ตอนที่ 1,138 ข้าเชื่อมั่นในตัวนาง
ลำแสงกระบี่ทะลวงเข้าใส่ข้อศอกของเฉียนเจิน
แต่ในจังหวะนั้น แส้หนังเส้นหนึ่งก็พุ่งออกไปราวกับเป็นมังกรสีเงิน มันช่วยสลายอานุภาพของลำแสงกระบี่ ก่อนจะม้วนพันตัวของเฉียนเจินกับสือจงเซิ่งแล้วฉุดดึงกลับมา…
“จี๊ด”
เสียงร้องดังขึ้น
ย่อมต้องเป็นเสียงของอากวง
ในที่สุด เจ้าหนูอสูรหางกุดที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดก็ปรากฏตัวออกมาแล้ว
แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็คือ
เพื่อแลกกับการช่วยชีวิตผู้คนในครั้งนี้
แส้หนังของมันต้องขาดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“เฉียนเจิน เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”
เฉียนเหมยรีบวิ่งเข้ามาและเห็นเลือดบริเวณข้อศอกของเฉียนเจินจึงถามออกมาด้วยสีหน้าตื่นกลัว แต่สุดท้ายก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อสำรวจบาดแผลดูแล้วพบว่ามันเป็นเพียงรอยบาดตื้น ๆ และไม่ได้ทำร้ายเนื้อหรือทำลายกระดูกอย่างที่คิด
“ผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด กรุณาไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้”
เฉียนเหมยมองตรงไปข้างหน้าและสบถ
เกาเถียนเหลียงและพรรคพวกรีบเข้ามาดูแลสือจงเซิ่ง โชคดีที่ชายวัยกลางคนเลื่อนขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายได้เรียบร้อยแล้ว โลหิตของเขาจึงหยุดไหล อาการบาดเจ็บฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แม้แต่บาดแผลบนหัวไหล่ก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง
“ฝีมือสำนักมหากระบี่”
สือจงเซิ่งกัดฟันกรอดและพูดว่า “ลำแสงกระบี่ที่รุนแรงเช่นนี้มีเพียงพวกเขาเท่านั้น ทุกคนระวังตัวด้วย”
ผู้อาวุโสใหญ่จากสำนักกระบี่พิฆาตมารกล่าวว่า “บัดนี้มีการสร้างค่ายอาคมล้อมรอบจวนท่านเจ้าเมือง ฝ่ายตรงข้ามคงแอบซุ่มอยู่ในค่ายอาคมเหล่านั้น พวกเราจะรีบร้อนเข้าไปไม่ได้…”
เสียงพูดของชายชรายังไม่ทันขาดหาย
“กล้าทำร้ายน้องสาวของข้า พวกเจ้าต้องตาย”
เฉียนเหมยโคจรพลังสร้างชุดเกราะลมปราณขึ้นมาห่อหุ้มร่างกาย จากนั้นกระบี่เล่มยาวก็ปรากฏขึ้นในมือ นางก้าวปราดออกไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด
กระบี่ยาวในมือตวัดกวัดแกว่ง
ลำแสงกระบี่สีน้ำเงินเข้มพุ่งออกไป
ทันใดนั้น ปรากฏลำแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งลงจากท้องฟ้าโจมตีกระบี่ในมือนาง
เฉียนเหมยดีดตัวขึ้นไปในอากาศ
มวลอากาศปั่นป่วน
กลุ่มคนที่มาด้วยกันไม่มีเวลาห้ามปราม ร่างของเฉียนเหมยก็หายวับไปในอากาศแล้ว
เข้าสู่ค่ายอาคมสมรภูมิรบอย่างเต็มรูปแบบ
“เฮ้อ”
สีหน้าของสือจงเซิ่งแปรเปลี่ยนไป
เขารู้ดีว่าสาวรับใช้ผู้นี้มีความสำคัญอย่างไรต่อหลินเป่ยเฉิน หากเกิดอะไรขึ้นกับเฉียนเหมย อาการทางสมองของหลินเป่ยเฉินคงต้องกำเริบขึ้นมาเป็นแน่แท้
“เร็วเข้า พวกเรารีบตามไป”
สือจงเซิ่งไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตนเองอีก เขาเตรียมตัวสะกิดปลายเท้าเพื่อพุ่งตัวขึ้นไปในอากาศ
“เฉียนเหมย…”
เฉียนเจินก็ทำท่าจะติดตามเข้าสู่ค่ายอาคมสมรภูมิรบเช่นกัน
“จี๊ด”
แต่อากวงกลับยกขาหน้าของมันทั้งสองข้างขึ้นขัดขวางทุกคนไม่ให้ติดตามไป
“จี๊ด”
ก่อนที่มันจะหันมามองหน้าสือจงเซิ่ง
ชายวัยกลางคนมีสีหน้างุนงง
เซียวปิงจึงต้องรับหน้าที่ล่ามแปลภาษาภาคสนาม “มันบอกว่าพวกท่านไม่ต้องติดตามไปหรอก… เดี๋ยวทุกอย่างก็เรียบร้อยเอง”
ทุกคนจ้องมองเด็กหนุ่มร่างอ้วนด้วยความพิศวง
นี่เขาเข้าใจภาษาหนูได้อย่างไร?
“อั่ก อั่ก อั่ก…”
อากวงยกขวดน้ำเต้าบรรจุสุราดาวแดงขึ้นดื่ม ก่อนจะจุดบุหรี่สูบ แสดงสีหน้าดุร้าย แยกเขี้ยวอวดฟันที่คมกริบราวกับคมมีด
ตุบ!
เจ้าหนูขนเงินโยนขวดน้ำเต้าสุราทิ้งไปทางด้านหลัง ก่อนที่ตัวมันจะพุ่งเป็นลำแสงหายวับเข้าไปในค่ายอาคมสมรภูมิรบเบื้องหน้า
ได้เวลาแสดงผลงานอีกครั้ง
ตราบใดที่มันทำได้ดี นายท่านก็จะต้องมอบสุรารสเลิศมาให้มันอีกแน่นอน
อากวงเชื่อมั่นเช่นนั้น
“โอ๊ย…”
เซียวปิงร้องลั่นออกมาด้วยความเจ็บปวด “เท้าของข้า…”
ปรากฏว่าขวดน้ำเต้าสุราดาวแดงถูกโยนลงมาตกใส่เท้าของเด็กหนุ่มร่างอ้วนพอดิบพอดี และขวดน้ำเต้าใบนี้ก็มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษชนิดที่ทำให้ผู้มีร่างกายแข็งแรงในขั้นกระบี่กระดูกเพชรอย่างเซียวปิงต้องเท้าบวมเป่งขึ้นมา
“มันต้องเจตนาแกล้งข้าแน่นอน”
เซียวปิงยืนขาเดียวขณะยกเท้าอีกข้างขึ้นมานวดคลึง
หัวคิ้วของบรรดามือกระบี่ในชุดขาวขมวดมุ่น
นี่คือสถานการณ์อันตรายถึงชีวิต เด็กหนุ่มร่างอ้วนกับเจ้าหนูอสูรหางกุดยังมีอารมณ์มากลั่นแกล้งกันอีกหรือ?
“พวกท่านล่าถอยกันก่อนเถอะ”
เซียวปิงนวดเท้าของตนเองขณะกล่าว “อย่าทำอะไรวู่วามเลย เดี๋ยวจะตายโดยไร้ประโยชน์กันหมด”
“แต่ว่า… เจ้าจะรออยู่เช่นนี้หรือ?”
สือจงเซิ่งอดถามออกมาไม่ได้ “ไร้ประโยชน์ ไม่มีหนทางที่ดีกว่านี้แล้วหรือไร?”
“การรอคอยคือหนทางที่ดีที่สุดแล้วขอรับ”
เซียวปิงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ข้าน้อยเชื่อว่าอีกไม่นานท่านพี่ต้องมาแน่นอน และปัญหาทั้งหมดนั้น ท่านพี่จะเป็นคนแก้ไขเอง”
เมื่อทุกคนได้ยินคำตอบนั้น หัวใจของพวกเขาก็กระตุกวูบด้วยความตกตะลึง
หลินเป่ยเฉิน
ใช่แล้ว พวกเขายังมีหลินเป่ยเฉิน ปีศาจน้อยผู้ปล้นซากศพและเป็นผู้ที่สร้างปาฏิหาริย์มานับครั้งไม่ถ้วน
เมื่อหลินเป่ยเฉินมาถึง ปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลาย
นามสามพยางค์นามนี้เป็นเสมือนแสงสว่างที่ส่องทางท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาลอันยาวนาน ชื่อของเด็กหนุ่มผู้นี้นำพาความหวังมาสู่จิตใจของทุก ๆ คน
สือจงเซิ่งมองหน้าเซียวปิงด้วยความประหลาดใจและถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าล่ะ? เจ้าไม่เข้าไปช่วยแม่นางน้อยในนั้นหรือ?”
เซียวปิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบสุขุม “ข้ามีหน้าที่ต้องอยู่ปกป้องไก่อ่อนอย่างพวกท่านไงขอรับ… และเพียงอากวงก็สามารถช่วยเหลือนางได้แล้ว…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มร่างอ้วนก็หยุดชะงักและแสดงสีหน้ามั่นอกมั่นใจออกมา “เฉียนเหมยไม่ได้สวยไร้สมองอย่างเดียวนะขอรับ นางอาจจะรีบเข้าไปในสมรภูมิรบเร็วเกินไปสักหน่อย แต่ข้าเชื่อมั่นในตัวนาง”
สือจงเซิ่งตกตะลึง
ทันใดนั้น เขาก็ได้ตระหนักว่าเด็กหนุ่มร่างอ้วนที่ดีแต่รับประทานน่องไก่ย่างตลอดเวลาผู้นี้ นอกจากเป็นผู้ติดตามคนสนิทของหลินเป่ยเฉินแล้ว ในช่วงเวลาแห่งวิกฤตการณ์ เซียวปิงยังมีสติแจ่มใสและความเยือกเย็นเช่นเดียวกับหลินเป่ยเฉินอีกด้วย
นับว่าผู้คนที่อยู่รอบตัวหลินเป่ยเฉินไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ
แม้แต่เฉียนเจินก็ต้องมองเซียวปิงอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน
“งั้นพวกเราล่าถอยกันก่อน”
ในที่สุด สือจงเซิ่งก็เชื่อคำพูดของเซียวปิง
กลุ่มมือกระบี่ชุดขาวล่าถอยกลับไปอย่างเชื่องช้า
คนจากสำนักกระบี่พิฆาตมารก็ล่าถอยกลับไปเช่นกัน
ทันใดนั้น…
“คิดหลบหนีหรือ? โชคร้ายที่หนีไม่ได้”
วูบ! วูบ!
ลำแสงกระบี่พุ่งตรงออกมาจากกลางอากาศอีกครั้ง
ลำแสงกระบี่รุนแรงและคมกริบ หากไม่ใช่ผู้มีพลังขั้นเซียน ย่อมไม่มีทางรับมือได้เด็ดขาด
“แย่แล้ว”
สีหน้าของสือจงเซิ่งแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ข้ามาแล้ว”
เซียวปิงร้องคำราม ปืนกลมือปรากฏออกมา นิ้วมือเหนี่ยวไกยิงกระสุนอย่างไม่ยั้งมือ
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
ในอากาศ ลำแสงสีเงินจำนวนมากพุ่งเข้าไปปะทะกับลำแสงกระบี่ของฝ่ายตรงข้าม
และลำแสงกระบี่ที่จู่โจมเข้ามาก็ถูกสลายลงไปทันที
พลังการโจมตีทั้งหมดสลายหายไปในคลื่นแห่งความปั่นป่วนกลางอากาศ
เห็นได้ชัดว่าถูกกลืนหายเข้าไปในค่ายอาคม
“มือสังหารสุกรโลหิต เซียวปิง?”
น้ำเสียงที่แหบแห้งดังออกมาจากอากาศธาตุเบื้องหน้า “น่าเสียดายที่นี่ไม่ใช่สังเวียนบนยอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิง และนี่ก็ไม่ใช่การต่อสู้แบบตัวต่อตัว เจ้าจะสามารถใช้พลังนี้ได้อีกนานเพียงใด?”
ทันใดนั้น เงาร่างที่แปลกประหลาดสี่สายก็ปรากฏตัวในอากาศ ก่อนที่พวกมันจะเปลี่ยนร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งตรงเข้ามาหาเซียวปิง
เซียวปิงจุดบุหรี่สูบ ก่อนจะยกปืนขึ้นและเหนี่ยวไกยิง
ปัง! ปัง! ปัง!
ลำแสงสีเงินพุ่งออกไปจากระหว่างฝ่ามือของเขาอีกครั้ง
เงาร่างทั้งสี่สายนั้นมีความเร็วสุดยอด แต่ก็ยังเร็วไม่พอที่จะหลบหนีคมกระสุนจากปืนกลมือของเซียวปิง ดังนั้นร่างของพวกมันจึงระเบิดกระจายเป็นม่านหมอกเลือดในอากาศ
“มีแต่บุคคลโง่เขลาเท่านั้นแหละที่คิดว่าตนเองวิเศษกว่าผู้อื่น”
เซียวปิงยืนเก๊กหล่อ พ่นควันออกมาเป็นรูปวงแหวน
“สมแล้วที่เป็นมือสังหารสุกรโลหิต นับเป็นยอดอัจฉริยะมือกระบี่รุ่นใหม่ ควรค่าต่อการสรรเสริญ… เหอเหอเหอ แต่น่าเสียดาย เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ เพราะฉะนั้น วันนี้เจ้าต้องตายอยู่ที่นี่”
ในค่ายอาคมแห่งความว่างเปล่า เสียงที่แหบแห้งดังออกมาอีกครั้ง
“สมคบคิดกับพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจ?”
เซียวปิงยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา กล่าวว่า “ผายลมมารดาท่านเถอะ”
…
“เผ่าพันธุ์ปีศาจ?”
ด้านในจวนท่านเจ้าเมือง สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดกำลังถามด้วยน้ำเสียงงุนงง “ท่านกล่าวหาว่าเมืองไป๋หยุนสมคบคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ไม่ทราบว่ามีหลักฐานมายืนยันหรือไม่?”
ขณะนั้น…
ผู้อาวุโสจากสำนักมหากระบี่เจี๋ยนอู่จีหัวเราะเยาะและตอบกลับไปว่า “แน่นอน เราย่อมมีหลักฐาน ผู้อาวุโสหลิน หากท่านยังไม่ยอมหลีกทาง นี่ก็จะกลายเป็นท่านช่วยปกป้องเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว มีโทษเท่ากับประหารสถานเดียว และไม่มีผู้ใดจะสามารถช่วยเหลือท่านได้อีก!”