ตอนที่ 1,135 เจ้ามีร่างกระบี่พิสุทธิ์ใช่หรือไม่
“นายท่านขอรับ ดูเหมือนจะเกิดเรื่องที่จวนท่านเจ้าเมืองขอรับ”
เสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้น
ใครกำลังพูดอยู่นะ?
หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยง ก่อนจะหันหน้ามองไปที่เงาของตนเอง
ดูเหมือนว่า… ในเงาของเขาจะมีคนซ่อนตัวอยู่?
เด็กหนุ่มคล้ายกับนึกอะไรได้บางอย่าง
“ว่าแล้วเชียว… ข้าเองก็สัมผัสได้ถึงมวลพลังที่แปลกประหลาดเช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นจับคางอย่างครุ่นคิด
บัดนี้ สำนักกระบี่อมตะมีค่ายอาคมปิดกั้นทั้งภายในภายนอก ป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกแอบสอดส่องกิจกรรมด้านในสำนัก เพราะฉะนั้น สือจงเซิ่ง อิ๋นซานและบรรดามือกระบี่ชุดขาวคนอื่น ๆ จึงไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นที่ด้านนอก
หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็เริ่มคาดเดา “กลุ่มผู้ประท้วงอาจจะบุกโจมตีจวนท่านเจ้าเมืองจริง ๆ ก็ได้ แต่ที่นั่นมีลู่กวนไห่กับฉู่อวิ๋นซุนอยู่ทั้งคน กลุ่มผู้ประท้วงเหล่านั้นก็คงทำอะไรไม่ได้มาก… ว่าแต่ว่า วันนี้อาจารย์ติงได้ไปที่จวนท่านเจ้าเมืองหรือไม่?”
“ไปขอรับ นายท่าน”
เสียงที่ไม่คุ้นหูนั้นตอบกลับมาจากเงาของหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วคิดอะไรบางอย่าง หากอาจารย์ของเขามีพลังอยู่ในขั้นเซียนระดับห้าจริง ๆ ก็คงดูแลตัวเองได้ไม่มีปัญหา แต่ใครจะทราบว่าติงซานฉือคิดเล่นละครตบตาผู้คนต่อไปหรือไม่ ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงออกคำสั่ง “ไปอารักขาความปลอดภัย อย่าให้อาจารย์ติงได้รับอันตราย”
“ขอรับนายท่าน”
แล้วเงามืดทางด้านหลังของหลินเป่ยเฉินก็มีเงาอีกหนึ่งสายพุ่งแยกไปไม่ต่างจากอสรพิษสีดำทมิฬที่เลื้อยบนพื้นดินหายลับออกจากประตูของสำนักกระบี่อมตะ
“เอาล่ะ ขยันขันแข็งกันหน่อยพวกเรา ออกกำลังกายต่อไปอย่าได้หยุด”
หลินเป่ยเฉินผุดลุกขึ้นยืนส่งเสียงตะโกน
การออกกำลังกายในลานฝึกวิชาดำเนินต่อไป
เสียงเพลงจากลำโพงบลูทูธยี่ห้อเสี่ยวหมี่ ดังกังวานไปทั่วบริเวณด้วยจังหวะอันเร่งเร้า บทเพลงแสดงออกถึงความเกรี้ยวกราด สะท้อนถึงสภาพจิตใจของหลินเป่ยเฉินได้เป็นอย่างดีหากผู้มีพลังขั้นปรมาจารย์เหล่านี้เลื่อนระดับพลังไม่สำเร็จ
บรรยากาศร้อนระอุมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน
ปัง!
ประตูสำนักกระบี่อมตะก็เปิดออก
“หลินเป่ยเฉินอยู่ที่ใด? รีบออกมาให้เร็วไว…”
เสียงตะโกนด้วยความก้าวร้าวดังมาจากนอกประตู
ทุกสายตาจ้องมองไปที่ประตูโดยทันที
มีคนกล้ามาอาละวาดถึงสำนักกระบี่อมตะเชียวหรือ?
คนผู้นี้ไม่กลัวตายหรืออย่างไร?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกคุ้นหูเสียงตะโกนนั้นชอบกล เมื่อหันไปมองก็ได้เห็นหวังฉีกงผู้อาวุโสจากสำนักกระบี่มนตรารีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับเยว่หยาเอ๋อผู้เป็นหลานสาว
“ท่านเองหรือ?”
สือจงเซิ่งขมวดคิ้วขบคิดอะไรบางอย่าง ก่อนพูดว่า “ศิษย์พี่ติงไม่อยู่ที่นี่ ผู้อาวุโสได้โปรดกลับมาใหม่วันอื่นเถอะ”
หวังฉีกงสะบัดหน้าจนหนวดเคราสีขาวปลิวไสว แค่นเสียงตอบว่า “เราผู้เฒ่าไม่ได้มาหาติงซานฉือผู้ไร้ยางอายคนนั้น แต่เราผู้เฒ่ามาหาเขาต่างหาก…”
ชายชรายกมือชี้ไปที่หลินเป่ยเฉิน
อาจารย์อาสาวแสนสวยอย่างอิ๋นซานรีบกระโดดออกมาอย่างต้องการปกป้องเด็กหนุ่มทันที “ผู้เฒ่าหวัง ท่านเองก็อายุไม่ใช่น้อยแล้ว เหตุไฉนถึงได้นำความโกรธแค้นระหว่างอาจารย์มาลงที่ศิษย์รุ่นหลังด้วย?”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า แม่นางคนสวย”
หวังฉีกงเปลี่ยนเสียงพูดเป็นสุภาพชนทันทีเมื่อกล่าวกับสตรี
บรรดามือกระบี่ชุดขาวในลานฝึกตอนแรกก็อยากจะออกหน้าปกป้องหลินเป่ยเฉิน แต่เมื่อเหลือบตามองพบว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เฒ่าเสียสติจากสำนักกระบี่มนตรา ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสำนักใหญ่ประจำเมือง พวกเขาก็รีบหดหัวกลับมาแทบไม่ทัน
อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นผู้อาวุโส
เรื่องนี้ต้องให้เหล่าผู้อาวุโสจัดการกันเอง
“เหอเหอเหอ ผู้เฒ่าหวัง คนอื่นอาจกลัวท่าน แต่สำนักกระบี่อมตะเราไม่กลัวท่านอีกแล้ว ได้โปรดกลับไปเถอะ อย่าแส่หาเรื่องทำให้ตนเองขายหน้าเลย” สือจงเซิ่งขยับมายืนอยู่ด้านหน้าหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “หลานชายไม่ต้องเป็นกังวล วันนี้อาจารย์อาจะปกป้องเจ้าเอง”
แต่ตัวสือจงเซิ่งเองกำลังเป็นกังวลอย่างยิ่ง
เพราะหลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลสมองเสื่อม หากถูกปัจจัยภายนอกกระตุ้นเร้า อาการทางสมองอาจจะกำเริบขึ้นมาได้ วันนี้หวังฉีกงบุกมาถึงสำนักกระบี่อมตะ หากเด็กหนุ่มทำอะไรชายชราขึ้นมา ก็อาจจะถูกข้อครหาว่าไม่เคารพผู้อาวุโส และนั่นก็จะทำให้ภาพลักษณ์ของหลินเป่ยเฉินเสื่อมเสียไปตลอดกาล
สือจงเซิ่งจึงพยายามออกมารับหน้าเอง
อิ๋นซานก็ขยับออกมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่สือจงเซิ่งและกล่าวว่า “ผู้เฒ่าหวัง ที่นี่คือสำนักกระบี่อมตะ อย่ามาก่อกวนเลย”
“เฮอะ”
หวังฉีกงยิ้มออกมาเล็กน้อย “สมองหมูอย่างพวกเจ้าสองคนจะไปรู้อะไร คิดจะขวางทางเราผู้เฒ่าเกรงว่าคงไม่ง่าย เรา…”
“เดี๋ยวก่อนนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงแทรกขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย “ผู้อาวุโสมาตามหาข้าน้อยมีเหตุอันใดหรือ?”
หวังฉีกงถามออกมาโดยทันที “เจ้ามีร่างกระบี่พิสุทธิ์ใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความไม่เข้าใจ
ร่างกระบี่พิสุทธิ์?
มันคืออะไรกันล่ะเนี่ย?
แต่หวังฉีกงอุตส่าห์ตามเขามาถึงสำนักกระบี่อมตะขนาดนี้ เห็นทีคงเป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่เล่น
“ร่างกระบี่พิสุทธิ์?”
สือจงเซิ่งอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ “ผู้เฒ่าหวัง ท่านเข้าใจสิ่งใดผิดไปหรือไม่? เป็นไปได้อย่างไรที่…”
“ตัวโง่งมอย่างเจ้าได้โปรดเงียบปาก”
หวังฉีกงหันมาถลึงตาใส่สือจงเซิ่งก่อนจะหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน “เจ้าสามารถควบคุมกระบี่ได้อย่างชำนาญเช่นนั้น ย่อมต้องเป็นผู้ที่มีร่างกระบี่พิสุทธิ์ มิฉะนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถควบคุมกระบี่ในค่ายอาคมของข้าได้อย่างไร?”
“เอ่อ… ร่างกระบี่พิสุทธิ์ที่ผู้อาวุโสกล่าวถึง ไม่ทราบว่ามีความสำคัญสำหรับผู้อาวุโสมากหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบและพยายามถามออกมา
“ย่อมมีความสำคัญมาก”
เด็กหญิงเยว่หยาเอ๋อรีบตอบคำถามอย่างกระตือรือร้น “หากท่านมีร่างกระบี่พิสุทธิ์จริง ๆ ปู่ของข้าก็พร้อมคุกเข่าขอร้องให้ท่านรับเขาเป็นอาจารย์แล้ว”
หวังฉีกงกะพริบตาปริบ ๆ
หลานรัก ทำไมเจ้าถึงต้องพูดออกมาเช่นนี้ด้วย
เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นสีหน้าของหวังฉีกง เขาก็รู้ทันทีว่าสิ่งที่เยว่หยาเอ๋อพูดเป็นความจริง
“ถูกต้องแล้ว ข้ามีร่างกระบี่พิสุทธิ์ ข้ามีร่างกระบี่พิสุทธิ์จริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินรีบตอบรับฉับไว
โดยไม่รอให้หวังฉีกงพูดอะไรออกมาอีก เด็กหนุ่มก็พิสูจน์ตนเองด้วยการโคจรพลังปราณธาตุทองคำออกมา
วูบ! วูบ! วูบ!
ทันใดนั้น กระบี่จำนวนมากก็พุ่งออกมาจากฝักของบรรดามือกระบี่ชุดขาวลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วหลินเป่ยเฉินก็ควบคุมพวกมันให้เรียงกันเป็นรูปทรงต่าง ๆ…
หวังฉีกงหลับตาลง พยายามข่มความตื่นเต้นของตนเอง
เขาพึมพำว่า “ใช่แล้ว เจ้ามีร่างกระบี่พิสุทธิ์ เจ้ามีร่างกระบี่พิสุทธิ์ ในที่สุดข้าก็ได้ค้นพบแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้ายืนยัน “ข้าน้อยมีร่างกระบี่พิสุทธิ์ขอรับ ท่านผู้อาวุโสอย่าได้สงสัยอีกเลย”
หวังฉีกงลืมตาขึ้นจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาร้อนผ่าว “เร็วเข้า รีบกราบเราผู้เฒ่าเป็นอาจารย์เถอะ แล้วเราผู้เฒ่าจะสอนการสร้างค่ายอาคมกระบี่ให้กับเจ้า เจ้าก็ได้เห็นด้วยตาของตนเองแล้วว่าค่ายอาคมกระบี่ของเราผู้เฒ่าร้ายกาจเพียงใด หากเจ้านำไปใช้ ด้วยระดับความแข็งแกร่งในปัจจุบัน เจ้าจะต้องสร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกรไปทั่วแผ่นดินตงเต้าอย่างแน่นอน!”
แต่จังหวะที่หลินเป่ยเฉินกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง สือจงเซิ่งกับอิ๋นซานก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป
“หลานชาย เจ้าอย่าไปฟังที่เขาพูดเด็ดขาด”
“เจ้ากำลังถูกหลอก ผู้เฒ่าคนนี้วิกลจริต ก่อนหน้านี้ เขาเคยล่อลวงมือกระบี่ดาวรุ่งจากสำนักอื่น ๆ ให้เข้าร่วมกับสำนักกระบี่มนตรามาแล้วถึงสิบหกคน และผลลัพธ์ก็คือมือกระบี่ดาวรุ่งทั้งสิบหกคนนั้น กลับกลายเป็นเศษสวะข้างถนนในปัจจุบันนี้”
อาจารย์อาทั้งสองของเด็กหนุ่มรีบกล่าวเตือนสติหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าหวังฉีกงด้วยความเหลือเชื่อ
นี่หวังฉีกงมีประวัติน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังมีเหตุผลอื่นรองรับอยู่
หลินเป่ยเฉินได้เห็นด้วยตาของตนเองมาแล้วว่าค่ายอาคมกระบี่ของชายชรามีความร้ายกาจจริง ๆ หากมีโอกาสได้เรียนรู้อย่างจริงจัง มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขามากหลังจากนี้
“ผู้เยาว์สามารถรับท่านเป็นอาจารย์ได้ แต่ท่านต้องเป็นอาจารย์ลำดับสอง รองจากอาจารย์ติง”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
นี่คือสิ่งที่เขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพูดออกไป
“เอาเถอะ จะอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น”
หวังฉีกงพยักหน้าไม่ปฏิเสธ
ชายชรากลับกลายเป็นคนว่านอนสอนง่าย ใบหน้าประดับรอยยิ้มราวกับดอกเบญจมาศเบ่งบาน ก่อนพูดว่า “ตราบใดที่เจ้ากราบเราผู้เฒ่าเป็นอาจารย์ ไม่ว่ามีข้อแม้อย่างไร เราผู้เฒ่ายอมรับได้”
“ก่อนหน้านี้ ข้าคุกเข่ากราบท่านเป็นอาจารย์ไปแล้ว”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอีกครั้ง “ข้าจะไม่คุกเข่าเป็นรอบที่สองอีก”
เด็กหนุ่มเคยคุกเข่าให้ชายชรามาแล้วตอนอยู่ที่สำนักกระบี่มนตรา
“ไม่จำเป็นหรอก”
หวังฉีกงกำลังดีอกดีใจจนไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น “ในเมื่อเจ้ากราบเราผู้เฒ่าเป็นอาจารย์แล้ว ถ้าอย่างนั้น ก็รีบตามเรากลับไปฝึกวิชาเถอะ”
“ได้เลยขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าตอบตกลง
ได้เวลาเรียนรู้เรื่องการสร้างค่ายอาคมกระบี่แล้ว
“หลานชาย เจ้ารอให้อาจารย์ของเจ้ากลับมาแล้วค่อยพูดคุยกันอีกทีไม่ดีกว่าหรือ…” สือจงเซิ่งส่งเสียงเตือนด้วยความกระวนกระวาย
“ไม่เป็นไรขอรับ อาจารย์ของข้าไม่มีทางคัดค้านแน่นอน”
เมื่อหลินเป่ยเฉินนึกถึงคลิปวิดีโอลับทั้งสองคลิปที่เขาแอบถ่ายเอาไว้ เด็กหนุ่มก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที
เมื่อสั่งงานเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็เดินจากไปพร้อมกับหวังฉีกง
สือจงเซิ่งกับอิ๋นซานไม่มีทางเลือกนอกจากยืนมองหลินเป่ยเฉินเดินจากไป
ทั้งสองคนล้วนมีสีหน้าเศร้าหมอง
หากหลินเป่ยเฉินถูกหวังฉีกงล้างสมองขึ้นมาจริง ๆ พวกเขาจะอธิบายต่อศิษย์พี่ติงอย่างไร?
“เร็วเข้า เจ้ารีบเอาเรื่องนี้ไปแจ้งต่อศิษย์พี่ติงที่จวนท่านเจ้าเมือง”
หลังจากนั้น
เกาเถียนเหลียงยอดอัจฉริยะที่เลื่อนขั้นขึ้นสู่ระดับยอดปรมาจารย์ตอนปลายได้เป็นคนแรกก็รับหน้าที่เป็นผู้ส่งข่าว
แต่ในไม่ช้า เขาก็ต้องวิ่งกลับมาด้วยความตื่นตระหนก “กราบเรียนผู้อาวุโสทั้งสองท่าน แย่แล้วขอรับ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว…”