ตอนที่ 1,139 ต้านทานยอดฝีมือขั้นเซียน
“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงหลักฐานออกมา”
สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดยกมือกอดอก น้ำเสียงเย็นชา
ผู้อาวุโสจากสำนักมหากระบี่ตอบว่า “ท่านไม่มีคุณสมบัติสูงส่งมากพอที่จะดูหลักฐาน”
“น่าหัวเราะสิ้นดี”
สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดกล่าวออกมาอีกครั้ง
แล้วรังสีกระบี่ก็พุ่งออกจากฝ่ามือ ไม่มีสัญญาณของการเจรจาอีกต่อไป ข้อมือขวาของนางหมุนวน นิ้วมือทั้งสิบขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เดินหน้าโจมตีเต็มอัตรา
วูบ!
ลำแสงกระบี่สีเขียวพุ่งออกมาจากกลางอากาศ
ลำแสงกระบี่เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าแต่หนักหน่วง เพียงพริบตาเดียว ลำแสงกระบี่นั้นก็เข้าถึงตัวเจี๋ยนอู่จี
กลุ่มคนจากสำนักมหากระบี่พากันหัวเราะเยาะ
การโจมตีชนิดนี้จะระคายผิวท่านผู้อาวุโสเจี๋ยนอู่จีได้อย่างไร?
ฝ่ายตรงข้ามคงไม่คิดว่ามันจะได้ผลหรอกกระมัง?
แต่แล้วสีหน้าของลูกศิษย์สำนักมหากระบี่ก็ต้องแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อเห็นมือที่จับด้ามกระบี่ของผู้อาวุโสเจี๋ยนอู่จีต้องชักกระบี่ออกจากฝักและปลดปล่อยจิตสังหารหนักแน่นออกมา…
วูบ!
ชายชราตวัดกระบี่
คมกระบี่ของเขาปะทะเข้ากับลำแสงกระบี่สีเขียวนั้น
บัดนี้ไม่มีสุ้มเสียงใด กาลเวลาคล้ายกับหยุดชะงักอยู่กับที่
เสียงการระเบิดตัวของพลังลมปราณอันรุนแรงไม่เกิดขึ้น
นี่จึงผิดจากสิ่งที่ทุกคนคาดเดากันเอาไว้
สิ่งที่สมควรเกิดขึ้นไม่เกิดขึ้น
แต่ก่อนที่ผู้ใดจะทันได้ตั้งสติ ลำแสงกระบี่สีเขียวก็ม้วนตัวรัดพันกระบี่ของเจี๋ยนอู่จีอย่างบ้าคลั่ง มวลอากาศเกิดความปั่นป่วนอย่างรุนแรง คลื่นพลังกดดันแผ่กระจายไปรอบบริเวณ
บรรยากาศร้อนระอุ
ทันใดนั้น เกิดการระเบิดที่ทำให้พื้นดินสั่นไหว
เสียงระเบิดที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนตื่นตระหนกตกใจกลัว นี่คือการต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังขั้นเซียน เมื่อผู้มีพลังขั้นเซียนระเบิดพลังออกมาเต็มพิกัด คนอื่น ๆ ก็อาจจะได้รับลูกหลงจนถึงขั้นเสียชีวิตโดยไม่รู้ตัว!
“พวกเราถอย”
ลู่กวนไห่มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง “ระวังได้รับบาดเจ็บด้วย”
กระบี่ยาวในมือของนางตวัดฟาดฟัน
ควับ! ควับ! ควับ! ควับ!
เสียงคมกระบี่ตวัดผ่านอากาศดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นเงากระบี่แผ่ขยายครอบคลุมบริเวณกว้าง เงากระบี่เหล่านั้นรวมตัวเป็นกำแพงต้านทานพลังกดดันจากการต่อสู้ของผู้มีพลังขั้นเซียน ช่วยปกป้องไม่ให้คนของจวนท่านเจ้าเมืองต้องได้รับอันตราย
แต่พลังกดดันที่กระแทกเข้ามาทำให้เท้าของลู่กวนไห่ไถลไปด้านหลังไม่หยุดยั้ง ขาเรียวยาวทั้งสองข้างของนางเกร็งแน่น รอยเท้าของนางลากเป็นทางยาวอยู่บนพื้นดิน และบัดนี้ รองเท้าที่นางสวมใส่ก็ได้ระเบิดกระจาย เปิดเผยให้เห็นถึงสองเท้าอันเปลือยเปล่าขาวผ่อง!
ไม่ว่าตนเองต้องลำบากอย่างไรก็ตาม ลู่กวนไห่ก็สามารถปกป้องคนของจวนท่านเจ้าเมืองที่อยู่ทางด้านหลังได้สำเร็จแล้ว
ในเวลาเดียวกันนี้
“แย่แล้ว”
ลั่วเซวียนผู้อาวุโสหญิงจากสำนักมหากระบี่ตระหนักชัดว่าลำแสงกระบี่สีเขียวนั้นไม่ได้ดูเรียบง่ายอย่างที่คิด
เมื่อคลื่นพลังกดดันแผ่มากระทบตัว ลั่วเซวียนจึงรีบโคจรพลังลมปราณต้านทาน ทว่าสิ่งที่ทำให้นางต้องแปลกใจก็คือพลังของนางไม่อาจต้านทานได้
ขณะนี้ ลั่วเซวียนรู้สึกไม่ต่างจากตนเองกำลังเผชิญหน้ากับเหตุภูเขาถล่มแผ่นดินทลาย ตนเองเป็นเพียงเศษสวะเล็กจ้อย ย่อมไม่สามารถต้านทานการพังถล่มของภูเขาทั้งลูก
และจังหวะที่นึกว่าตนเองกำลังจะต้องจบชีวิตลงนั้น พลัน นางได้ยินเสียงกระบี่ดังขึ้นที่ด้านหลัง
วูบ!
รังสีกระบี่สีม่วงพุ่งผ่านเหนือศีรษะของลั่วเซวียนและหมุนวนอยู่ตรงนั้น
ก่อนที่มันจะแผ่ขยายอาณาเขตกลายเป็นกำแพงโปร่งแสง ต้านทานพลังกดดันจากการสู้กันของผู้มีพลังขั้นเซียนทั้งสอง
“สำนักกระบี่สนธยา?”
ลั่วเซวียนเบิกตาโตด้วยความตื่นตกใจ ก่อนจะเหลียวหน้ามองไปทางด้านหลัง
และนางก็ได้พบกับชายหนุ่มผู้ถือกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งซึ่งลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าห่างออกไปไกลหลายสิบวา
ชื่อของบุรุษหนุ่มผู้นี้ผุดขึ้นมาในจิตใจของลั่วเซวียนทันที…
เว่ยตงเฉิง
เจ้าสำนักกระบี่สนธยา มือกระบี่ตะวันลับฟ้า เว่ยตงเฉิง
สำนักกระบี่สนธยาคือหนึ่งในสำนักใหญ่ประจำแผ่นดินตงเต้า มีเจ้าสำนักเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนระดับเจ็ดนามเว่ยตงเฉิง…
“แม่นางหลินช่างมีฝีมือแข็งแกร่งสมคำเล่าลือ”
เว่ยตงเฉิงผู้ลอยตัวอยู่กลางอากาศกล่าวออกมาอย่างแช่มช้า
“แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่นางจะสามารถปกป้องพวกปีศาจ”
อีกเสียงหนึ่งแผดคำรามขึ้น
แล้วข้างกายของเว่ยตงเฉิงก็ปรากฏชายฉกรรจ์ร่างกายสูงใหญ่กว่าเก้าเซี๊ยะ ตลอดทั้งตัวอุดมด้วยมัดกล้ามเนื้อปูดโปน เส้นผมสีเหลืองอ่อนบนศีรษะชี้โด่ชี้เด่ราวกับฟางข้าวแห้ง พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายบ่งบอกถึงความดุร้ายและอำมหิต
“ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักกระบี่ทรงกลดก็มาด้วยหรือนี่?”
ลั่วเซวียนหรี่ตาลง
นับเป็นอีกหนึ่งยอดฝีมือ
แต่ไม่กี่ลมหายใจต่อมา ลั่วเซวียนก็ได้รู้แล้วว่าตนเองตกใจเร็วเกินไป
เพราะข้างกายของเว่ยตงเฉิงกับผู้อาวุโสสูงสุดจากสำนักกระบี่ทรงกลดนามซยงป่า ได้ปรากฏเงาร่างผู้คนขึ้นมาอีกครั้งคนแล้วคนเล่า
“ผู้อาวุโสสูงสุดจากสำนักกระบี่พลัดถิ่น”
“ผู้นำหุบเขาผีเสื้อพิษ เจ้าของฉายาผีเสื้อผี ควางซวีจือ”
“เจ้าสำนักกระบี่กระดูกขาว”
“เจ้าสำนักกระบี่มายาถังหลิวฮัว…”
เมื่อเห็นบรรดายอดฝีมือระดับเจ้าสำนักปรากฏตัวขึ้น ลั่วเซวียนก็ทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว
นางไม่ใช่คนโง่ ย่อมทราบดีว่าเหตุการณ์ในวันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
การบุกโจมตีไม่ได้มีเพียงสำนักมหากระบี่ผู้เดียวอีกต่อไป
แต่ทุกสำนักที่เข้าร่วมการประลองกระบี่ในครั้งนี้ต่างก็ผนึกกำลังกันถล่มเมืองไป๋หยุนด้วยความสามัคคี
เพราะเหตุใด?
หรือจะเป็นเพียงเพราะว่าคนของพวกเขาหายตัวไปนอกเมืองไป๋หยุน?
แต่ยังไม่มีหลักฐานบ่งบอกสักหน่อยว่าเรื่องราวเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับเมืองไป๋หยุน
อีกอย่าง เมืองไป๋หยุนหาได้มีขุมกำลังแข็งแกร่ง… ช้าก่อน?
ลั่วเซวียนหรี่ตาลงอีกครั้ง
นางนึกถึงคำพูดของท่านผู้อาวุโสสูงสุดเจี๋ยนอู่จีกับผู้อาวุโสซยงป่าจากสำนักกระบี่ทรงกลด
สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ?
เมืองไป๋หยุนจะกล้าสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจเชียวหรือ?
ทันใดนั้น สมองของหญิงสาวก็สว่างไสว ลั่วเซวียนได้เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
“ผู้อาวุโสหลินอย่าได้เสียเวลาอีกเลย”
เจ้าสำนักกระบี่มายาถังหลิวฮัวอัญเชิญกระบี่คู่กายมาอยู่ในมือพร้อมกับกล่าวว่า “เมืองไป๋หยุนสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ พวกเรามีหลักฐานแน่นหนา หากท่านขัดขวางอีกครั้ง จะถือว่ามีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิด…”
“เคี้ยก ๆ ๆ…”
เจ้าสำนักกระบี่กระดูกขาวผู้สวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีดำประดับลายโครงกระดูกสีขาวพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาฟังดูน่าขนลุก
ระหว่างนั้น กระบี่ที่ทำมาจากกระดูกขาวจำนวนสิบแปดเล่มก็ปรากฏขึ้นรอบกาย
“แม่นางหลินไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี พวกเราร่วมมือกันจับตัวนาง ส่งมอบให้แก่กลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางเถอะ”
ทันใดนั้น
วูบ! วูบ! วูบ!
กระบี่กระดูกทั้งสิบแปดเล่มบินฉวัดเฉวียนในอากาศ ก่อนที่พวกมันจะพุ่งตรงเข้าไปรุมเล่นงานหญิงสาวผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาด
และแทบจะในเวลาเดียวกันนี้…
ครืน!
ซยงป่าผู้อาวุโสสูงสุดจากสำนักกระบี่ทรงกลดไม่พูดคำใดออกมาอีก เขาโบกสะบัดมือในอากาศ แล้วพลังปราณธาตุไฟกับพลังปราณธาตุดินก็หลอมรวมกันกลายเป็นกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่ง และกระบี่ยักษ์เล่มนั้นก็ตวัดฟาดฟันออกไปหนึ่งกระบวนท่า
มวลอากาศปั่นป่วนด้วยลำแสงกระบี่จากมือของซยงป่า
คลื่นพลังรุนแรงแทบจะฉีกกระชากผืนฟ้า การโจมตีทั้งหมดนี้ล้วนมุ่งตรงไปที่สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาด
สีหน้าของเจี๋ยนอู่จีผู้ต่อสู้พัวพันอยู่กับนางพลันปรากฏความอำมหิตจิตสังหาร กระบี่ในมือทุ่มเทใช้ออกมาด้วยกระบวนท่าปลิดชีพ
ในเวลาเดียวกันนี้ ผู้นำจากอีกสี่สำนักใหญ่ก็ผนึกกำลังกัน
การโจมตีอันหนักหน่วงรุนแรงทั้งหมดโอบล้อมสตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดจากทุกทิศทุกทาง
ลู่กวนไห่ผู้ยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป
นางไม่คาดคิดเลยว่าสถานการณ์จะดำเนินมาถึงจุดนี้
หยุดยั้งไม่ได้แล้ว
ผู้อาวุโสหลินไม่สามารถต้านทานการโจมตีครั้งนี้
ลู่กวนไห่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
แต่จังหวะที่นางกำลังจะควงกระบี่ออกไปช่วยเหลือนั้น ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันพลันเกิดขึ้น
ลู่กวนไห่เห็นสตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดลอยตัวอยู่ในอากาศ ลำแสงกระบี่จากรอบทิศทางพุ่งเข้ามาหานางเป็นจุดเดียว ผู้อาวุโสหลินขยับนิ้วมือที่พนมอยู่บนหน้าอกอย่างรวดเร็วพร้อมกับลอยตัวถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เป็นจังหวะเดียวกับที่ลำแสงกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามเข้าถึงตัวนางพอดี
ไม่มีทางหลบหนี
ไม่มีที่กำบัง
ความตายคือสิ่งเดียวที่นางจะต้องพบเจอ
เมื่อผู้นำระดับสูงของทั้งสี่สำนักใหญ่เห็นดังนั้น พวกเขาก็ต้องเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
แย่แล้ว
หากสตรีนางนี้ถูกฆ่าตายขึ้นมาจริง ๆ บุคคลที่อยู่เบื้องหลังนาง…
ความคิดมากมายพลันผุดขึ้นมาในหัวของพวกเขา…
“เวลาและสายน้ำไม่ไหลย้อนกลับ การเดินหมากก็เช่นกัน เมื่อเลือกวางหมากลงไปแล้ว ก็ไม่สามารถย้อนคืนได้อีกต่อไป”
เสียงของชายชราผู้หนึ่งถอนหายใจดังขึ้น
แล้วลำแสงสองสายสีดำกับขาวก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดอย่างไร้ซึ่งสัญญาณเตือน ลำแสงขาวดำคู่นั้นประจำการอยู่สองข้างซ้ายขวาของนาง พวกมันทำหน้าที่เป็นเสมือนประตูมิติคอยดูดซับพลังการโจมตีจากผู้นำสี่สำนักใหญ่ให้ถูกกลืนกินเข้าไปในความว่างเปล่า