ตอนที่ 1,141 การต่อสู้ของผู้อยู่ในขั้นเซียน
เว่ยหมิงเฉินเคยมาศึกษาวิชากระบี่อยู่ในเมืองไป๋หยุน
เพราะฉะนั้น บุรุษหนุ่มผู้นี้จึงไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเมืองไป๋หยุน
และจังหวะที่เขาเห็นหน้าเว่ยหมิงเฉิน ฉู่อวิ๋นซุนก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้อีกต่อไป
ท่านเจ้าเมืองหนุ่มหายใจฟืดฟาดราวกับวัวกระทิงผู้โกรธแค้น ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ ลักษณะท่าทางคล้ายคนวิกลจริต
จิตใจถูกครอบงำด้วยความโกรธแค้นและเกลียดชัง
ความเกลียดชังที่ฝังลึก
“อวิ๋นซุน”
มือเรียวงามข้างหนึ่งวางลงบนหัวไหล่ของเขา
ลู่กวนไห่จับไหล่ฉู่อวิ๋นซุนแนบแน่นเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรวู่วาม
ฉู่อวิ๋นซุนส่งเสียงคำรามในลำคอ หลังจากพยายามสลัดหลุดแต่ล้มเหลวถึงสองรอบ เส้นเลือดในดวงตาของเขาก็จางลง อารมณ์ความรู้สึกสามารถกลับมาควบคุมได้อีกครั้ง
ฉู่อวิ๋นซุนไม่ได้จู่โจมออกไป
“เจ้ายังมีหน้ากลับมาที่เมืองนี้ได้อีกหรือ?”
ท่านเจ้าเมืองหนุ่มถลึงตาจ้องมองเว่ยหมิงเฉินและถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
เว่ยหมิงเฉินไม่ได้ชายตามองฉู่อวิ๋นซุนเลยแม้แต่แวบเดียว
“ผู้อาวุโสฉี เรื่องนี้ท่านอย่าได้แทรกแซงเลยดีกว่า”
บุรุษหนุ่มมีเสียงใสปานระฆังทองเหลือง น้ำเสียงเย็นชา ราบเรียบไร้อารมณ์ ราวกับไม่ใช่เสียงของมนุษย์ผู้หนึ่ง
“เด็กน้อย รู้หรือไม่ว่าเจ้ากระทำตัวกำเริบเสิบสานมากเกินไปแล้ว ไร้ยางอาย ไร้ยางอายจริง ๆ”
ผู้อาวุโสฉีหยิบขวดน้ำเต้าออกมาเปิดฝาจุกออก ก่อนจะกระดกดื่มสุราที่อยู่ด้านใน สุราสีเขียวสดไหลหยดย้อยลงมาตามหนวดเคราอันรุงรัง
เห็นได้ชัดว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเว่ยหมิงเฉิน ผู้อาวุโสฉีไม่ได้มีความปลอดโปร่งโล่งใจเช่นที่เผชิญหน้ากับพวกของเจี๋ยนอู่จีอีกแล้ว
สีหน้าของชายชรามีความจริงจังเคร่งขรึมมากขึ้น
อย่างน้อย ผู้อาวุโสฉีก็ไม่ได้มีแววตาเหยียดหยามเหมือนเช่นตอนที่เผชิญหน้าพวกของเจี๋ยนอู่จีทั้งห้าคน
เว่ยหมิงเฉินไม่พูดคำใด
สายตายังคงเย็นชาและเรียบเฉย จ้องมองผู้อาวุโสฉีอย่างปราศจากอารมณ์ความรู้สึก
“เรามีข้อแม้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
ผู้อาวุโสฉียกมือปาดคราบสุราออกไปจากมุมปาก “เราไม่สนเรื่องการต่อสู้ระหว่างพวกเจ้า แต่งานประลองกระบี่จะต้องดำเนินต่อไป ห้ามเจ้าแตะต้องผู้ที่ต้องเข้าร่วมการประลองวันพรุ่งนี้เด็ดขาด”
“นับว่าน่าเสียดายยิ่ง”
เว่ยหมิงเฉินตอบกลับน้ำเสียงเรียบเฉย
เขาโบกมือไปข้างหน้าอย่างนุ่มนวลพร้อมกับกล่าวว่า “ฆ่าให้หมด”
ผู้มีพลังขั้นเซียนชนชั้นผู้นำของสำนักใหญ่ทั้งหลายต่างก็พุ่งตัวเป็นลำแสงตรงเข้าไปโจมตีใส่พวกของลู่กวนไห่
ดวงตาของผู้อาวุโสฉีเป็นประกายวาวโรจน์
หมากล้อมสีดำและสีขาวทั้งสองเม็ดนั้นพุ่งออกมาอีกครั้ง
มวลอากาศปั่นป่วน
ครั้งนี้เม็ดหมากล้อมพุ่งเข้ามาด้วยเจตนาสังหาร
“ช่างน่าเวทนา”
เว่ยหมิงเฉินพึมพำออกมา
รัศมีสีทองคำเป็นประกายระยิบระยับ
แล้วแผ่นยันต์สีทองคำขนาดเท่าฝ่ามือคู่หนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาห่อหุ้มเม็ดหมากล้อมทั้งสองเม็ดนั้นเอาไว้กลางอากาศ
“เด็กน้อย อย่าบังคับให้เราต้องฆ่าเจ้า”
ไม้เท้าไม้ไผ่กลับมาอยู่ในมือของผู้อาวุโสฉีอีกครั้ง
พลังลมปราณพวยพุ่ง
เจี๋ยนอู่จี เว่ยตงเฉิงและคนอื่น ๆ รู้สึกว่าม่านพลังที่คอยคุ้มกันพวกตนเองจางหายไป พวกเขาไม่ต่างจากตกอยู่ในพายุหมุนอันรุนแรง สุดท้ายก็ต้องถอยร่นกลับไปอย่างไม่มีทางเลือก
“เป็นท่านต่างหากที่บังคับข้า”
เว่ยหมิงเฉินสีหน้าเย็นชา กระซิบออกมาเสียงแผ่วเบา
เม็ดหมากล้อมที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในแผ่นยันต์สีทองคำทั้งสองเม็ดนั้นถูกรัศมีทองคำกลืนกินหมดสิ้น ก่อนที่พวกมันจะพุ่งตัวออกมาอีกครั้ง
เป้าหมายการโจมตีของพวกมันอยู่ที่ฉู่อวิ๋นซุนกับลู่กวนไห่
ผู้อาวุโสฉีรีบเคลื่อนกายเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เขามายืนหยัดอยู่เบื้องหน้าฉู่อวิ๋นซุนกับลู่กวนไห่
ไม้เท้าไม้ไผ่ในมือวาดเป็นวงกลม
ปลายไม้เท้าไม่ต่างจากปลายพู่กัน วาดลวดลายเป็นสีขาวดำสลับฟันปลา
จนกระทั่งลวดลายนั้นเกิดเป็นค่ายอาคมชนิดหนึ่ง
แล้วเม็ดหมากล้อมที่กลายเป็นเม็ดหมากล้อมสีทองคำก็พุ่งหายเข้าไปในค่ายอาคมนั้น ราวกับว่าถูกเคลื่อนย้ายไปอยู่ในมิติอื่น
“ท่านเหนื่อยแรงเปล่าแล้ว”
เว่ยหมิงเฉินพูดออกมาอีกครั้ง
ในอากาศปรากฏประกายสีทองคำเรืองรองขึ้นยาวเหยียด
ปรากฏแผ่นยันต์ทองคำขนาดใหญ่ที่มีความยาวไม่ต่ำกว่าสิบห้าเซียะหลายแผ่นกางตัวครอบคลุมเป็นตาข่ายยักษ์ ห่อหุ้มค่ายอาคมขาวดำของผู้อาวุโสฉี
เห็นได้ชัดว่าเว่ยหมิงเฉินต้องการจะดับชีพผู้อาวุโสฉีไปพร้อมกับค่ายอาคมขาวดำนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผ่นยันต์ทองคำยักษ์มีพลังเกินจินตนาการ แม้แต่ผู้อาวุโสฉีก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมาแล้ว
ผู้อาวุโสฉีสะกิดปลายเท้า
วูบ!
ร่างของชายชรากลืนหายเข้าไปในใจกลางค่ายอาคม
ไม่มีผู้ใดมองเห็น
ทันใดนั้น บรรดาแผ่นยันต์สีทองคำที่กางตัวเป็นตาข่ายครอบคลุมค่ายอาคมสีขาวดำก็ระเบิดแสงสว่างเจิดจ้า ก่อนจะทำให้ค่ายอาคมของผู้อาวุโสฉีสลายหายตัวไปในอากาศ…
สีหน้าของเว่ยหมิงเฉินยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลง
ในเวลาเดียวกันนี้ พวกของเจี๋ยนอู่จีทั้งห้าต่างก็มีสีหน้าที่แสดงออกถึงความเคารพเทิดทูนนายท่านของตนเองเป็นอย่างยิ่ง
นายท่านช่างแข็งแกร่งจริง ๆ
เพียงสองกระบวนท่าเท่านั้น ผู้อาวุโสฉีก็ต้องมอดม้วยลงในค่ายอาคมของตนเอง…
ใช่หรือไม่?
ในลมหายใจต่อมา สีหน้าของพวกเขาต้องแปรเปลี่ยนไป
ตำแหน่งซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของค่ายอาคมสีขาวดำนั้น ค่อย ๆ ปรากฏไม้เท้าไม้ไผ่ยื่นออกมาในอากาศ
ย่อมต้องเป็นไม้เท้าไม้ไผ่คู่กายของผู้อาวุโสฉี
ไม้เท้าไม้ไผ่ลอยตัวอยู่ในอากาศ
ตัวไม้เท้าเกิดการสั่นไหวเล็กน้อย
ทันใดนั้น สายลมก็กระโชกแรง
ไม้เท้าไม้ไผ่พุ่งสูงขึ้นไปในท้องฟ้า
ไม้เท้าไม้ไผ่บินฉวัดเฉวียน ประเดี๋ยวช้าประเดี๋ยวเร็ว มองดูแล้วแทบไม่ต่างจากการเริงระบำของผีเสื้อตัวหนึ่ง
“ไม้เท้านั่นมาจากที่ใดกัน?”
ซยงป่าจากสำนักกระบี่ทรงกลดมีสีหน้าสับสน
ไม้เท้าไม้ไผ่ด้ามนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
วูบ!
ทันใดนั้นไม้เท้าไม้ไผ่พลันพุ่งเข้ามา
ซยงป่ารู้สึกเย็นวูบที่ใบหน้า
เขายกมือลูบหน้าตนเอง
นิ้วมือเปื้อนของเหลวสีแดง
โลหิต?
ไม้เท้าไม้ไผ่นั้นเพิ่งจะทิ่มแทงใบหน้าของเขาอย่างนั้นหรือ?
“ระวังตัวด้วย”
สีหน้าของเว่ยตงเฉิงแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงขณะร้องอุทานออกมา “นี่ไม่ใช่ไม้เท้าธรรมดา แต่ด้านในยังบรรจุด้วยปราณกระบี่…”
พูดมาถึงตรงนี้ แขนของเขาก็มีโลหิตพุ่งกระฉูดออกมา หากไม่ใช่ว่าเว่ยตงเฉิงมีปฏิกิริยาตอบรับรวดเร็วพอ ป่านนี้แขนทั้งข้างของเขาคงถูกไม้เท้าไม้ไผ่ด้ามนี้ตัดทิ้งไปแล้ว
บรรดาชนชั้นผู้นำสำนักใหญ่ทั้งห้าสีหน้าแปรเปลี่ยน พวกเขารีบล่าถอยอย่างรวดเร็ว กระบี่ในมือถูกชักออกมาปัดป้องไม้เท้าไม้ไผ่ที่เคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วยิ่ง แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด…
วูบ! วูบ! วูบ!
ไม้เท้าไม้ไผ่ด้ามนั้นได้ยิงใบไผ่ออกมาหลายใบ
ใบไผ่เหล่านั้นกำลังเต้นระบำอยู่กลางอากาศ
ใบไผ่เหล่านั้นบินไปห้อมล้อมรอบกายเว่ยหมิงเฉิน
ควับ! ควับ! ควับ! ควับ!
ได้ยินเสียงวัตถุมีคมกรีดผ่านอากาศ
รอบกายของเว่ยหมิงเฉินย่อมมีม่านพลังคุ้มครอง แต่บัดนี้ ม่านพลังเหล่านั้นกำลังเกิดรอยแตกร้าวด้วยการโจมตีของใบไผ่ทั้งหลาย