสน์หลังนี้จึงเกิดความเสื่อมโทรม และไม่มีผู้ใดสนใจบำรุงรักษามันอีกแล้ว
“ท่านปู่ ท่านปู่เจ้าคะ… มีคุณชายสุดหล่อใจดีมีเมตตาท่านหนึ่งมาหาท่านเจ้าค่ะ”
เยว่หยาเอ๋อรีบวิ่งเข้าไปในซากปรักหักพังของคฤหาสน์ราวกับเป็นกระต่ายน้อยผู้ร่าเริง เด็กหญิงยกมือขึ้นป้องปาก เสียงตะโกนของนางจึงดังไปทั่วบริเวณ
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
ใช่แล้ว แค่ช็อกโกแลตราคาถูกชิ้นเดียว เขาก็กลายเป็น ‘คุณชายสุดหล่อใจดีมีเมตตา’ ไปทันที
หลินเป่ยเฉินรู้สึกถูกชะตาเด็กหญิงคนนี้ขึ้นมาแล้ว
“ไม่รับแขก”
เสียงของชายชราผู้หนึ่งดังตอบกลับมาจากส่วนลึกของคฤหาสน์ “ไล่กลับไปซะ”
หลินเป่ยเฉินต้องกะพริบตาปริบ ๆ อีกครั้ง
เขาไม่แปลกใจอีกต่อไปแล้วว่าเพราะเหตุใดสำนักกระบี่มนตราจึงเสื่อมโทรมลงถึงเพียงนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่าผู้อาวุโสท่านนี้หมกมุ่นอยู่กับการสร้างค่ายอาคมกระบี่ ไม่สนใจถ่ายทอดวิชาให้แก่ลูกศิษย์ แม้แต่สิ่งมีชีวิตโดยรอบก็ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง
การศึกษาค่ายอาคมกระบี่ทำให้คนเราเสียสติได้จริง ๆ
“พี่ชาย ขอของอร่อยแบบเมื่อสักครู่อีกสักชิ้นสิ แล้วข้าจะช่วยพาท่านปู่ออกมาเอง”
เยว่หยาเอ๋อหันมาเจรจาต่อรองกับหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มยิ้มกริ่ม โยนช็อกโกแลตอีกชิ้นหนึ่งให้กับนาง
“ท่านรออยู่ตรงนี้”
เด็กหญิงตบหน้าอกตนเองด้วยความมุ่งมั่นและกล่าวว่า “เยว่หยาเอ๋อเมื่อรับค่าจ้างแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ คุณชายได้โปรดวางใจ”
หลังจากนั้น นางก็กระโดดเข้าไปในส่วนลึกของคฤหาสน์
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา
“โอ๊ย ปล่อยนะ ปล่อยปู่เดี๋ยวนี้…”
เสียงแห่งความรำคาญใจของชายชราเมื่อสักครู่ดังขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ เสียงของเขาก็บอกชัดถึงความตื่นตระหนกและโกรธแค้น “อย่าดึงสิ เคราปู่จะถูกเจ้าดึงออกมาหมดแล้วเนี่ย”
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็เห็นเยว่หยาเอ๋อใช้มือข้างหนึ่งฉุดดึงเครายาวสีขาวของชายชราผู้หนึ่งเดินออกมาจากส่วนลึกของคฤหาสน์ ไม่ต่างไปจากเด็กน้อยกำลังจูงลาโง่ผู้ดื้อรั้นตัวหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
นับว่าเยว่หยาเอ๋อเข้าไปพาตัวปู่ของนางออกมาหาเขาได้จริง ๆ
ถึงชายชราจะส่งเสียงร้องโวยวายตลอดทาง แต่บัดนี้ เขาก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหลินเป่ยเฉินแล้ว
“ภารกิจเสร็จสมบูรณ์”
เยว่หยาเอ๋อตบมือด้วยความพอใจ ก่อนจะวิ่งไปนั่งบนก้อนหินด้านข้างเพื่อรับประทานช็อกโกแลตที่เหลือ
หลินเป่ยเฉินใช้สายตาสำรวจมองหวังฉีกงขึ้น ๆ ลง ๆ
ชายชราผู้นี้มีอายุไม่ต่ำกว่าเจ็ดสิบถึงแปดสิบปี ร่างกายผอมบาง เส้นผม ขนคิ้วและหนวดเคราเป็นสีขาว จมูกแดง แต่ใบหน้ากำลังแดงก่ำมากกว่านั้นด้วยความโกรธแค้น ชายชราต้องหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะยื่นหน้าเข้ามาจ้องมองผู้เป็นอาคันตุกะ ลักษณะคล้ายคนสายตาสั้น
“เจ้าเป็นใคร?”
หวังฉีกงมีสีหน้ารำคาญใจ “ต้องการพบข้าด้วยเหตุอันใด? รีบบอกมาและไสหัวไปซะ”
หลินเป่ยเฉินมองชายชราขึ้น ๆ ลง ๆ ก่อนจะถอนหายใจด้วยความหมดหวัง “ขออภัยที่รบกวนขอรับ”
พูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินออกมา
เมื่อเห็นโฉมหน้าของผู้อาวุโสชื่อดังจากสำนักกระบี่มนตรา หลินเป่ยเฉินก็รู้แล้วว่าความหวังของตนเองได้พังทลายลงแล้ว
เพราะขั้นพลังของหวังฉีกงอยู่ในระดับต่ำมาก
ชายชราไม่ได้อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ด้วยซ้ำ
ถ้าจะให้เลื่อนขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย
คงต้องใช้เวลาอีกหลายวัน
หมดหวังแล้ว
ต่อให้ใช้ยาสมุนไพรที่ดีที่สุด ให้รับประทานผลกวนเจี๋ย และอาหารเสริมทุกชนิดที่มีอยู่ ก็ไม่มีทางที่หลินเป่ยเฉินจะทำให้ชายชราผู้นี้กลับคืนสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายได้ในเวลาเพียงครึ่งวัน
คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าหวังฉีกงจะทำลายตนเองได้ถึงขนาดนี้
“นี่ ๆ อย่าไปนะ”
ผู้อาวุโสหวังฉีกงที่ไม่สนใจใยดีหลินเป่ยเฉินมาตั้งแต่แรกพลันวิ่งเข้ามาคว้าแขนเด็กหนุ่มไม่ยอมให้เขากลับไป “เจ้ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป เจ้าเห็นว่าที่นี่คือที่ใด ไม่มีทาง ข้าไม่ปล่อยให้เจ้ากลับไปง่าย ๆ หรอก”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย
“เดิมทีข้าน้อยอยากจะมาขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโส แต่เมื่อเห็นสภาพของท่านแล้ว ข้าน้อยจึงไม่รบกวนดีกว่า ท่านไม่มีทางช่วยข้าได้”
หลินเป่ยเฉินบอกตามความจริง
หลังกล่าวจบ เด็กหนุ่มก็พยายามจะเดินหนีอีกครั้ง
เวลาในการทำภารกิจจากแอปพลิเคชัน Keep เหลืออยู่ไม่ถึงห้าชั่วยามแล้ว
เขาต้องรีบกลับไปหาทางแก้ปัญหา เพื่อเลื่อนขั้นพลังของตนเองให้ได้ก่อน
“แน่ใจหรือว่าช่วยไม่ได้”
หวังฉีกงยกมือดีดนิ้วด้วยความไม่พอใจ
ป๊อก!
แล้วกระบี่จำนวนหนึ่งก็ลอยขึ้นมาจากกองซากปรักหักพังของตัวคฤหาสน์ พวกมันพุ่งเป็นลำแสงตรงมาที่หลินเป่ยเฉิน
“ผู้อาวุโส นี่หมายความว่าอย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินเองก็ยกมือขึ้นดีดนิ้วเช่นกัน
กระบี่บินได้เหล่านั้นพุ่งย้อนกลับไปยังที่ซ่อนตัวของพวกมันตามเดิม
“นี่มันอะไรกัน?”
หวังฉีกงเบิกตาโตด้วยความแตกตื่นตกใจ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ตัวบัดซบน้อยผู้นี้นับว่ามีพลังแข็งแกร่งใช้ได้”
พูดจบ
ป๊อก! ป๊อก! ป๊อก!
ชายชราก็ดีดนิ้วอีกสามครั้งติด ๆ กัน
แล้วกระบี่อีกสามเล่มก็พุ่งตัวออกมาจากหลังต้นไม้เล่มหนึ่ง จากใต้ถังน้ำเล่มหนึ่ง และจากด้านในเตาผิงอีกเล่มหนึ่ง เป้าหมายกระบี่ทุกเล่มยังคงพุ่งตรงไปที่หลินเป่ยเฉิน
“ผู้อาวุโส ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญต้องรีบกลับไปจัดการ ไม่มีเวลาให้ท่านแล้ว… ข้าน้อยขอเสียมารยาท”
หลินเป่ยเฉินพูดจบก็ยกมือดีดนิ้วเช่นเดียวกับหวังฉีกง
ควับ! ควับ! ควับ!
กระบี่ทั้งสามเล่มนั้นลอยกระเด็นไปคนละทิศละทาง
แต่ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินกำลังจะหมุนตัวกลับมา เขาก็ต้องส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจ
“เป็นไปได้ยังไง?”
หลินเป่ยเฉินพบว่ากระบี่ที่ตนเองควบคุมให้ลอยกระเด็นออกไปนั้น กลับหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะพุ่งกลับมาหาเขาอีกครั้ง
เดี๋ยวก่อนนะ?
นี่คือวิชากระบี่?
หรืออีกฝ่ายมีความสามารถควบคุมกระบี่ได้เหมือนเขากันแน่?
หลินเป่ยเฉินมองหน้าหวังฉีกงด้วยความเหลือเชื่อ
หากเป็นเพราะชายชรามีพลังควบคุมกระบี่ได้เหมือนเขา นั่นก็หมายความว่าหวังฉีกงคงต้องมีพลังปราณธาตุทองคำหรือไม่ก็เป็นพลังปราณธาตุที่เกี่ยวข้องกับแร่โลหะอย่างแน่นอน
แต่ที่สำคัญก็คือพลังโจมตีของกระบี่บินได้เหล่านี้ เทียบเท่ากับพลังโจมตีของขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย
ซึ่งห่างไกลจากขั้นปรมาจารย์ระดับแปดของหวังฉีกงมากนัก
“คุณชายระวัง…”
เยว่หยาเอ๋อที่นั่งอยู่ห่างออกไปเมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินไม่หลบหนีกระบี่ก็ต้องร้องเตือนออกมาเสียงดัง
แต่เสียงของเด็กหญิงก็ขาดหายไปเพียงเท่านั้น
เพราะกระบี่บินได้ทั้งสามเล่มเมื่อตรงเข้าไปใกล้จะถึงตัวหลินเป่ยเฉิน พวกมันกลับหยุดชะงักอยู่กลางอากาศโดยปราศจากสัญญาณเตือน ไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไปข้างหน้าได้อีกแม้แต่นิดเดียว
“เป็นไปได้อย่างไร?”
การอุทานครั้งที่สามดังออกมาจากปากของหวังฉีกง
ชายชรายกมือขยี้ตา ก่อนมองหน้าหลินเป่ยเฉินและพูดว่า “เด็กน้อย นี่ไม่ใช่การควบคุมกระบี่ด้วยพลังลมปราณ เจ้าสามารถทำได้อย่างไร? เจ้าหยุดกระบี่เหล่านี้ได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินย้อนถามกลับไปด้วยความสงสัยเช่นกันว่า “เหตุไฉนผู้อาวุโสไม่บอกข้าน้อยก่อนเล่า? ท่านสามารถควบคุมกระบี่เหล่านี้ได้อย่างไร? ท่านมีพลังอยู่เพียงขั้นปรมาจารย์ เป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมพวกมันเช่นนี้”
“เด็กน้อยช่างมีสายตาแหลมคมยิ่งนัก เพียงมองดูแวบเดียวก็มองออกทะลุปรุโปร่ง”
ชายชราหนวดเคราขาวหวังฉีกงระเบิดเสียงหัวเราะ “ฮ่า ๆๆ เจ้าเป็นคนแรกที่เห็นถึงความร้ายกาจของค่ายอาคมกระบี่ของข้า เอาเถอะ ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีพลังอยู่ในขั้นเซียนสินะ ไม่เลวเลยจริง ๆ ข้าขอรับปากว่าการโจมตีต่อจากนี้จะไม่ทำให้เจ้าเจ็บปวด”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
พื้นดินที่เป็นก้อนกรวดระเบิดตัว เช่นเดียวกับใต้กองชามข้าวที่แตกหัก ถังน้ำที่แห้งเหือด ในพุ่มไม้ ในบ่อน้ำ บนต้นไม้ ในช่องว่างของกำแพงหิน ในรอยแตกของผนัง ในช่องว่างบนขื่อหลังคา ในช่องว่างระหว่างร่องประตู….ฯลฯ
ตามตำแหน่งเหล่านั้นได้ยินเสียงสายลมกระชากตัวดังวูบวาบ แล้วกระบี่บินได้ทั้งเล็กทั้งใหญ่หลากหลายรูปทรงหลายร้อยเล่มก็ลอยตัวขึ้นมาในอากาศ
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินแปรเปลี่ยนไปแล้ว
บัดนี้ เขาสัมผัสได้ถึงพลังกดดันหนักหน่วง
ค่ายอาคมกระบี่อย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกสงสัยในใจเป็นอย่างยิ่ง